บทที่ 369 การแข่งขันระดับมณฑล

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 369 การแข่งขันระดับมณฑล

ถึงแม้ว่าหลิงจุนเซวียนจะทำตัวสงบเสงี่ยม แต่เรื่องที่เขาถูกสั่งย้ายออกจากตำแหน่งผู้ว่าการเมืองหยุนเมิ่ง ก็ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป

ข่าวนี้แพร่กระจายและชาวเมืองก็ตกอยู่ภายใต้ความตะลึงงัน

หลินเป่ยเฉินไม่ได้เดินทางออกไปส่ง

แต่ว่ากันว่าที่จวนผู้ว่ามีชาวเมืองไปรออำลาหลิงจุนเซวียนและครอบครัวตั้งแต่เช้าตรู่

หลิงจุนเซวียนเป็นเจ้าเมืองหยุนเมิ่งยาวนานถึง 20 ปี นับเป็นขุนนางใสซื่อมือสะอาด ไม่เคยกระทำความผิดฉ้อราษฎร์บังหลวง มิหนำซ้ำ ยังช่วยพัฒนาเมืองเล็กๆ ที่ติดชายทะเลแห่งนี้ให้เจริญเติบโตมากกว่าในอดีตไม่รู้กี่เท่า หลิงจุนเซวียนเปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นสวรรค์บนดิน เพราะฉะนั้น เขาจึงเอาชนะใจชาวเมืองได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ทุกคนล้วนเข้าใจว่าหลิงจุนเซวียนจะต้องเป็นเจ้าเมืองหยุนเมิ่งไปตลอดชีวิต

แต่ใครจะคิดเลยว่าสภาเมืองนครเจาฮุยกลับมีคำสั่งให้หลิงจุนเซวียนและครอบครัว ย้ายไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ของผู้ว่าการมณฑลในเวลาเพียง 3 วัน

ชาวเมืองหยุนเมิ่งออกมายืนโบกมืออำลาท่านเจ้าเมืองเป็นแถวยาวเหยียดนับสิบลี้ด้วยใบหน้านองน้ำตา

โดยเฉพาะชาวเมืองที่มีฐานะยากจน พวกเขาเป็นคนที่ร้องไห้เสียงดังมากกว่าใคร

และเจ้าเมืองคนใหม่ก็เข้ารับตำแหน่งในวันเดียวกันนั้นเอง

เหล่าคนใหญ่คนโตประจำเมืองจัดงานเลี้ยงต้อนรับท่านเจ้าเมืองคนใหม่ที่โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งอย่างยิ่งใหญ่

หลินเป่ยเฉินซึ่งมีสถานะเป็นผู้ชนะการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง ก็ได้รับบัตรเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นกัน

แต่เขากลับโยนบัตรเชิญทิ้งถังขยะโดยไม่สนใจ

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากพบหน้าท่านเจ้าเมืองคนใหม่

แต่เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพวกขุนนางอีกแล้ว

ท่านเจ้าเมืองคนใหม่ได้รับทราบข่าวการปฏิเสธเข้าร่วมงานเลี้ยงของหลินเป่ยเฉิน

ทว่า กลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

ท่านเจ้าเมืองคนใหม่มีนามว่าฉุยเฮาเฟิง เขาปรากฏตัวในงานเลี้ยงด้วยลักษณะของชายหนุ่มผู้หล่อเหลา สุภาพ และมีท่าทีสบายๆ สามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้คนได้ตั้งแต่แรกเห็น และตั้งแต่เริ่มต้นจนจบงานเลี้ยง ฉุยเฮาเฟิงก็ไม่พูดถึงหลินเป่ยเฉินเลยแม้แต่คำเดียว

แต่วันต่อมา ก็มีข่าวที่ทำให้ชาวเมืองหยุนเมิ่งต้องอกสั่นขวัญแขวนอีกครั้ง

ปรากฏว่ารถม้าของหลิงจุนเซวียนและครอบครัวถูกซุ่มโจมตีนอกเขตเมืองหยุนเมิ่ง เกิดการต่อสู้โกลาหล และขบวนรถม้าของหลิงจุนเซวียนก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก องครักษ์จำนวนมากเสียชีวิตระหว่างการต่อสู้ หลิงเถียนเฟิงได้รับบาดเจ็บสาหัสแขนขาดทั้งสองข้าง ในขณะที่หลิงจุนเซวียนก็ถูกลูกธนูยิงเข้าไปหลายดอก แต่โชคดีที่ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้น ได้มีผู้ผ่านทางปริศนายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้ จนทำให้ผู้โจมตีต้องหลบหนีกระเจิดกระเจิง

