ภาคที่ 4 ตอนที่ 108 เพียงเพราะใจต้องการ

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

คุณหนูจวินไม่เอ่ยวาจา

 

 

ฟันเล็กๆ กัดทะลุซาลาเปาบางดั่งปีกจักจั่นเบาๆ ตั้งใจจดจ่อสูดน้ำแกงแล้วกินต่อช้าๆ

 

 

จูจั้นก็ไม่ได้เอ่ยวาจาอีกเช่นกัน ก้มหน้ากินซาลาเปา

 

 

ไม่ว่าเงียบงันหรือเอ่ยปากโต้แย้งความคิดเห็น ระหว่างทั้งสองคนก็เหมือนจะเป็นสิ่งธรรมดา ไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาดหรือกระดากอาย

 

 

คงเพราะตลอดทางตั้งแต่แดนเหนือมาถึงเมืองหลวงอยู่ร่วมกันอย่างกระอักกระอ่วนและประหลาดเท่าใดล้วนผ่านมาแล้ว ถึงตอนนี้ไม่มีสิ่งใด้ให้พวกเรารู้สึกขัดเขินอีกแล้ว

 

 

เสียงเอะอะริมถนน ร้านค้าแผงลอยเรียกขายของ ดวงตะวันค่อยๆ ลอยสูง ทำให้รอบด้านกลายเป็นอื้ออึ้งและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

 

 

“คงพอแล้วสินะ” จูจั้นมองคุณหนูจวินแล้วขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “เด็กสาวคนหนึ่งกินมากปานนั้น”

 

 

คุณหนูจวินวางตะเกียบจากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปาก

 

 

“กินอิ่มแล้วถึงมีเรี่ยวแรงไหม” นางเอ่ยพลางลุกขึ้นตัวตรงเดินไปข้างนอก

 

 

จูจั้นเอาเงินไปวางไว้บนโต๊ะแล้วหิ้วหีบยา

 

 

“กินอิ่มแล้วมีเรี่ยวแรง” เขาเอ่ยพลางเบ้ปาก “มีเรี่ยวแรงยังให้ข้าหิ้วหีบยาอีก”

 

 

โรงหมอจิ่วหลิงเปิดประตูแล้ว พนักงานคนหนึ่งจัดตู้ยาอยู่ในโถง ฟางจิ่นซิ่วนั่งดูสมุดบัญชีเหมือนปกติ เงียบสงบไปหมด

 

 

“กลับมาแล้วหรือ?” ฟางจิ่นซิ่วเงยหน้าเอ่ยถาม

 

 

น้ำเสียงเรียบเฉยไม่มีความกังวลสักนิด คล้ายพวกเขาเพียงไปเดินเที่ยวถนนเล่นสนุกกลับมาเท่านั้น

 

 

“คุณหนู ท่านเขย พวกท่านทานอาหารแล้วหรือยัง?” หลิ่วเอ๋อร์กระโดออกมาจากด้านหลังเอ่ยถาม

 

 

“ทานแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยตอล

 

 

เฉินชีได้ยินก็เดินออกมาจากด้านใน

 

 

“เป็นอย่างไร?” เขาเอ่ยถามติดจะวิตกอยู่บ้าง

 

 

นับว่ามีคนปฏิกิริยาปกติอยู่คนหนึ่ง

 

 

จูจั้นยิ้ม

 

 

“เจ้าดูสิ นิสัยนี่ของเจ้า” เขามองคุณหนูจวินแล้วเอ่ยขึ้นมา “มีเพียงคนผู้นี้คนเดียวที่เป็นห่วงเจ้า”

 

 

“มีอะไรน่าเป็นห่วง” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “ตั้งแต่เข้าเมืองหลวง…”

 

 

พูดถึงตรงนี้นางก็หยุดชะงัก

 

 

“ไม่ ตั้งแต่นางมาตระกูลของพวกเราก็ไม่มีสักนาทีที่ทำให้คนไม่เป็นห่วง ชินเสียแล้ว”

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า

 

 

จูจั้นแค่นเสียงเหอะไม่เอ่ยวาจาแล้ว

 

 

“เรื่องราวเป็นอย่างไร?” เฉินชีเอ่ยถามอีกครั้ง

 

 

“ไม่เป็นไร ไหวอ๋องสบายดีทุกอย่าง” คุณหนูจวินตอบ คิดถึงเด็กคนนั้นบนใบหน้ารอยยิ้มก็ล้นปรี่ออกมา

 

 

เดิมทีเป็นห่วงว่าตนจากไปหนึ่งปีก่อน จิ่วหรงจะสะเทือนใจจนเศร้าซึม ตอนนี้ดูแล้วเขายังคงมีชีวิตชาวาดีเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังเข้าใจเรื่องราวกระจ่างยิ่งกว่าเดิมด้วย เห็นการกระทำและวาจายามเขาเผชิญหน้าเฉิงกั๋วกง ใจกว้างสบายๆ คำพูดคำจามีมารยาท ไม่ถ่อมตัวไม่หยิ่งยโส นางตื่นตะลึงและปลื้มปิติจริงๆ

