ตอนเวินหลานฉีลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว เธอรู้สึกเพียงแค่ร่างกายอ่อนเพลียจนไม่อยากลุกขึ้น ทั้งตัวก็ร้อนผะผ่าว
พอคิดว่าเมื่อคืน…กับเขา เธอก็ขุ่นเคืองอย่างอายๆ อยู่บ้าง
คนที่ไหนจะมีแรงคึกคักมีชีวิตชีวาขนาดนี้กันล่ะ ทำไปตั้งหลายครั้งไม่เหนื่อยแย่หรือไง กลับกันเป็นเธอเองเสียอีกที่เหนื่อย จนตอนนี้ลงจากเตียงยังไม่ไหว และดูเหมือนว่าอุณหภูมิร่างกายยัง…ร้อนจนน่ากลัวอีก
“อาเยี่ยน? คุณอยู่ไหน” เธอเรียกหาเขาอย่างอ่อนแรง
“ฉีฉี ผมอยู่นี่ไงล่ะ” ฮั่วฉินเยี่ยนได้ยินเสียงจึงผลักประตูเข้ามา
“ตื่นแล้วเหรอ”
“อืม…อาเยี่ยน ฉันไม่สบาย…” เวินหลานฉีพูดอย่างอ่อนเพลีย
ฮั่วฉินเยี่ยนรีบก้าวเข้าไปหา แต่กลับพบว่าตัวของเวินหลานฉีร้อนอย่างร้ายแรง พอเอามืออังหน้าผาก ก็เหมือนว่าจะไข้ขึ้น จึงรีบหาปรอทวัดไข้มาวัดอุณหภูมิร่างกายของเธอ
“ให้ตายสิ ทำไมมันสูงขนาดนี้” เมื่อฮั่วฉินเยี่ยนเห็นเลข 39 บนปรอทวัดไข้ จึงเป็นห่วงอย่างร้อนใจ
หลังจากรื้อค้นทั่วทุกซอกทุกมุมของบ้านแล้วก็ได้แต่สบถอย่างเงียบๆ ทำไมในบ้านไม่มีแม้แต่ยาแก้หวัด หรือยาลดไข้เลยสักอย่าง จึงรีบโทรหาร้านขายยาให้ส่งยามาที่บ้าน ส่วนตนเองก็ไม่ได้นิ่งดูดาย รีบไปเอาผ้าขนหนูชุบน้ำมาเช็ดตัวให้เวินหลานฉี เพื่อให้อุณหภูมิลดลง
เมื่อเห็นว่าฮั่วฉินเยี่ยนเป็นห่วงตนเองขนาดนี้ ใจเวินหลานฉีก็อุ่นวาบขึ้นมา มืออ่อนนุ่มทั้งสองคอยลูบหัวคิ้ว ที่ขมวดแน่นของฮั่วฉินเยี่ยนอย่างช่วยไม่ได้
“เด็กดี อย่าซน เดี๋ยวจะไม่ได้อยู่สบายๆ เอานะ” น้ำเสียงอ่อนโยน และลมหายใจอุ่นร้อนรินรดแก้มเวินหลานฉี ทำเอาใบหน้าน้อยๆ เดิมทีขาวซีด มีเลือดฝาดมากกว่าเดิม
เขาคือชายหนุ่มผู้เย็นชาไร้น้ำใจดั่งภูเขาน้ำแข็งในสายตาผู้คนนับหมื่น เป็นชายที่เพียงเหยียบย่ำเท้าก็ทำให้ทั้งเมืองหลวงต้องสั่นสะเทือนเชียวนะ เขามอบความอ่อนโยนทั้งหมดของเขาให้แก่เธอ แล้วจะให้เธอ…ต่อต้านได้อย่างไร
พอกินยาแล้ว เวินหลานฉีก็จมลึกเข้าสู้ห้วงนิทรา
หลังจากฮั่วฉินเยี่ยนโทรศัพท์หาผู้ช่วย ให้ยกเลิกตารางงานของเขาทั้งหมดแล้ว ก็นอนหลับข้างๆ เธอได้อย่างสบายใจ
ตอนนี้เขาแทบอยากจะปกป้องและทะนุถนอมเธอไว้ในมือ เมื่อเห็นเธอไม่สบายเพราะป่วย จริงๆ ก็แค่เป็นไข้เท่านั้น แต่เขากลับไม่มีอารมณ์ทำงานเลยแม้แต่น้อย
เฮ้อ ยัยผู้หญิงคนนี้ ทำให้ตนหลงเธอแทบตายจริงๆ นะเนี่ย ฮั่วฉินเยี่ยนคิดอย่างจนปัญญา หากแต่…เหมือนว่าตนจะเต็มใจอยู่เหมือนกันนี่นา