“เทพเจ้าอวยพร โชคดีที่ท่านเจ้าเมืองหลิงปลอดภัยแล้ว”

“ถ้าเกิดแม้แต่ท่านเจ้าเมืองหลิงกับครอบครัวยังถูกซุ่มโจมตีได้ ในโลกนี้ก็ไม่มีผู้ใดปลอดภัยอีกแล้ว”

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านเจ้าเมืองไม่เคยมีปัญหากับใครเลยนี่นา”

“เรื่องนี้เราจะปล่อยผ่านไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสืบสวนให้ถึงที่สุด”

“แต่เราเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ตัวเล็กตัวน้อย หากพวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไม่เดินเรื่อง เราก็ทำอะไรไม่ได้ เห็นทีคงได้แต่เข้าไปสวดภาวนาในวิหารเทพกระบี่ เพื่อให้องค์เทพเจ้าคืนความยุติธรรมแก่ท่านเจ้าเมืองหลิงเสียแล้ว”

นี่คือหลากหลายความคิดที่เกิดขึ้นในกลุ่มเจ้าหน้าที่ประจำเมืองหยุนเมิ่ง

บรรยากาศตกอยู่ภายใต้ความตื่นเต้นตกใจ

หลินเป่ยเฉินก็ตกใจไม่น้อยตอนที่ได้รับทราบข่าวนี้

ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา เขาพอจะรับทราบแล้วว่าตระกูลหลิงมีขุมกำลังยอดฝีมือซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก และนั่นก็เป็นเพียงปลายสุดของยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น เด็กหนุ่มไม่ทราบเลยว่าผู้ที่ซุ่มโจมตีขบวนรถม้าของหลิงจุนเซวียนไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน ถึงได้กล้ามีเรื่องกับพวกเขาขนาดนี้?

โชคดีที่หลิงจุนเซวียนและครอบครัวไม่มีใครเสียชีวิต

แต่หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่าหลิงเฉินบาดเจ็บหรือไม่?

นางคงไม่เป็นไรหรอก

เขาอยากสั่งให้หวังจงออกไปสืบข่าว แต่กลับลังเลเพราะไม่แน่ใจว่าตนเองควรรับทราบข่าวนี้หรือไม่

สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ตัดสินใจไม่อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับหลิงเฉินอีก เพราะยังโกรธแค้นที่นางขโมยจูบแรกของเขาไป

บัดนี้เมื่อพวกเขาแยกกันแล้ว ก็ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า

เดี๋ยวหลิงเฉินผู้มีหลายบุคลิกจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นห่วงนางขึ้นมาอีก

บ่ายวันนี้ หลินเป่ยเฉินเดินทางมาที่วิหารเทพกระบี่

เมื่อมาถึงลานจัตุรัส เขาก็พบว่ามีชาวเมืองจำนวนมากมานั่งคุกเข่าต่อหน้ารูปปั้นเทพีกระบี่ เพื่อขอพรให้อดีตท่านเจ้าเมืองปลอดภัย

ผู้คนที่มารวมตัวกันวันนี้ไม่น้อยกว่าตอนที่มีการจัดงานแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง

นักบวชสาวจำนวนมากนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด รับหน้าที่เป็นผู้นำการสวดมนต์ในพิธีขอพรศักดิ์สิทธิ์

บรรยากาศเต็มไปด้วยมนต์ขลัง

“สิ่งต่อไปที่เจ้าจะต้องศึกษาก็คือคัมภีร์พลังปราณบริสุทธิ์ นี่นับเป็นคัมภีร์หายากที่ส่งต่อแต่ในกลุ่มผู้ศรัทธาเทพีกระบี่ระดับสูงเท่านั้น เจ้าต้องท่องจำมันให้ขึ้นใจ ข้ามีเวลาให้เจ้า 10 วันในการอ่านให้จบ…”

นักพรตหญิงชินเปิดคัมภีร์เล่มหนาและเริ่มอธิบายเนื้อหาของหน้าแรกให้เขาฟัง

ดวงตะวันฉายแสงผ่านช่องว่างของหน้าต่าง สะท้อนประกายแสงแดดกับเส้นผมสีเงินยวงให้ดูสว่างไสว และมีความศักดิ์สิทธิ์น่าเลื่อมใสมากกว่าเดิม

หลินเป่ยเฉินยกมือเท้าคางด้วยความเบื่อหน่าย สายตาจ้องมองระหว่างหน้ากระดาษในคัมภีร์กับใบหน้าของนักพรตหญิงชิน ซึ่งเขาก็เอาแต่ทิ้งสายตาจับจ้องใบหน้านักพรตหญิงชินมากกว่าหน้ากระดาษนานกว่ากันหลายเท่า

นักพรตหญิงชินอ่านเนื้อหาในหน้าที่สามจบลง ถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าเด็กหนุ่มกำลังมองตนเองอยู่อย่างไม่ละสายตา “บนหน้าข้ามันมีอะไรอยู่หรือไร?”

