ตอนที่ 641 ปฏิเสธตรงๆ / ตอนที่ 642 ลากกลับมา

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 641 ปฏิเสธตรงๆ

 

 

ฉินมู่ปิงเอ่ยถึงตรงนี้ก็มองไปทางซูหลีอย่างมีเลศนัยปราดหนึ่ง จากนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า

 

 

“ใต้เท้าซูคงจะทราบดีว่า เสด็จพ่อนั้นประทับอยู่ที่เมืองอื่นตลอดหลายปี ดังนั้นจึงไม่ได้ไปมาหาสู่ในเมืองหลวงนานแล้ว ดังนั้นขุนนางใหญ่ที่สนิทสนมจริงมีน้อยมาก เรื่องนี้ตราตรึงอยู่ในพระทัยของเสด็จพ่อมาโดยตลอด ทำให้เสด็จพ่อนั้นใส่ใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก”

 

 

“บัดนี้ใต้เท้าซูถือว่าเป็นคนที่มีอนาคตไกลในราชสำนัก เสด็จพ่อจึงอยากจะคบค้าสมาคมกับใต้เท้าซู” หลังจากฉินมู่ปิงเอ่ยถึงตรงนี้ พลันฉีกยิ้มที่คลุมเครือที่ไม่ชัดเจนออกมา

 

 

หากไม่รู้คงจะคิดว่าเขาต้องการพูดโน้มน้าวให้ซูหลีไปมาหาสู่กับสกุลของเขามากขึ้นเท่านั้น

 

 

ทว่าซูหลีกลับฟังความนัยที่แฝงอยู่ของเขาออก ทว่านางมีเพียงสีหน้าเรียบเฉย ได้ยินแล้วก็ไม่แสดงอาการอะไรออกมา เพียงมองฉินมู่ปิงอย่างนิ่งๆ รอให้เขาเอ่ยประโยคต่อจากนี้ต่อไป

 

 

“คนของจวนจิ้งหนานอ๋อง แม้จะกล่าวว่าเป็นสายเลือดที่ใกล้ชิดกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมากที่สุด ทว่าใต้เท้าซูก็ทราบดีว่า หลายปีมานี้เสด็จพ่อไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ข้าก็เป็นคนที่ไร้ความสามารถ ดังนั้นพวกเราจิ้งหนานอ๋องยามอยู่ในวังหลวง ก็เสมือนกับคนหูหนวกตาบอดก็มิปาน”

 

 

“คาดคะเนจิตใจขององค์จักรพรรดิมิได้ แต่ละวันที่ผ่านไปต้องระมัดระวัง ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากโดยแท้!” วันนี้ซูหลีถึงเพิ่งรู้ว่า วาทศิลป์ของฉินมู่ปินนั้นดีอย่างมาก

 

 

ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากหรือ?

 

 

นางหัวเราะเย้ยหยันอยู่ในใจ อีกทั้งยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ เพียงแต่ท่าทีที่ไทเฮามีต่อฉินเฮ่า มิหนำซ้ำยังมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างฉินเฮ่า ฉินมู่ปิง และฉินเย่หาน ใครจะกล้าสร้างความลำบากใจให้แก่พวกเขากัน

 

 

ยิ่งไม่ต้องถึงเรื่องที่ฉินเฮ่ามีอำนาจทหารในมือ และไม่ใช่ท่านอ๋องที่เอ้อระเหยลอยชายอย่างฉินม่อโจว!

 

 

ทว่าคำพูดนี้นางทำได้เพียงคิดในใจเท่านั้น นางไม่เอ่ยโต้แย้งและหักหน้าฉินมู่ปิงที่ไร้ยางอายผู้นี้ในทันที

 

 

“บัดนี้ใต้เท้าซูสามารถพูดจาต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ได้แล้ว สำหรับข้าและบิดานี่ถือว่าเป็นเรื่องอันดี ใต้เท้าซูเดิมเป็นผู้มีพระคุณของพวกเราจิ้งหนานอ๋อง หากใต้เท้าซูยอมช่วยเหลือพวกเรา ใต้เท้าซูอย่าได้เข้าใจผิด พวกเรานั้นไม่มีความคิดอะไรทั้งสิ้น…”

 

 

ขณะที่ฉินมู่ปิงเอ่ย ดวงตาทั้งสองจับจ้องไปที่ซูหลีอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนเป็นการยืนยันเนื้อหาที่เอ่ยออกมาทั้งหมดก็มิปาน แววตาดูจริงใจเป็นอย่างยิ่ง

 

 

“เพียงแต่หากต้องการรับรู้ถึงจิตใจขององค์จักรพรรดิ แม้จะเอ่ยว่าเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ทว่าใต้เท้าซูก็คงจะทราบดีว่า องค์จักรพรรดิก็คือองค์จักรพรรดิ ขุนนางก็คือขุนนาง โอรสสวรรค์กระทำผิดก็ควรได้รับโทษเหมือนกับราษฎร นับประสาอะไรกับพวกเขาจวนอ๋อง ฮ่องเต้นั้นทรงเป็นผู้ที่ชอบบันดาลโทสะ”

 

 

“ข้ากับบิดาเพียงแค่การคาดเดาในแต่ละวัน นี่ช่างเป็นสิ่งที่ลำบากโดยแท้ หากวันหน้าใต้เท้าซูสามารถเผยความคิดบางอย่างของฮ่องเต้ให้แก่พวกเรา เช่นนั้นก็คงเป็นคนที่สูงศักดิ์ของพวกเราจวนจิ้งหนานอ๋อง! ต่อไปบิดาของข้าจะปฎิบัติต่อใต้เท้าซูอย่างนอบน้อม!”