เวินหลานฉีฝันอีกครั้ง ในฝันนั้นฮั่วฉินเยี่ยนบอกเธออย่างไร้น้ำใจ ว่าเธอเป็นแค่ตัวแทนเท่านั้น บอกให้เธอออกไปจากชีวิตของเขา เธอพร่ำขอร้องอย่างน่าเวทนา แต่ก็ไม่สามารถเอาคืนกลับมาได้ เธอจึงทำได้เพียงมองฮั่วฉินเยี่ยนเดินจากไป และไม่ว่าเธอจะไล่ตามเท่าไร ก็ไล่ตามฝีเท้าของเขาไม่ทัน
“ฉีฉี? ฉีฉี!” เสียงตะโกนอย่างร้อนใจของฮั่วฉินเยี่ยนปลุกเวินหลานฉีขึ้นมาจากห้วงฝัน ลูบเบาๆ บริเวณแก้มของเธอ ก็พบว่ามันเปียกชื้นอยู่นานแล้ว
เมื่อพบว่าเธอตะโกนร่ำไห้อยู่ในฝัน จนแก้มเปียกชื้น ฮั่วฉินเยี่ยนจึงรีบร้อนปลุกเธอขึ้นมาทันที
“อาเยี่ยน…ฉันฝันว่าคุณ…ไม่ต้องการฉันแล้ว” เวินหลานฉีพร่ำพูดวนไปมา พร้อมทั้งหลับตาทั้งสองข้างลง ประหนึ่งลูกแมวตัวน้อยๆ ขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของฮั่วฉินเยี่ยน
“ยัยบื้อ ผมจะไม่ต้องการคุณได้ยังไงล่ะ อดีตพวกนั้น…อย่าไปนึกถึงมันอีกเลย…” ฮั่วฉินเยี่ยนลูบเส้นผมสีดำขลับของเธออย่างปวดใจ และพรมจูบซับน้ำตาที่ยังคงหลงเหลือบริเวณหางตาให้เธอ
เวินหลานฉีค่อยๆ ขยับแนบชิดอ้อมกอดของฮั่วฉินเยี่ยนด้วยรอยยิ้มเริงร่า
ความอ่อนนุ่มบริเวณหน้าอกขวางกั้นแผงอกของฮั่วฉินเยี่ยนเอาไว้ อุณหภูมิร่างกายร้อนดั่งนั่งอยู่บนกองไฟปลุกปั่นความปรารถนาของฮั่วฉินเยี่ยนในทุกๆ กระเบียดนิ้ว แก้มแดงอ่อนๆ ใสแจ๋ว ดูสวยหยาดเยิ้มกว่าเดิม
นี่มันเป็นปีศาจตัวน้อยจริงๆ ป่วยแล้วยังยั่วยวนขนาดนี้อีก ฮั่วฉินเยี่ยนคิดอย่างทนฝืนต่อความปรารถนา
ฮั่วฉินเยี่ยนแตะหน้าผากของเวินหลานฉีเบาๆ ดูเหมือนว่าตัวจะไม่ได้ร้อนขนาดนั้นแล้ว พอวัดอุณหภูมิพบว่าอุณหภูมิลดเหลือ 37 องศาเซลเซียส ก็ถือว่าสบายใจได้แล้วล่ะ
ฮั่วฉินเยี่ยนรวบเวินหลานฉีเข้ามาในอ้อมกอด ก้มลงมองกลับเห็นเพียงก้อนนุ่มนิ่ม สีขาวราวหิมะบริเวณหน้าอกสองก้อน เนื่องจากการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของเธอบดเบียดมันเข้ามา จนเกิดเป็นร่องลึกน่าหลงใหล ด้วยเพราะซมอยู่บนเตียงจากอาการป่วย ฮั่วฉินเยี่ยนจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอ…
ทว่าตอนนี้เขากลับอดเสียใจภายหลังไม่ได้ ให้ตายสิ ครั้งหน้าคงต้องซื้อชุดนอนมิดชิดเสียแล้ว ฮั่วฉินเยี่ยนนึกอย่างคับแค้นใจ
เดิมทีชุดนอนบนตัวของเวินหลานฉีก็ไม่ได้มิดชิดอะไรอยู่แล้ว พอเธอขยับนิดขยับหน่อย คอวีลึกก็ยิ่งไหลลงไปข้างล่าง เผยหน้าอกขาวดุจหิมะเกินกว่าครึ่ง หน้าอกนูนออกมาเล็กน้อย ซึ่งเห็นได้ชัดเป็นพิเศษผ่านชุดนอนผ้าไหม
แสงวสันต์สาดส่อง [1] ทำให้ฮั่วฉินเยี่ยนละสายตาออกไปจากเธอไม่ได้ ได้แต่จับจ้องมองอยู่ตรงนั้น
เมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายฮั่วฉินเยี่ยนที่กอดเธออยู่ ส่วนนั้นของเขาค่อยๆ แข็งขึ้นจนดุนดันแถวเอวนุ่มนิ่มของเธอ เวินหลานฉีอดเบิกตาโพลงด้วยความหน้าแดงไม่ได้ พอเงยหน้ากลับเจอสายตาของฮั่วฉินเยี่ยนจับจ้อง…หน้าอกหน้าใจของเธอ
เวินหลานฉีจ้องฮั่วฉินเยี่ยนอย่างโกรธเคือง แล้วผลักเขาออกอย่างไม่พอใจ
อีตานี่ทำไมถึงคึกได้ขนาดนี้นะ เมื่อวานก็ทำเธอทั้งคืนแล้ว แต่วันนี้ยังดูเหมือนไม่เหนื่อยเลยสักนิด พอคิดถึงเรื่องเมื่อคืน เวินหลานฉีก็อดคิดในใจไม่ได้
สงสัยต่อไปคงทำดีกับเขาเกินไปไม่ได้แล้ว คงต้องให้เขาลิ้มรสสักหน่อย ว่าความรู้สึกมองได้แต่กินไม่ได้มันเป็นอย่างไร จะปล่อยให้ความปรารถนาของเขาติดจนเป็นนิสัยไม่ได้
ทันทีที่ฮั่วฉินเยี่ยนเห็นเธอผลักออก ก็บุ้ยปากโผเข้าหาอ้อมกอดของเธอ ทำทีเป็นออดอ้อนฉอเลาะทันที
“กินไม่ได้แล้วยังจะไม่ให้ผมมองอีกเหรอ คุณไม่กลัวสามีคุณอึดอัดแย่หรือไง”
“เหอะ อึดอัดแย่เลยก็ดีสิ!” เวินหลานฉีพูดกับตัวเองเสียงเบา แต่ฮั่วฉินเยี่ยนกลับได้ยิน
ดูท่าวันนี้ถ้าไม่ลงโทษยัยปีศาจตัวน้อยนี่สักหน่อย คงไม่รู้จักชั่วดีเสียแล้ว ฮั่วฉินเยี่ยนคิดไปพลาง ก็พลอยพลิกตัวกดเวินหลานฉีลงใต้ร่าง
“อาเยี่ยน ฉันผิดไปแล้ว ดูสิเนี่ย ฉันยังเป็นไข้อยู่เลยนะ คงไม่เหมาะจะออกกำลังกายดุเดือดเกินไปหรอก ว่าไหม~” เวินหลานฉีท่าทางเช่นนั้น จึงรีบอ้อนวอนด้วยเสียงออดอ้อน
“หึ ยัยปีศาจ เห็นแก่อาการไข้ของคุณ ผมจะปล่อยคุณไปสักครั้งแล้วกัน แล้วอันนี้คุณว่าจะแก้ปัญหายังไง!” ฮั่วฉินเยี่ยนผละออกจากเวินหลานฉีอย่างไม่เต็มใจ แล้วชี้ไปยังส่วนนั้นของตัวเองที่ดุนดันขึ้นมานาน แล้วเบือนหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์
เฮ้อ ที่แท้ท่านประธานเวลาทำซึนนี่รับมือยากจริงๆ นะ
“งั้น…คุณว่าต้องทำยังไงล่ะ”
ฮั่วฉินเยี่ยนมองแก้มแดงปลั่งของเวินหลานฉี แล้วดึงมือเล็กของเวินหลานฉีมา ทาบทับลงไปบนส่วนนั้นของตน ที่ดุนดันขึ้นมานานแล้ว ด้วยสีหน้ามาดร้าย
“คุณ!” เวินหลานฉีสูดลมหายใจ เบิกตาโพลงอย่างรวดเร็ว สัมผัสถึงความร้อนผะผ่าวของส่วนนั้น ที่อยู่ในมือได้อย่างชัดเจน และยิ่งขยายคับพองขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะห่อไว้ไม่ผิด
เธอเบิกตาโต พยายามดิ้นรนจะชักมือกลับให้ได้ แต่กลับถูกฮั่วฉินเยี่ยนจับเอาไว้แน่น บังคับให้เธอวางมือไว้บนส่วนนั้นของเขาโดยไม่ละไปไหน
“ฉีฉี” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าราวกับเสียงกระซิบ นัยน์ตาล้ำลึกเต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความปรารถนา
มือเล็กถูกมือใหญ่กุมเอาไว้ แล้ววางทาบลงบนส่วนนั้นของเขา เวินหลานฉีสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในฝ่ามือ จนอดตัวสั่นเทาเบาๆ ไม่ได้
มือเล็กวางทาบอยู่บนส่วนนั้นของเขา โดยไม่กล้าแม้แต่ขยับมั่วซั่วอีก หากแต่ฮั่วฉินเยี่ยนยังไม่พอใจที่เธอทำเช่นนี้ มือใหญ่เริ่มชักนำให้มือเล็กสาวไปมา
เรือนกายของเวินหลานฉีซบแผงอกฮั่วฉินเยี่ยนอย่างไร้เรี่ยวแรง ปล่อยให้เขาชักนำไปตามอำเภอใจ สาวมือขึ้นลงติดๆ กัน ไปตามการชักนำของเขา ยิ่งเธอทำเร็วขึ้น ก็ยิ่งเร่งรัดมากขึ้น
เวลานี้ในหัวของเธอขาวโพลนไปหมด รู้แค่ต้องขยับเคลื่อนไหวซ้ำๆ และดูเหมือนว่ายิ่งทำก็ยิ่งชำนาญมากขึ้น
เขาค่อยๆ ปล่อยมือเธอ
ความอบอุ่นบริเวณหลังมือนั้นหายไป ทันทีที่จังหวะเคลื่อนไหวของเวินหลานฉีช้าลง “ฉีฉี อย่าหยุด” ฮั่วฉินเยี่ยนกระซิบแผ่วเบา ทั้งลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดต้นคอของเวินหลานฉี ความคิดตีรวนสับสนอยู่บ้าง
ฮั่วฉินเยี่ยนปล่อยมือของเธอ ค่อยๆ ลูบคลำความนุ่มนวลขาวเนียนของเธอ คลึงเคล้นดูดดึง ส่วนนิ้วเรียวยาวก็เกี่ยวดึงความอ่อนนุ่มอีกข้าง ดันก้อนปทุมถันอวบอิ่มขาวเนียนทั้งสองเบียดแนบชิดกันตรงกลาง จนเห็นร่องลึกแสนยั่วยวน
“อืม…” ร่างกายของเวินหลานฉีตอบสนองอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ความรู้สึกเจ็บนิดๆ และความเสียวซ่านจากบริเวณหน้าอก ทำให้หลุดเสียงครางอืออาออกมา
เมื่อได้ยินเสียงอันแสนยั่วยวนของเธอ ฮั่วฉินเยี่ยนก็แทบจะกลั้นเอาไว้ไม่ไหว
“ฉีฉี อย่าหยุด เร็ว เร็วอีกนิด” ฮั่วฉินเยี่ยนเอ่ยเร่งจังหวะเคลื่อนไหวของเธอ นัยน์ตาดำขลับมีประกายไฟลุกโชน จดจ้องความละมุนละไมบริเวณหน้าอก สายตามองปทุมถันสีแดงโดดเด้งออกมาจากซอกนิ้ว เม็ดเบอรี่สีช็อกโกแลตน้อยๆ ทั้งสองตั้งตรงอย่างน่ามอง
ริมฝีปากชุ่มชื้นเป็นประกายของเวินหลานฉีค่อยๆ เผยอออก ลมหายใจหอมดั่งดอกกล้วยไม้เป่ารดแผงอกของเขา สะกิดเบาๆ ยุบยิบอยู่ในใจราวกับขนนก
เฮ้อ ผู้หญิงคนนี้ทำเขากินเท่าไรก็ไม่เคยพอตลอด ไม่ว่าจะจัดการเธอสักกี่ครั้ง ราวกับว่าไม่เพียงพอต่อความต้องการของเขาสักที
เวินหลานฉีไม่เคยเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของฮั่วฉินเยี่ยนแบบนี้มาก่อน นัยน์ตาล้ำลึกดำขลับทอประกายสลัวๆ พวงแก้มแดงฝาดนิดๆ ริมฝีปากทั้งสองเผยอออกเล็กน้อย เสียงหอบหายใจยิ่งถี่กระชั้นมากยิ่งขึ้นอย่างทนไม่ไหว ที่แท้เขาก็มีปฏิกิริยาแบบนี้เหมือนกันสินะ