หลินเป่ยเฉินส่ายศีรษะปฏิเสธ

นักพรตหญิงชินถามออกมาอีกครั้ง “แล้วเจ้าจ้องมองทำไม?”

หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปว่า “ข้ามองเพราะข้าไม่มีสมาธิ”

นักพรตหญิงชินปิดคัมภีร์ในมือดังฉับ และพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดใจ “ที่วันนี้เจ้าไม่มีสมาธิเพราะได้รับทราบข่าวของท่านเจ้าเมืองหลิงกระมัง?”

หลินเป่ยเฉินส่ายศีรษะปฏิเสธอีกครั้ง “เพราะว่าข้าพบเรื่องราวที่แปลกประหลาดบางอย่าง”

“มันคือเรื่องอันใด?” นักพรตหญิงชินถามด้วยแววตาสงสัย

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ดูเหมือนข้าจะกลับมาใช้พลังลมปราณได้แล้วขอรับ ขณะนี้มีพลังอยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 3 แล้ว”

นักพรตหญิงชินเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ ออกคำสั่งทันทีว่า “ขอมือเจ้าหน่อยสิ”

“หืม?”

หลินเป่ยเฉินสะดุ้งโหยง

นักพรตหญิงชินดึงมือของเขาไปจับข้อมือ

นิ้วมือของนางให้สัมผัสที่นุ่มนิ่มอ่อนโยนเหลือเกิน

หัวใจของหลินเป่ยเฉินหวั่นไหว พูดออกไปโดยไม่รู้ตัว “อย่าทำแบบนี้สิ เรากำลังอยู่ในวิหารเทพนะขอรับ เดี๋ยวคนอื่นมาพบเห็นเข้ามันจะไม่ดี เราเปลี่ยนไปทำที่อื่นดีกว่า…”

นักพรตหญิงชินรีบปล่อยมือออกจากแขนของเขาทันที “แปลกมาก ข้าไม่เคยพบเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน เจ้าได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์เข้าไปเช่นนั้น แล้วยังจะใช้พลังลมปราณอีกได้อย่างไร… เจ้ามีความรู้สึกผิดปกติใดๆ บ้างหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ข้ารู้สึกว่าตนเองไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังปราณธาตุน้ำเลยขอรับ แล้วข้าก็ควบคุมพลังลมปราณไม่ค่อยได้ด้วย”

นักพรตหญิงชินขมวดคิ้วด้วยสีหน้าฉงนเล็กน้อย “เจ้าลองใช้วิชาการโคจรพลังลมปราณขั้นพื้นฐานแล้วหรือยัง?”

หา?

หลินเป่ยเฉินชะงักกึก

วิชาการโคจรพลังลมปราณขั้นพื้นฐาน เป็นวิชาที่ถูกสอนในสถานศึกษา และมักถูกใช้ในบรรดาลูกศิษย์ที่ยังไม่สามารถเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุเท่านั้น

แล้วมันจะสามารถใช้ได้ผลมากกว่าวิชามัจฉากลายร่างเป็นมังกรอย่างนั้นหรือ?

“วันนี้เราพอแค่นี้ คืนนี้เจ้าลองกลับไปโคจรพลังด้วยวิชาขั้นพื้นฐานดูก่อน แล้ววันพรุ่งนี้มารายงานผลข้าด้วย”

นักพรตหญิงชินพูดจบก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะหันกลับมาเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “เสี่ยวเยว่กำลังจะออกเดินทางไปเรียนต่อที่นครเจาฮุย เจ้าสมควรออกไปส่งนางสักหน่อยกระมัง”

“ขอรับ”

หลินเป่ยเฉินเดินออกมาจากวิหารเทพกระบี่และรีบวิ่งตรงไปที่ลานด้านหลังวิหาร

เขาทันได้เห็นเยว่เว่ยหยางกำลังยืนอำลาศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางอยู่พอดี

“พี่เป่ยเฉิน ท่านคงมาส่งข้ากระมัง?”

