ภาคที่ 4 ตอนที่ 107 เรื่องที่ทำไม่ผิด

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

หัวหน้ากองพันเจียงยืนอยู่ในกรมสืบสวนฝ่ายเหนือเหมือนคิดอะไร

 

 

“เงื่อนงำสักนิดก็ไม่มีหรือ?” เขามององครักษ์เสื้อแพรสองคนตรงหน้าแล้วเอ่ยถาม

 

 

องครักษ์เสื้อแพรส่ายศีรษะ

 

 

“สักนิดก็ไม่มีขอรับ” พวกเขาเอ่ย

 

 

“ใต้เท้าเจียง สตรีที่อยู่ศาลเทพเจ้ากวนอูคนนั้นที่แท้ทำความผิดอะไรหรือขอรับ? หากสำคัญมาก ทำไมไม่จับกลับมา เพียงแค่เฝ้าจับตา?” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งอดไม่ได้เอ่ยถาม “เพื่อเป็นเหยื่อล่อหรืออะไรอย่างอื่นขอรับ?”

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงขมดคิ้ว

 

 

“นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรถามหรือ?” เขาเอ่ยขึ้นมา “ทำงานก็พอ ถามมากมายปานนั้นทำอะไร”

 

 

องครักษ์เสื้อแพรอับอาย

 

 

“พวกผู้น้อยย่อมรู้ เพียงแต่เรื่องนี้สั่งมาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ หากทราบว่าเกี่ยวข้องกับคดีอะไร กับผู้ใด สืบหาย่อมง่ายดายอยู่บ้าง” เขาเอ่ยตอบ

 

 

“เจ้าคิดว่าทำงานล้วนง่ายดายเช่นนั้นหรือ?” หัวหน้ากองพันเจียงแค่นเสียงเหอะเอ่ย

 

 

องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายมองเขาแล้วหุบปากไม่บอกก็รู้ว่าไม่อาจถามต่อได้ ขานรับถอยออกไป

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงขมวดคิ้ว

 

 

สตรีคนนั้นเป็นนางกำนัลที่ปลดออกมาจากวัง เดิมทีปรนนิบัติอยู่เบื้องพระพักตร์องค์รัชทายาท แต่องค์รัชทายาทก็ปลดนางกำนัลที่เคยรับใช้ออกมาไม่น้อย มีเพียงคนนี้ที่สนใจเช่นนี้ก็แปลกอยู่บ้างจริงๆ

 

 

นอกจากนี้แทนที่จะบอกว่าสนใจ ยังไม่สู้บอกว่าปกป้อง

 

 

ไม่ว่าพูดอย่างไรคงจะเกี่ยวข้องกับอดีตองค์รัชทายาทด้านนั้น เรื่องที่ข้องเกี่ยวกับอดีตองค์รัชทายาท ลู่อวิ๋นฉีล้วนทำด้วยมือตนเอง กระทั่งเขาก็ไม่บอก

 

 

“มีบางเรื่องรู้ยิ่งน้อยยิ่งดี”

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเคยเอ่ยกับเขาเช่นนี้

 

 

แม้ลู่อวิ๋นฉีเย็นชาไร้หัวใจจนมีชื่อเลื่องลือไปข้างนอก แต่ปฏิบัติกับองครักษ์เสื้อแพรคนเหล่านี้ไม่เลวยิ่ง

 

 

ไม่ให้เขาถาม เขาย่อมไม่ถาม เพียงสนใจทำงานก็พอ

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงกำลังคิดวุ่นวายอยู่พลันได้ยินเสียงเอะอะพักหนึ่งด้านหน้า คล้ายมีใครมา เขาขมวดคิ้วมองไปจากนั้นสีหน้าก็พิกลอยู่บ้าง

 

 

นอกประตูมีคนมาห้าคน สวมเสื้อผ้าธรรมดาแต่ไม่ใช่คนธรรมดา

 

 

“โอ๊ะโอ๋ นี่ไม่ใช่นายท่านจินหรือ?”