 

 

นี่อาจเป็นสติปัญญาแต่กำเนิดของจิ่วหรง สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการสั่งสอนภายหลัง

 

 

บัณฑิตกู้คนนั้นใส่ใจสั่งสอนจิ่วหรงจริงๆ ทำให้เขาไม่น้อยเนื้อต่ำใจจากการถูกกักขัง และไม่เอาแต่ใจเพราะฐานะองค์ชายในอดีต ทำให้จิ่วหรงได้สัมผัสความสุขของชีวิตมนุษย์ท่ามกลางสภาพที่โชคร้าย ไม่เคียดแค้นกับชีวิต แต่รักและวาดหวัง

 

 

มีรักถึงมีความหวัง มีความหวังถึงมีชีวิตอย่างมีความสุขสบายใจได้

 

 

บางทีนางควรมอบเงินให้บัณฑิตกู้สักหน่อยด้วย?

 

 

คิดถึงตรงนี้ก็หัวเราะอีกหน อาจารย์ที่มีความสามารถเช่นนี้อยู่ที่ไหนถึงแสวงหาอนาคตกับเงินทองไม่ได้ จะยินดีถูกขังอยู่ในวังไหวอ๋องใช้ชีวิตที่ไร้อนาคตชั่วนิรันดร์ เพื่อเงินรึ

 

 

เขาเคยพูดว่าเป็นสหายเก่าของอาจารย์ บางทีควรให้เขาพบพวกอาจารย์หญิงสักครั้ง

 

 

แต่หากเป็นสหายเก่าของอาจารย์ ถ้าเช่นนั้นทำไมเขาจะมาสั่งสอนจิ่วหรง? อาจารย์ไม่ติดค้างอันใดกับราชวงศ์นี่ หากจะพูดว่ามีความสัมพันธ์ให้ได้ ก็มีกับตน บัณฑิตกู้คนนั้นเพราะตนถึงมาดูแลจิ่วหรงหรือ?

 

 

เดิมคิดว่าชีวิตเดียวดายของตนเอง ตายแล้วก็ตายไป บิดามารดาอาจารย์ล้วนตายแล้ว นอกจากจิ่วหรงกับจิ่วหลี บนโลกนี้ไม่มีใครจดจำนางได้อีกแล้ว คิดไม่ถึงมีจูจั้น มีบัณฑิตกู้ล้วนยังคิดถึงนาง

 

 

“เจ้ามองอะไร อย่าใช้สายตาเช่นนั้นมองข้านะ” จูจั้นถลึงตาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะพรืด

 

 

เจ้าคนฉลาดและสัมผัสเฉียบไวคนนี้

 

 

เฉินชีเห็นนางหัวเราะก็ยิ้มเจื่อนๆ นิดหนึ่ง

 

 

“แต่ที่ข้าอยากถามคือเรื่องนี้เป็นอย่างไร” เขาเอ่ย

 

 

ทุกคนล้วนรู้ว่าครั้งนี้ไหวอ๋องคือกับดักวางที่ไว้ให้เฉิงกั๋วกง เดิมทีอยากให้เฉิงกั๋วกงออกปากคัดค้านในการประชุมขุนนาง คิดไม่ถึงเฉิงกั๋วกงร้ายกาจยิ่งกว่า ถึงกับตรงเข้าไปในวังไหวอ๋องเยี่ยมไหวอ๋อง

 

 

ถ้าเช่นนั้นฮ่องเต้จะคิดอย่างไร? ต่อไปจะเกิดสิ่งใดขึ้น?

 

 

“ควรเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น”

 

 

คุณหนูจวินกับจูจั้นต่างปากเอ่ยเป็นเสียงเดียว

 

 

พูดจบทั้งสองคนพลันสบตากันทีหนึ่ง คุณหนูจวินยิ้ม ส่วนจูจั้นแค่นเสียงเหอะทีหนึ่งหมุนตัวไป

 

 

เฉินชีปรบมือโล่งออก

 

 

“ที่แท้พวกเจ้าหารือกันเสร็จแล้ว” เขาเอ่ย “ถ้าเช่นนั้นก็ดี”

 

 

หารือกันที่ไหน ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาเอ่ยถึงเรื่องนี้เพียงประโยคเดียว แต่มีสิ่งใดน่าหารือกันอีกเล่า ในเมื่อทำแล้วก็ทำไปแล้ว กลัวอะไร สิ่งใดมารับมือกับสิ่งนั้นก็พอ

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง จูจั้นหันหน้าหนีอีกหน

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

“ทำไมข้าทำเช่นนี้?”

