DC บทที่ 310: จอมกระบี่ที่ไม่รู้จัก

 

กว่าผู้คนจะตระหนักว่าชายวัยกลางคนจากนิกายแท่นบูชาทองสิ้นชีพไปแล้ว ซูหยางก็อยู่ในระหว่างทางกลับไปยังที่พักของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย

 

“ผ-ผ-ผู้อาวุโสนิกาย”

 

ศิษย์เหล่านั้นสั่นสะท้านด้วยความแตกตื่นขณะที่พวกเขาก้าวถอยหลังไปอย่างช้าๆจากศพที่ไร้หัว สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ

 

พวกเขาไม่อยากเชื่อว่าผู้อาวุโสนิกายของพวกเขา ซึ่งอยู่ถึงเขตอัมพรวิญญาณ จะตายง่ายดายเพียงนี้ ถึงแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นถึงจอมกระบี่ เขาก็ไม่ควรจะพ่ายแพ้ง่ายดายปานนี้ นี่เหมือนกับว่าเวลาที่เขาใช้ไปในการฝึกวิชาจนถึงเขตอัมพรวิญญาณนั้นใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์

 

“จ-เจ้าคนบ้านั่นถึงกับกล้าฆ่าคนขณะที่อยู่ในเมืองหิมะร่วง”

 

“ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดด้วย”

 

“มีจอมกระบี่ไม่กี่คนในโลกนี้ และยิ่งน้อยไปกว่านั้นที่มีความสามารถระดับนั้น นั่นใช้เวลาไม่นานนักสำหรับตระกูลซีที่จะหาตัวเขา”

 

ประมาณหนึ่งนาทีหลังจากที่ซูหยางได้ฆ่าชายวัยกลางคนจากนิกายแท่นบูชาทอง กองลาดตระเวนก็เข้ามาในฉากนั้น

 

“เกิดอะไรขึ้นที่นี่”

 

กองลาดตระเวนพลันจำกัดการเคลื่อนไหวของทุกคนในที่นั่น ยอมให้พวกเขาจากไปได้หลังจากที่พวกเขาตอบคำถามสองสามคำเท่านั้น

 

“มีคนใส่หน้ากากมาจากไหนก็ไม่รู้และฆ่าชายวัยกลางคนนั่นตรงนั้น…”

 

“พวกเจ้าเป็นใครกัน” กองลาดตระเวนถามบรรดาศิษย์

 

“น-นิกายแท่นบูชาทอง ช-ชายที่ตายเป็นผู้อาวุโสนิกายของพวกเรา” หนึ่งในศิษย์กล่าว เสียงของเขายังคงสั่นสะท้าน

 

“นิกายแท่นบูชาทองรึ”

 

กองลาดตระเวนประหลาดใจ ในเมื่อพวกเขาไม่คาดว่ากองกำลังที่แข็งแกร่งขนาดนั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ยิ่งกว่านั้นกลับตกเป็นเหยื่ออีกด้วย

 

“พวกเจ้ารู้ไหมว่าทำไมพวกเจ้าจึงถูกโจมตี คิดว่าชายสวมหน้ากากนั่นเป็นใคร”

 

เหล่าศิษย์พากันส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว

 

“ชายสวมหน้ากากเป็นจอมกระบี่” หนึ่งในผู้ชมกล่าว

 

“อะไรกัน เช่นนี้สำนึกกระบี่เมื่อกี้นี้มิได้มาจากผู้อาวุโสนิกายแต่มาจากฆาตกรแทน”

 

กองลาดตระเวนตอนแรกคิดว่านั่นเป็นของผู้อาวุโสนิกายในตอนแรกเนื่องมาจากกระบี่ที่ยังคงอยู่ในมือของเขา แต่อนิจจาพวกเขาไม่อาจผิดพลาดต่อไปได้

 

หลังจากที่พูดกับทุกคนที่นั่นและได้รับข้อมูลเพียงพอแล้ว กองลาดตระเวนก็ปล่อยทุกคนที่นั่นและกลับสู่สำนักงานใหญ่เพื่อรายงานข้อมูลทั้งหมดให้กับผู้บังคับบัญชา

 

“จอมกระบี่ได้ฆ่าคนตายใจกลางเมืองงั้นรึ”

 

ผู้บังคับบัญชาเกือบไม่เชื่อข่าวนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินมันในครั้งแรก ทำไมจอมกระบี่จึงเสี่ยงกับการล่วงเกินตระกูลซี ต่อให้เขาซ่อนตัวตนด้วยหน้ากาก นั่นก็เพียงชะลอการถูกลงโทษชั่วขณะก่อนที่ตระกูลซีจะพบตัวเขา

 

 

 

 

ในที่แห่งหนึ่งใจกลางเมืองหิมะร่วง หนึ่งในที่พักหลายแห่งของตระกูลซี จอมยุทธมากมายที่นั่นที่มีชื่อเสียงเลื่องลือและผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่งจากทั่วทั้งทวีปตะวันออกมารวมตัวกันในห้องใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งได้จัดการประชุมด้วยตระกูลซี