เยว่เว่ยหยางอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน

“ทำไมถึงไปเรียนต่อกะทันหันแบบนี้เล่า?”

หลินเป่ยเฉินถามกลับไปพร้อมกับยิ้มกว้าง

ย้อนกลับไปในพิธีประหารสาวกปีศาจซึ่งจัดขึ้นหน้าวิหารเทพกระบี่โดยฝีมือของถังกู่จิน เยว่เว่ยหยางรวบรวมความกล้าหาญยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้คน ทำให้ในขณะนี้นางมีความโด่งดังภายในเมืองหยุนเมิ่งเทียบเท่ากับหลิงเฉิน และถูกคาดหวังว่านางจะได้เป็นนักพรตเทวะคนต่อไป

“ท่านนักพรตใหญ่เชิญให้ข้าไปเรียนต่อเจ้าค่ะ” เยว่เว่ยหยางยืนยันด้วยใบหน้ามีความสุข “ความฝันของนักบวชทุกคนที่อยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง คือการได้มีโอกาสไปศึกษาต่อที่วิหารหลวงประจำนครเจาฮุย… แต่มันก็คงทำให้ข้ากับท่านไม่ได้เจอกันอีกนานเลยทีเดียว”

หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้างมากกว่าเก่า “ถ้ามีโอกาสไปที่นครเจาฮุย ข้าจะแวะไปเยี่ยมเจ้าอย่างแน่นอน”

แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีทางออกไปจากเมืองนี้อยู่แล้วน่ะสิ อิอิ

“พูดจริงนะเจ้าคะ?”

ดวงตาของเยว่เว่ยหยางเป็นประกายวูบวาบด้วยความดีใจ “ถ้าเกิดทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ข้าก็อาจมีเวลาว่างแวะกลับมาหาท่านพี่เป่ยเฉินที่เมืองหยุนเมิ่งได้เช่นกัน”

บรรดานักบวชสาวที่ยืนอยู่รอบบริเวณพร้อมใจกันยกมือปิดปากหัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินประโยคนั้น

ไม่กี่อึดใจต่อมา เมื่อเยว่เว่ยหยางเดินเข้าไปร่ำลานักพรตหญิงชินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางก็โดยสารรถม้าที่มีเจ้าหน้าที่มือปราบระดับสูงคุ้มกัน ออกเดินทางไปยังนครเจาฮุย

เมื่อไม่มีธุระให้อยู่ต่อที่วิหารเทพกระบี่ หลินเป่ยเฉินก็เดินเหงาๆ กลับมาที่สถานศึกษากระบี่ที่สาม แต่ยังไม่ทันเดินพ้นรั้วสถาบัน ฉู่เหินก็กระโดดออกมาขวางหน้าเหมือนอยากจะเล่นจ๊ะเอ๋กับเขาอย่างไรอย่างนั้น

ภายในสำนักงานของหัวหน้าคณะอาจารย์ประจำชั้นปี

“อีก 7 วันต่อจากนี้ จะเป็นการแข่งขันจตุรมิตรสามัคคีหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ถามต่อด้วยความประหลาดใจว่า “มันคืออะไรขอรับ?”

“หลังแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองจบลง เจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำมณฑลเฟิงอวี่ก็จะทำการคัดเลือกผู้มีพรสวรรค์จากทั้ง 68 เมืองประจำ 4 แคว้น ให้มาเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อค้นหาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เป้าหมายที่แท้จริงของการจัดการแข่งขันก็คือ ทุกคนอยากจะให้เหล่าผู้มีพรสวรรค์รุ่นใหม่ได้มีโอกาสทำความรู้จักกันและกัน สร้างความผูกพันและมิตรภาพที่แสนยาวไกลในอนาคต การแข่งขันถึงได้ตั้งชื่อว่าจตุรมิตรสามัคคี และเป็นการย้ำเตือนให้เด็กหนุ่มเด็กสาวเหล่านี้ได้รู้ว่า พวกเขาอาจมีฝีมือแข็งแกร่งก็จริง แต่ย่อมมีผู้ที่ฝีมือสูงส่งมากกว่าพวกเขาอยู่เสมอ”