เวินหลานฉีไม่รู้ตัวเลยว่าหน้าเธอค่อยๆ ขึ้นริ้วสีแดง ความอ่อนนุ่มที่ถูกเขาเคล้นคลึงสั่นไหวเล็กน้อย แต่กลับมัดใจเขาได้ยิ่งกว่าเดิม
เมื่อเวินหลานฉีขยับเร็วขึ้น เธอสัมผัสได้ว่าความปรารถนาของเขาในมือเธอ กำลังขยายใหญ่ขึ้น และฉีดพ่นน้ำสีขาวขุ่นออกมา
เวินหลานฉีหน้าแดงแจ๋อย่างกับกวางตัวน้อย รีบกระเด้งตัวลงมาจากเตียง แล้วไปหลบอยู่ในห้องน้ำโดยอ้างว่าจะไปล้างมือ เธอยังไม่เคยช่วยเขา…อย่างนี้มาก่อน ดูท่าเขาเหมือนจะชอบ…มากนะ
เฮ้อ ทำไมเธอต้องคิดอะไรอย่างนี้เนี่ย เมื่อกี้ยังบอกอยู่หยกๆ ว่าจะไม่ยอมเสียเปรียบเขาอีกแล้วน่ะ เวินหลานฉีมองน้ำขาวขุ่นเปรอะเปื้อนมือของเธออย่างหงุดหงิด พวงแก้มขึ้นริ้วสีแดงอย่างเขินอาย
ในขณะที่ฮั่วฉินเยี่ยนจินตนาการถึงปฏิกิริยาของคนที่แอบหนีไป เขากลับยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ฮั่วฉินเยี่ยนกอดเวินหลานฉีอย่างสบายใจ แล้วจมลึกสู่ห้วงนิทราในค่ำคืนอันแสนยาวนานอีกครั้ง
หลังจากเวินหลานฉีตื่นนอนในยามฟ้าสาง เธอเอาแต่มองใบหน้าหลับสนิท และกลีบปากบางของฮั่วฉินเยี่ยน ว่ากันว่าผู้ชายปากบางนั้นเย็นชาที่สุด เห็นได้ชัดว่าคนตรงหน้าคนนี้ เป็นคนที่นั่งอยู่ท่ามกลางสาวสวยมากมายนับไม่ถ้วน แต่หลายปีมานี้กลับยังยืนหยัดรอเธอกลับมาหา
พอคิดถึงตรงนี้ เวินหลานฉีก็ทนต่อความปวดร้าวบางๆ ในใจไม่ไหว ประทับจูบลงบนกลีบปากของฮั่วฉินเยี่ยนแผ่วเบา และเร่าร้อนดั่งนั่งอยู่บนกองไฟ
นึกไม่ถึงว่าฮั่วฉินเยี่ยนจะกดหัวเธอลงมาจูบตอบ เวินหลานฉีผละออกอย่างหงุดหงิด
“อาเยี่ยน คุณตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่” เธอเอ่ยถามเสียงเบา อย่างกับเด็กน้อยยามแอบทำเรื่องไม่ดีแล้วถูกจับได้
“เมื่อกี้” ฮั่วฉินเยี่ยนหยัดกายลุกขึ้น แตะๆ คลำๆ หน้าผากของเวินหลานฉี เมื่อพบว่าตัวเธออุ่นกำลังดี ก็ยกยิ้มอย่างพึงพอใจ
วันนี้ต้องไปดูบริษัทสักหน่อย ไม่รู้ตอนเขาไม่อยู่พวกเขาจะจัดการได้ดีไหม คิดแล้วเวินหลานฉีก็เริ่มแต่งหน้าแต่งตัว เธอมองรอยผลสตรอเบอรี่เล็กๆ บนลำคออย่างหงุดหงิด
ทำไมชายคนนี้ชอบทิ้งรอยไว้อยู่เรื่อยเลย ดูท่าคงทำได้เพียงใช้รองพื้นปกปิดแล้วล่ะ เวินหลานฉีเติมแป้งบนลำคอไปพลาง ก็พลอยคิดว่าต่อจากนี้ต้องให้ฮั่วฉินเยี่ยนลิ้มลองดูบ้าง ว่ารสชาติมันเป็นอย่างไร
ทว่าเมื่อหวนนึกถึง…ผู้ชายหน้าด้านพรรค์นั้น ต่อให้บนร่างกายของตัวเองมีรอยอะไร ก็คงหยิบยกออกไปโอ้อวดได้อยู่ดีละมั้ง ถึงตอนนั้นกลับเป็นเธอเสียอีกที่จะหน้าแดง เวินหลานฉีคิดอย่างแค้นเคือง
——
[1] แสงวสันต์สาดส่อง (春光乍泄) เป็นสแลง หมายถึง ที่ลับในร่มผ้าโผล่ออกมาให้คนอื่นเห็น