 

 

มีองครักษ์เสื้อแพรเอ่ยเรียก

 

 

องครักษ์เสื้อแพรไม่น้อยล้วนล้อมเข้ามา

 

 

“โอ้ นี่วีรบุรุษแดนเหนือนี่”

 

 

“รีบมาดูสิ”

 

 

ในลานเสียงล้อเลียนดังขึ้นรอบด้าน

 

 

พวกจินสือปาหน้าแดง ไม่พูดสักคำ

 

 

พูดไปแล้วก็น่าขำเสียจริง พวกเขาคือองครักษ์เสื้อแพรที่ทุกคนหวาดกลัวรังเกียจเคียดแค้นกลับตกกระไดพลอยโจนติดตามทหารแดนเหนือเข้าสนามรบสังหารศัตรู ท้ายที่สุดยังเข้าเมืองสรรเสริญความชอบ คิดถึงวันนั้นบนถนนใหญ่ถูกชาวบ้านนับไม่ถ้วนล้อมร้องชื่นชมว่าวีรบุรุษ พวกเขาก็รู้สึกรสชาติแปลกแปร่ง

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเดินออกมาแล้ว องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายที่หัวเราะโวยวายเห็นเขาล้วนรีบเงียบเสียง ในลานกลายเป็นจริงจัง

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองจินสือปา จินสือปาก้มศีรษะคุกเข่า

 

 

“ใต้เท้า” เขาเอ่ยเสียบแหบ

 

 

ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งสนิท ไม่ยินดี ไม่โกรธเกรี้ยว

 

 

“ทำไมไม่สวมชุดขุนนาง?” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

“บางทีอาจชอบสวมชุดทหารมากกว่า?” องครักษ์เสื้อแพรที่อยู่ด้านหลังเอ่ยเสียงเบาขึ้นอีก

 

 

“พวกเจ้าอยากย้ายไปอยู่กองทหารชิงซานรึ?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้นแล้วมองไปทางหัวหน้ากองพันเจียง “ทำเรื่องให้พวกเขา”

 

 

จินสือปารีบเงยหน้า

 

 

“ไม่ขอรับ ไม่ขอรับ ใต้เท้า” เขาคุกเข่าเดินมาข้างหน้าหลายก้าว สีหน้าซีดขาวอยู่บ้าง “ผู้น้อยไม่อยาก ผู้น้อยเกิดเป็นคนขององครักษ์เสื้อแพร ตายก็เป็นผีขององครักษ์เสื้อแพร”

 

 

ลู่อวิ๋นฉีขานอ้อ

 

 

“ถ้าเช่นนั้นทำไมไม่สวมเครื่องแบบ?” เขาเอ่ยถาม

 

 

“ผู้น้อยทำงานไม่ราบรื่น ไม่มีหน้าสวมเครื่องแบบชุดนี้” จินสือปาก้มศีรษะตอบเสียงแหบ

 

 

“ทำได้ไม่เลวนี่” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น “ทำไมไม่มีหน้าสวม? คุณหนูจวินคนกลับมาอย่างปลอดภัย พวกเจ้าออกจะได้หน้าได้ตา”

 

 

พวกจินสือปาเงยหน้าขึ้นอย่างไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง

 

 

ประชดรึ?

 

 

แต่ลู่อวิ๋นฉีไม่เคยล้อเล่นแล้วก็ไม่เคยประชด

 

 

ความหมายนี่…

 

 

“ยังไม่รีบไปเปลี่ยนอีก” หัวหน้ากองพันเจียงเอ่ย “งานยุ่งนัก เวลาพักของพวกเจ้านานพอแล้ว”

 

 

พวกจินสือปาห้าคนยินดียิ่ง โขกศีรษะอย่างตื่นเต้นอีกหน

 

 

“ขอบคุณใต้เท้า ขอบคุณใต้เท้า” พวกเขาสะอื้นเอ่ย

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเดินผ่านพวกเขาจากไป

 

 

นอกกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ เหล่าองครักษ์เสื้อแพรจัดสัมภาระเตรียมเดินทาง จูงม้ามาให้ลู่อวิ๋นฉี บุรุษหน้าตาเหมือนพ่อบ้านคนหนึ่งที่รอคอยอยู่ด้านข้างตลอดยิ้มตาหยีก้าวเข้ามา