 

 

ในที่สุดซูหลีก็เข้าใจแล้ว พวกเขาพูดอ้อมค้อมไปเสียขนาดนั้น

 

 

นี่ฉินมู่ปิงต้องการให้นางนำความคิดของฉินเย่หานมาเปิดเผยให้แก่เขา ทำให้ในใจเขารู้ความตื้นลึกหนาบางของฮ่องเต้

 

 

คำพูดนี้ฟังดูแล้วช่างลื่นหู ทว่าหากใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้วมันกลับไปใช่ดังที่พูดมา นี่พวกเขาต้องการให้ซูหลีเป็นสายตาคอยสอดส่องของพวกเขา

 

 

ความคิดของฮ่องเต้ คนทั่วไปจะรับรู้ได้เสียที่ไหนกัน

 

 

อีกทั้งคำพูดของฉินมู่ปิงเอ่ยอย่างระมัดระวังและรอบคอบ ดูเหมือนจะพูดความสัมพันธ์ระหว่างคุณและโทษอย่างชัดเจน แต่ความเป็นจริงแล้วซูหลีนั้นทราบอย่างชัดเจน น้ำที่อยู่ด้านล่างผสมปนเปกันไปหมด!

 

 

“นี่เป็นเพียงของกำนัลยามพบปะกันเท่านั้น หากใต้เท้าซูยินยอมแล้วละก็ วันหน้า…” ดวงตาของฉินมู่ปิงเป็นประกายอยู่ครู่หนึ่ง ซูหลีเห็นอย่างชัดเจน นางพลันฉีกยิ้มบาง จากนั้นเหลือบตามองทางฉินมู่ปิงและเอ่ยว่า

 

 

“ความปรารถนาดีของซื่อจื่อ ซูหลีขอใช้ใจรับไว้พอแล้ว เพียงแต่ซื่อจื่อกับท่านอ๋องเป็นพระเชษฐาและหลานแท้ๆ ของฮ่องเต้ หากทั้งสองท่านไม่เข้าใจความคิดของฮ่องเต้ ซูหลีจะรับรู้ได้อย่างไร ซื่อจื่อจะให้เกียรติซูหลีเกินไปแล้วโดยแท้!”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 642 ลากกลับมา

 

 

นางเอ่ยว่าให้เกียรติ ทว่าบนใบหน้าของซูหลีกลับไม่มีรอยยิ้มปรากฏสักนิด

 

 

ใบหน้าของฉินมู่ปิงเย็นชาขึ้นมาทันที เขาเหลือบตามองนาง กลับเห็นใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของนาง ในดวงตาทั้งคู่กลับไม่มีรอยยิ้มเสียเลย

 

 

“ชารสชาติดี เพียงแต่ของสิ่งนี้จะล้ำค่าเกินไปแล้ว ซูหลีคงรับไว้ไม่ได้ ซื่อจื่อเก็บไว้เองเถิด” ขณะซูหลีเอ่ยก็ใช้มือดันกล่องยาวใบนั้นไปด้านหน้า จากนั้นลุกขึ้น ก้าวเท้าเตรียมจะกลับจวน

 

 

“ช้าก่อน” คาดไม่ถึงว่าทันทีที่นางลุกขึ้นจะถูกฉินมู่ปิงขวางทางเอาไว้ก่อน

 

 

ซูหลีผงะเล็กน้อย สีหน้าของนางกลับเปลี่ยนเป็นเย็นชา และสายตาที่มองฉินมู่ปิงพลันดูเย็นชาแฝงไปด้วยความเย็นยะเยือก

 

 

ฉินมู่ปิงสองพ่อลูกคิดอะไรกันอยู่ แม้นางไม่เข้าใจ ทว่านางก็ไม่อยากมีส่วนร่วมในเรื่องของพวกเขา นางก็มีเรื่องของตนเองที่ต้องกระทำจะมีใจเป็นคนสอดแนมและเป็นหูเป็นตาให้กับผู้อื่นเสียที่ไหน

 

 

โดยเฉพาะให้นางกระทำเรื่องที่อันตรายเช่นนี้

 

 

แม้ซูหลีจะโง่เขลาถึงเพียงใด นางก็รับรู้ถึงปริศนาต่างๆ นานาระหว่างฮ่องเต้ ฉินมู่ปิงสองพ่อลูกนี้ รวมไปถึงไทเฮาด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางสามารถมีส่วนร่วมได้

 

 

อีกทั้งซูหลีเตรียมเส้นทางการเป็นขุนนางที่ใสสะอาดไว้แล้ว ฉินมู่ปิงพูดเช่นนี้เป็นการดันนางเข้าไปในอุโมงค์ไฟ หากสีหน้านางยังคงดูดีก็คงแปลกเสียแล้ว!

