ตอนที่ 213 สองแม่ลูกพูดคุยความในใจ 

 

 

 

 

 

หลังอาหาร ทั้งสองไปเดินเล่นที่สนาม กู้ชิงเฉิงนั่งบนพื้นยกสูง แหงนหน้ามองดวงจันทร์สว่างสดใสบนท้องฟ้า พูดน้ำเสียงอาวรณ์ “คืนพระจันทร์วันเพ็ญอีกแล้ว” 

 

 

“ชิงเฉิง เจ้าคิดจะทำอะไรต่อไป” 

 

 

“ข้าเป็นคนในวัง ยังจะทำอะไรได้อีก อยู่วังนี้ตลอดไป ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบ” 

 

 

“ข้าได้ยินหลียวนพูดเรื่องของเจ้า ใจเจ้ายังรักฝ่าบาทใช่ไหม” ซูจิ่วซือไม่อาจทนเห็นลูกสาวอยู่อย่างนี้ตลอดชีวิต ใช้ชีวิตอย่างสูญเปล่าในกำแพงวังตลอดไป 

 

 

“รักหรือไม่รักไม่ใช่เรื่องสำคัญ ฝ่าบาทไม่เชื่อใจข้า ตอนนั้นข้าพยายามอธิบาย ข้ากับจางเฉิงไม่มีอะไรกัน พระองค์กลับยืนยันจะประหารจางเฉิง สุดท้ายก็บีบจางเฉิงให้ฆ่าตัวตาย จางเฉิงเป็นเพื่อนคนเดียวของข้าในวัง ข้าทำให้จางเฉิงตาย ข้าไม่อาจให้อภัยพระองค์ และไม่อาจให้อภัยตัวเอง” 

 

 

น้ำเสียงของกู้ชิงเฉิงแม้ราบเรียบ แต่ซูจิ่วซือยังคงมองเห็นความรู้สึกผิดในดวงตาของกู้ชิงเฉิง นางอยากตบไหล่ของกู้ชิงเฉิง แต่มือมีผ้าพันแผลอยู่ พอยื่นมือออกไปครึ่งทางก็หดกลับ พูดปลอบโยน “ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ชิงเฉิง อย่าโทษตัวเองเลย ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเจ้าเป็นคนให้เขาหรือ” 

 

 

“ไม่ใช่ ข้าจะเอาของอย่างนั้นให้เขาได้อย่างไร เป็นผ้าเช็ดหน้าที่ข้าทำหาย หลังจากจางเฉิงฆ่าตัวตาย ข้าจึงรู้ว่ากู้เฝิ่นไต้เป็นคนเอาผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไป บ่ายวันที่ผ้าเช็ดหน้าหาย ข้ากับนางอยู่ด้วยกัน เวลานั้นข้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ นึกไม่ถึงว่านางจะวางแผนไว้ก่อนแล้ว” 

 

 

ซูจิ่วซือเข้าใจความหมายที่กู้ชิงเฉิงพูด จางเฉิงรักกู้ชิงเฉิงอยู่ก่อน เมื่อมีโอกาสได้รับผ้าเช็ดหน้าของกู้ชิงเฉิงก็ไม่ยอมทิ้ง แต่เก็บไว้กับตัวจึงเป็นเรื่องธรรมดา นึกไม่ถึงว่าจะกลายเป็นหลักฐานให้กู้เฝิ่นไต้ใส่ร้ายว่าทั้งสองลักลอบเป็นชู้กัน 

 

 

ตั้งแต่ต้นจนจบกู้เฝิ่นไต้ไม่ปรากฏตัวเลย เรื่องนี้จึงไม่มีใครสงสัยในตัวนาง อย่างมากก็มีแต่กู้ชิงเฉิงเท่านั้นที่รู้ว่าใครเป็นคนใส่ร้าย 

 

 

เรื่องนี้ไม่มีผลกระทบต่อกู้เฝิ่นไต้ ทั้งสองแม้โตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก แต่กู้เฝิ่นไต้ไม่ได้ถือว่ากู้ชิงเฉิงเป็นพี่น้องของพระนาง 

 

 

“ชิงเฉิง เจ้าโกรธกู้เฝิ่นไต้หรือไม่” 

 

 

“ก่อกรรมมามากกรรมย่อมตามสนอง นางไม่มีวันพบจุดจบที่ดีแน่ ข้าอยู่นี่ยังมีที่สงบ แต่นางสุดท้ายจะไม่ได้อะไรเลย ข้ารอดูจุดจบของนางอยู่” 

 

 

“นางไม่คิดจะละเว้นเจ้า เจ้าต้องระวังนางไว้” 

 

 

ซูจิ่วซือยังคงห่วงกู้ชิงเฉิง แม้เวลานี้กู้เฝิ่นไต้ถูกกักบริเวณ แต่เป็นเพียงชั่วคราว อีกไม่นานกู้เฝิ่นไต้ก็จะออกมา รอนางออกมาแล้วคงเกิดเรื่องแน่ 

 

 

กู้ชิงเฉิงขมวดคิ้ว “ข้าไม่มีวันละเว้นนางแน่ จิ่วซือ เจ้าเองก็ระวัง เรื่องนี้เดิมทีก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า ข้าไม่อยากให้เจ้าพลอยเดือดร้อน” 

 

 

“กู้เฝิ่นไต้มองว่าข้าเป็นหนามตำตา ถึงไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น กู้เฝิ่นไต้ก็ไม่ละเว้นข้าแน่ ชิงเฉิง ข้าจะปกป้องเจ้า” 

 

 

กู้ชิงเฉิงมองซูจิ่วซือด้วยความประหลาดใจ นึกว่าตนฟังผิด นางอดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าเป็นน้องสาวข้า เรื่องปกป้อง ข้าต่างหากที่ควรจะปกป้องเจ้า แม้ข้าจะอยู่ในวังจื่อจิงไม่ออกไปไหน แต่ก็เคยได้ยินเรื่องของเจ้ามาไม่น้อย ทำไมดูถูกข้าอย่างนี้เล่า” 

 

 

“ไม่ใช่อย่างนั้น” 

 

 

ซูจิ่วซือรีบอธิบาย 

 

 

“จิ่วซือ เจ้าไม่เหมือนเมื่อตอนเด็กเลย” 

 

 

“คนเราก็ต้องเปลี่ยนแปลง ชิงเฉิง ข้าอยากให้เจ้ามีความสุข” 

 

 

กู้ชิงเฉิงหัวเราะหึอย่างขมขื่น ไม่พูดไม่จา ได้แต่มองไกลออกไป นางกับเฟิ่งอวิ๋นหล่างก้าวมาถึงขั้นนี้ ยังจะมีความสุขได้อีกหรือ 

 

 

เฟิ่งอวิ๋นหล่างเคยรับปากนางไว้ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นจะทรงเชื่อใจนางเสมอ แต่สุดท้ายพระองค์ทรงกลืนคำตรัสนี้ นางจึงตัดสินใจแล้วว่า คงจะอยู่วังจื่อจิงไปจนแก่ตาย