 

 

“ใต้เท้าลู่ รถม้าที่ครั้งก่อนยืมท่าน ใต้เท้าของเราให้นำกลับมาคืนแล้ว” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ เขาก็ขานรับคำหนึ่งแล้วไม่เอ่ยวาจาอีก

 

 

พ่อบ้านคนนั้นก็ไม่ได้พูดมากถอยออกไปอย่างนอบน้อม

 

 

องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งก้าวเข้ามามองรถม้านิดหนึ่ง จากนั้นก้าวไวๆ กลับมา

 

 

“ในรถมีรถม้าทองคำแท้ฝังอัญมณีขนาดเท่านี้ตัวหนึ่งขอรับ” เขาเอ่ยเสียงเบา ใช้มือวาดนิดหนึ่ง

 

 

ลู่อวิ๋นฉีขานรับอย่างไม่สนใจ ขึ้นม้าท่ามกลางเหล่าองครักษ์เสื้อแพรที่ห้อมล้อมจากไปตามถนน ทิศทางที่เขาไป คือที่ตั้งจวนสกุลลู่และวังไหวอ๋อง

 

 

ส่วนคุณหนูจวินกับจูจั้นเวลานี้ออกจากวังไหวอ๋องแล้ว

 

 

เฉิงกั๋วกงฉับพลันออกกระบวนท่าไม่คาดฝันเคาะประตูใหญ่วังไหวอ๋อง พวกเขาไม่อาจใช้เรื่องนี้อยู่ที่วังไหวอ๋องนานได้จริงๆ ต่อมาจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทุกสิ่งล้วนยังไม่แน่ อย่างไรก็คงไม่ใช่เรื่องดีอะไร

 

 

ทั้งสองเดินไปตามถนนช่วงหนึ่งอย่างเงียบงัน

 

 

ฟ้าสว่างมากแล้ว บนถนนคนเดินไปเดินมาครึกครื้น พวกเขาหนึ่งหน้าหนึ่งหลังเดินตัดผ่านอยู่ข้างใน มีคนไม่น้อยที่จำคุณหนูจวินกับจูจั้นได้พากันทักทาย คุณหนูจวินอมยิ้มพยักหน้าคำนับคืนบางครั้ง เพียงแต่นางดูคล้ายมองเห็นคนเหล่านี้แต่ก็คล้ายสิ่งใดล้วนมองไม่เห็น

 

 

ฉับพลันคุณหนูจวินก็หยุดเท้า จูจั้นที่เดินอยู่ด้านหลังก้มศีรษะไม่ให้บาดแผลบนหน้าถูกผู้คนมองเห็นจึงหวิดจะชนนางเข้า

 

 

“ทำอะไร?” เขาเอ่ยถามเสียงหงุดหงิด

 

 

“ข้าหิวแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย สายตามองไปยังทิศหนึ่ง

 

 

ร้านอาหารร้านหนึ่งตรงหัวถนนด้านนั้นซาลาเปาแข่งแล้วเข่งเล่าเพิ่งออกจากหม้อ ควันร้อนกับกลิ่นหอมอบอวลรอบด้าน

 

 

“ที่บ้านมีของกิน” จูจั้นเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

 

 

“ก็ข้าจะกินที่นี่” คุณหนูจวินเอ่ยบอก ยกเท้าเดินไปด้านนั้นเหมือนเด็กน้อยดื้อรั้นคนหนึ่ง

 

 

“ตอนนี้เวลานี้…” จูจั้นเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดอยู่บ้าง แต่คุณหนูจวินสนใจก็ไม่สนใจตรงดิ่งเข้าไปแล้ว เขาได้แต่กัดฟันกรอดตามไปด้วย

 

 

เนื่องจากเป็นแผงร้านเรียบง่ายริมทาง ส่วนใหญ่เป็นของซื้อเดินกิน ดังนั้นจึงตั้งโต๊ะเตี้ยไว้สองตัวเท่านั้น