 

 

“ซื่อจื่อ เวลานี้ก็มืดแล้ว บิดาของซูหลีคงจะเป็นห่วงแล้ว ซูหลีขอตัวลา”

 

 

“ในยามปกติข้ากลับดูไม่ออกสักนิด ว่าแท้จริงแล้วใต้เท้าซูเป็นคนที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีขนาดนี้!” ฉินมู่ปิงหรี่ตาลงเล็กน้อย ใบหน้าที่หล่อเหลาเกินใครฉายแววความน่าอันตรายออกมา ทันทีที่ก้าวเท้าขวางทางซูหลีเอาไว้อย่างสนิท

 

 

แม้ซูหลีจะมีอุปนิสัยที่ดีอย่างไร ก็รู้สึกเริ่มมีโทสะในเวลานี้แล้วเช่นกัน นับประสาอะไรกับที่กล่าวว่า ในยามปกตินางมีนิสัยใจคอที่ไม่ดี เมื่อเห็นดังนั้นนางเลิกคิ้วอย่างอดไว้ไม่ได้และเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็นว่า

 

 

“ในเมื่อซื่อจื่อทราบดีแล้ว วันนี้ก็ไม่ควรมาหาข้าเพื่อพูดคำพูดเหล่านี้ ข้าเป็นคนต้อยต่ำคำพูดย่อมไม่มีน้ำหนัก อีกทั้งนี่ก็เป็นแค่การก้าวเข้าไปในราชสำนักก้าวแรก ซื่อจื่ออาจจะเห็นค่าของข้าดีเกินไปแล้ว! คำพูดที่ซื่อจื่อเอ่ยมาทั้งหมดในวันนี้ ข้าจะถือว่าไม่ได้ยินแล้วกัน หวังว่าซื่อจื่อจะสามารถจะจัดการทุกอย่าง หวังว่าซื่อจื่อจะดูแลตัวเองให้ดี”

 

 

“ดูแลตัวเองให้ดีรึ?” สีหน้าของฉินมู่ปิงเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา เพียงครู่เดียวสีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง เมื่อสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขาทำให้แม้แต่บรรยากาศของห้องรับรองนี้เปลี่ยนเป็นตึงเครียดตามไปด้วย

 

 

ซูหลีเห็นใบหน้าเย็นยะเยือกของเขาแล้ว เกิดความกังวลขึ้นในใจ

 

 

นางทราบดีว่า ในวันนี้ฉินมู่ปิงกล้าพูดเช่นนี้กับนางในสถานที่นี้ แน่นอนว่าจักต้องมีการเตรียมพร้อมไว้แล้ว ทว่าผู้ติดตามข้างกายนางในเวลานี้มีเพียงชุยตานคนเดียวเท่านั้น หากมีการลงมือกันจริง นางยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา

 

 

เพียงแต่ก่อนหน้านี้ที่ซูหลีกล้าเดินตามเขามา อีกทั้งทราบดีว่าเขามีแผนการล้ำลึกถึงเพียงใด ก็เกรงว่าเขาคงไม่กล้าลอบสังหารขุนนางในราชสำนัก ดังนั้นถึงได้ไม่ยี่หระกับเรื่องนี้

 

 

ดูเหมือนว่าตอนนี้ นางยังทราบไม่ชัดเจนว่า เขาจะกระวนกระวายจนกระทำเรื่องอะไรออกมาหรือไม่ เพียงรู้สึกว่าฉินมู่ปิงคนนี้เป็นคมในฝัก คิดไม่ถึงว่าหางสุนัขจิ้งจอกของเขาจะค่อยๆ โผล่ออกมาในวันนี้ เพียงแค่เงื่อนงำอันน้อยนิดนี้ก็สามารถทำให้นางรู้สึกตกใจแล้ว

 

 

ในเวลานี้นางแอบสาบานกับตนเองแล้วว่า ต่อไปจักต้องอยู่ให้ห่างจากฉินมู่ปิงผู้นี้ อย่าได้ถูกเขาลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย มิเช่นนั้นคงจะได้ไม่คุ้มเสีย

 

 

“เจ้านี่เกิดมาพร้อมกับฝีปากที่แหลมคมโดยแท้” ดวงตาของฉินมู่ปิงกวาดมองไปที่ซูหลีปราดหนึ่ง ในดวงตาของเขาทอประกายที่ซูหลีรู้สึกคุ้นเคย แววตาเช่นนี้

 

 

เป็นแววตาที่ซูหลีเคยเห็นในดวงตาของฉินเย่หาน

 

 

นางถูกเขามองจนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง นางเตรียมจะอ้อมเขาและเดินออกไป!

 

 

ตุบ! คิดไม่ถึงว่านางยังไม่ได้เดินออกไปแม้แต่ก้าวเดียว ก็ถูกฉินมู่ปิงลากกลับมาเสียแล้ว