ฉู่เหินอธิบายด้วยความตื่นเต้น

หลินเป่ยเฉินยกมือเกาหัวแกรกๆ

ฟังดูน่าจะมีปัญหาแล้วสิ

ฉู่เหินระงับความตื่นเต้นไม่ไหวอีกต่อไป พูดออกมาว่า “การแข่งขันครั้งนี้กระทรวงศึกษาจะเป็นผู้ดูแลทั้งหมด และช่างประจวบเหมาะเหลือเกินที่การแข่งขันประจำปีนี้จะจัดขึ้นที่เมืองหยุนเมิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เมืองของเราได้รับโอกาสใหญ่เช่นนี้ มันจะทำให้เจ้าโด่งดังมากกว่าเดิมแน่นอน”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าน้อยด้วยขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินเพียงคิดว่าตนเองจะเข้าร่วมการแข่งขัน เขาก็ขนลุกไปทั้งตัวแล้ว

เป็นคนดังแค่ในสถานศึกษากระบี่ที่สามก็น่าจะพอแล้ว

ทำไมคณะอาจารย์ถึงได้คาดหวังจากเศษขยะอย่างเขามากมายนักนะ?

ฉู่เหินกล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “เพราะว่าเจ้าเป็นผู้ที่ถูกเลือก และเมืองของเราก็โดนผู้อื่นดูถูกมาช้านาน นี่เป็นโอกาสดีที่จะทำให้ทุกคนได้รู้ ว่าหยุนเมิ่งไม่ใช่เมืองที่ใครจะมาตอแยได้ง่ายๆ และนอกจากคนของกระทรวงศึกษาระดับสูงจะมาดูแลการแข่งขันด้วยตนเองแล้ว นายทหารระดับสูงจากกองทัพและท่านเจ้าเมืองคนใหม่ก็จะมารับชมตลอดการแข่งขันด้วยเช่นกัน”

หลินเป่ยเฉินนวดขมับด้วยความปวดหัว

หรือว่านี่จะเป็นงานเปิดตัวท่านเจ้าเมืองคนใหม่อย่างเป็นทางการนะ?

“งานเลี้ยงต้อนรับท่านเจ้าเมืองคนใหม่เจ้าก็ไม่ไปมาแล้วหนึ่งครั้ง คราวนี้ไม่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร เจ้าก็ห้ามปฏิเสธอีกเด็ดขาด”

ฉู่เหินพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

“แต่อาจารย์จะให้ข้าไปทำอะไรที่นั่นขอรับ? ขืนไปเข้าร่วมการแข่งขัน ก็มีแต่ทำให้ทุกคนขายหน้าเสียเปล่าๆ”

หลินเป่ยเฉินตอบกลับสีหน้าเรียบเฉย “อาจารย์คงไม่รู้ว่าบัดนี้ข้าน้อยกลายเป็นบุคคลไร้ประโยชน์แล้ว หลังจากคว้าตำแหน่งผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง และได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์จากเทพีกระบี่ พลังยุทธ์ทั้งหมดในตัวข้าก็สูญสลายหายไป บัดนี้มันยังไม่ฟื้นคืนกลับมาเลยขอรับ”

ฉู่เหินยกมือกอดอก ใช้สายตาตำรวจมองใบหน้าเด็กหนุ่มจอมเจ้าเล่ห์ “ถ้าเป็นคนอื่นพูดประโยคนี้ออกมา มันคงเป็นสถานการณ์ที่น่าหมดหวังอย่างแท้จริง แต่ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เจ้าสร้างปาฏิหาริย์ได้นับครั้งไม่ถ้วน และข้าคิดว่าปาฏิหาริย์ที่เจ้าสร้างขึ้นมานั้น มันคุ้มค่าต่อการเดิมพัน”

“ขอปฏิเสธขอรับ”

หลินเป่ยเฉินยื่นคำขาด “เต็มที่ข้ายินดีไปเสนอหน้าที่งานนั้น แต่ไม่ขอเข้าร่วมการแข่งขันเด็ดขาด”

ฉู่เหินถอนหายใจยาวแรง “เฮ้อ น่าเสียดายจริงๆ ผู้เข้าแข่งขันที่คว้าตำแหน่ง 10 อันดับแรกได้สำเร็จจะได้รับรางวัลใหญ่ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ได้อันดับหนึ่งนะ เห็นว่าจะได้รับรางวัลเป็นเงินถึง 1 ล้านเหรียญทองคำเลยทีเดียว”

“หึหึ”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “อาจารย์เห็นข้าเป็นคนหิวเงินขนาดนั้นเลยหรือขอรับ? แต่เอาเป็นว่าข้าจะขอคิดดูก่อนก็แล้วกัน”