 

 

คุณหนูจวินกับจูจั้นยึดครองสองโต๊ะ

 

 

คนขายซาลาเปาย่อมรู้จักพวกเขา ยินยอมหน้าระรื่น นอกจากนี้ยังเข้าใจความรู้สึกของสามีภรรยาเยาว์วัยยิ่งว่าชอบอยู่ลำพังโดยไม่ถูกคนรบกวน จึงใส่ใจดึงม่านไม้ไผ่ที่ใช้กันแดดฤดูร้อนอันร้อนแรงขึ้นด้วย

 

 

แม้โต๊ะหยาบแต่เช็ดสะอาดยิ่ง ซาลาเปาสองเข่งวางไว้บนโต๊ะ คุณหนูจวินกับจูจั้นต่างคนมีน้ำส้มสายชูกระเทียมสับถ้วยหนึ่งกินไม่เงยหน้า

 

 

ม่านไม้ไผ่กั้นสายตาของคนเดินถนน แต่กั้นเสียงพูดคุยไม่ได้

 

 

“…เฉิงกั๋วกงก็เข้าวังไหวอ๋องไปเช่นนี้…”

 

 

“…มีไมตรีมีคุณธรรมจริงๆ ได้ยินว่าไหวอ๋องประชวรปุบก็ไปเยี่ยมทันที…”

 

 

“…เช่นนี้ถึงถูกต้อง ข้าบอกแล้วเฉิงกั๋วกงไม่มีทางนั่งเฉยไม่สนใจหรอก”

 

 

“…สนใจแล้วอย่างไร เจ้ากระโดดโลดเต้นเช่นนี้เหมือนฝ่าบาททารุณไหวอ๋องหรืออย่างไร…”

 

 

“…ข้าไม่ได้พูดเช่นนี้นะ! เจ้าพูดจาระวังหน่อย”

 

 

เสียงถกเถียงบนถนนดังขึ้นแล้วหายไปอย่างรวดเร็วยิ่ง ผู้คนในเมืองหลวงอย่างไรก็สัมผัสไวรู้ว่าประเด็นนี้ไม่ใช่ประเด็นสนทนาที่ดีอะไร เป็นไปได้อย่างที่สุดว่าจะหาภัยใส่ตัว

 

 

จูจั้นวางตะเกียบลง

 

 

“ข้าไม่รู้ว่าบิดาข้าทำไมทำเช่นนี้” เขาเอ่ยขึ้น “แล้วข้าก็ไม่ได้เกลี้ยกล่อมขอร้องเขาให้ทำเช่นนี้ด้วย เพราะข้าคิดว่าทำเช่นนี้ไม่มีความหมายจริงๆ”

 

 

นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาคุยเรื่องนี้หลังได้รู้ว่าเฉิงกั๋วกงเข้าไปในวังไหวอ๋อง

 

 

คุณหนูจวินกัดซาลาเปาลูกหนึ่งเบาๆ

 

 

“ข้าก็คิดว่าทำเช่นนี้ไม่มีความหมายจริงๆ แต่ข้ายอมรับว่าข้าเบิกบานใจยิ่ง” นางเอ่ยพลางมองจูจั้น “เหมือนตอนนั้นที่ท่านแย่งต้นเซียนจื่ออิงของข้าเพียงเพื่อใช้มอบดอกไม้ดอกหนึ่งหน้าสุสานขององค์หญิงจิ่วหลิงเช่นนั้น”

 

 

นี่คือคราวเดียวชมพวกเขาพ่อลูกสองคนหรือ?

 

 

สตรีคนนี้ปากทาน้ำผึ้งยอคนเก่งเสียจริง ดูสิพ่อแม่ของเขาถูกยอจนกลายเป็นอะไรไปแล้ว

 

 

จูจั้นกระตุกมุมปาก ฉับพลันก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่งได้อีก

 

 

“เจ้าอย่ายกตัวอย่างส่งเดชนะ” เขาคิ้วตั้งท่าทางระแวงเอ่ย “ข้ามอบดอกไม้เป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า”

 

 

……………………………………….