 

 

เมื่อเฉิงกั๋วกงกลับมาถึงในจวน จูจั้นกับคุณหนูจวินล้วนอยู่

 

 

ได้ยินคำถามของพวกเขา เฉิงกั๋วกงก็ยิ้ม

 

 

“นี่มีทำไมอะไรกัน ได้ยินว่าเด็กน้อยที่รู้จักคนหนึ่งป่วย เป็นใครล้วนต้องไปเยี่ยม” เขาเอ่ยอย่างอ่อนโยน

 

 

ทว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่เด็กธรรมดา

 

 

“เด็กก็คือเด็ก เขาเป็นเด็กคนหนึ่งเป็นอย่างแรก รองจากนั้นถึงเป็นอย่างอื่น” เฉิงกั๋วกงอธิบาย มองคุณหนูจวินแล้วแย้มยิ้ม “คุณหนูจวิน ข้าว่าท่านก็คงไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาเหมือนกัน”

 

 

แน่นอนไม่มีทาง

 

 

คุณหนูจวินส่ายศีรษะ

 

 

ไม่ว่าเฉิงกั๋วกงตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิตของนาง หรือเพียงแค่ใส่ใจจิ่วหรงถึงทำเรื่องเช่นนี้ นางล้วนไม่มีทางรู้สึกว่าเป็นปัญหา

 

 

“เด็กคนนั้นเป็นอย่างไร?” นายหญิงอวี้เอ่ยถามท่าทางใคร่รู้อยู่บ้าง

 

 

“เด็กคนนั้นดียิ่ง” เฉิงกั๋วกงเอ่ยอย่างอ่อนโยน จากนั้นชะงักครู่หนึ่ง “เหมือนบิดาของเขา”

 

 

คุณหนูจวินดวงตาเคืองวูบหนึ่ง

 

 

“ถ้าเช่นนั้นพวกท่านทำงานกันเถิด ข้ากลับก่อนแล้ว” นางเอ่ยขึ้น “มีสิ่งใดต้องการความช่วยเหลือของข้า บอกได้เต็มที่”

 

 

พูดจบไม่รอพวกเฉิงกั๋วกงตอบรับก็ผลุนผลันคำนับทีหนึ่งหมุนตัวจากไปแล้ว

 

 

นายหญิงอวี้อึ้ง

 

 

“เด็กคนนี้…” นางเอ่ยขึ้น

 

 

“นางก็เป็นเช่นนี้ ทั้งวันแปลกประหลาด” จูจั้นแค่นเสียงเหอะเอ่ย “ต้องไปร้องไห้อีกแน่”

 

 

พูดจบจึงมองเฉิงกั๋วกง

 

 

“พ่อ ถ้าอย่างนั้นฝ่าบาทว่าอย่างไร? ต่อไป…” เขาเอ่ยถาม

 

 

คำถามยังเอ่ยไม่จบก็ถูกนายหญิงอวี้ถีบหนึ่งเท้า

 

 

“ว่างรึเจ้า ยังไม่รีบกลับไปกับคุณหนูจวินอีก” นางเอ็ดอย่างไม่สบอารมณ์

 

 

ว่าง?

 

 

จูจั้นถลึงตา เขาไปส่งนางกลับสิถึงว่าง ตอนนี้เรื่องไหนถึงสำคัญ!

 

 

“บอกเจ้า เจ้ายังไม่ฟังอีก” นายหญิงอวี้คิ้วตั้ง

 

 

“พ่อ” จูจั้นมองเฉิงกั๋วกงอย่างน้อยใจ

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มทีหนึ่ง

 

 

“ไม่เป็นไร เจ้าไปเถอะ ไม่ต้องกังวล” เขาเอ่ย “ปัญหาเป็นเรื่องของช้าเร็ว ไม่ใช่แค่เพียงเพราะเรื่องนี้ ฝ่าบาทผูกปมในใจแล้ว ข้ารู้ทำอย่างไรถึงแก้ได้ ทว่า”

 

 

เขาไพล่มือแย้มยิ้ม

 

 

“ทว่าเช่นนั้นข้าย่อมไม่ใช่จูซานในวันนี้

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

คุณหนูจวินก้าวไวๆ เดิน หลังออกจากจวนเฉิงกั๋วกง น้ำตาของนางก็กลั้นไม่อยู่อีกต่อไปร่วงลงมา

 

 

เฉิงกั๋วกงบอกว่าพระบิดาดียิ่ง

 

 

พระบิดาดียิ่ง

 

 

พระบิดาดียิ่ง ดังนั้นยังมีคนจดจำเขาได้ ไม่ใช่ทุกคนล้วนลืมเลือนเขาแล้ว

 

 

นี่ก็คือความยุติธรรม สวรรค์มีความยุติธรรม

 

 

ต้องมีความยุติธรรมแน่นอน

 

 

พระบิดาไม่มีทางสิ้นไปเสียเปล่าเช่นนี้ จิ่วหรงก็ไม่มีทางถูกกักขังไว้ทั้งชีวิต ไม่มีทางเด็ดขาด

 

 

นางเช็ดน้ำตาออกไป ร่างตรงสง่าก้าวเดินไปข้างหน้าช้าๆ

 

 

นางไม่หันหลังกลับ ดังนั้นจึงไม่เห็นว่าหลังร่างไม่ไกล จูจั้นหิ้วหีบยาไม่ใคร่จะยินดีติดตามอยู่ แม้ไม่ใครจะยินดีกลับไม่ดึงระยะห่างไกลเกินไป เดินผ่านในหมู่คน ไม่เข้าใกล้และไม่ออกจากสายตา

 

 

……………………………………….