 

“พวกท่านทั้งหลายได้รู้สึกถึงสำนึกกระบี่เมื่อกี้หรือไม่”

 

หนึ่งในจอมยุทธที่นั่นพลันถามขึ้นมาเสียงดัง

 

“มีเพียงคนโง่เง่าเต่าตุ่นที่จะมิรู้สึกถึงสำนึกกระบี่ที่ทรงอำนาจเช่นนั้น”

 

“ข้าได้ต่อสู้กับจอมกระบี่มาหลายคนในชีวิต แต่ข้ามิเคยรู้สึกได้ถึงสำนึกกระบี่ที่แหลมคมเช่นนั้นมาก่อน…”

 

“ข้าก็รู้จักกับจอมกระบี่มาหลายคนมาก่อนเช่นกัน อย่างไรก็ตามสำนึกกระบี่เมื่อกี้นั้นมิใช่ของพวกเขาแม้แต่คนเดียว…”

 

ในเมื่อการประชุมเพิ่งสิ้นสุด จอมยุทธในห้องจึงเริ่มพูดถึงเกี่ยวกับสำนึกกระบี่ที่เพิ่งปรากฏขึ้นไม่นานหลังจากนั้น

 

เมื่อหัวข้อเกี่ยวกับจอมกระบี่ลึกลับนี้กลายเป็นที่นิยมระหว่างจอมยุทธ ชายวัยกลางคนที่มีท่าทางเฉียบแหลมห่อหุ้มร่างกายด้วยผ้าคลุมสีดำก็พูดเสียงดังขึ้นว่า “ท่านคิดว่าหัวข้อนี้เป็นอย่างไร ผู้อาวุโสจง”

 

ปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์จง ซึ่งนั่งอยู่อย่างสบายตรงนั้นหันไปมองชายวัยกลางคนที่เพิ่งพูดไป

 

“บอกท่านตามตรง ท่านเจ้าซี ข้ามิเคยรู้สึกถึงสำนึกกระบี่ที่ทรงอำนาจเช่นนี้มาก่อนจนกระทั่งถึงวันนี้เช่นกัน นั่นแหลมคมชัดเจนจนถึงที่สุด ทำให้ข้าเกือบรู้สึกเหมือนกับดาบจริงๆ” เขากล่าว

 

คนในห้องต่างพากันมองเขาด้วยท่าทางประหลาดใจแม้กระทั่งชายวัยกลางคนที่ถูกระบุว่าเป็นท่านเจ้าซี ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้นำตระกูลซี

 

“ท่านกำลังจะบอกข้าว่ากระทั่งท่านเองที่เป็นที่รู้จักกันในนามปราชญ์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในจอมกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้ ยังรู้สึกด้อยกว่าคนที่ใช้สำนึกกระบี่ภายในเมืองของข้าเมื่อกี้นี้งั้นรึ” เจ้าซีมองดูผู้อาวุโสจงด้วยดวงตาที่กว้างขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

 

“ถ้าข้าสามารถพบกับจอมกระบี่นี้ตอนนี้ ข้าจักย่อมต้องขอคำชี้แนะเกี่ยวกับกระบี่อย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสจงพูดด้วยเสียงจริงใจ

 

ทั้งห้องพลันเงียบลง และไม่มีใครคาดคิดว่าผู้อาวุโสจงจะเป็นคนตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ กระทั่งต้องการคำชี้แนะจากจอมกระบี่ที่ไม่รู้จักนี้

 

ความรู้สึกต้องการพบกับจอมกระบี่นี้พลันเกิดขึ้นในใจของเหล่าจอมยุทธเหล่านี้

 

ทันใดนั้นเอง คนที่นั่งข้างเจ้าซีก็พึมพัมว่า “สำนึกกระบี่นี้… ข้าเคยรู้สึกจากที่ไหนสักแห่งมาก่อน…”

 

“เจ้ามั่นใจในเรื่องนี้รึ ลูกสาวข้า เจ้าสามารถจำได้หรือไม่ว่าที่ไหนที่เจ้ารู้สึกถึงสำนึกกระบี่นี้มาก่อน” เจ้าซีหันไปถามลูกสาวของตนเอง ซีซิงฟาง

 

ซีซิงฟางพยักหน้าและหลับตาลง โคลงศีรษะพยายามจดจำว่าเธอเคยรู้สึกสำนึกกระบี่เช่นนี้มาจากที่ไหนมาก่อน

 

ไม่นานหลังจากนั้น ซีซิงฟางก็ลืมตาขึ้น และดวงตาของเธอก็เป็นประกายแวววาว

 

“พี่ชายเซียว”

 

เจ้าซีมองดูซีซิงฟางพร้อมกับขมวดคิ้ว

 

“พี่ชายเซียว ใครกัน” เขาไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อยในการถามเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ตระหนักว่าเธอกำลังพูดถึงผู้ชายคนหนึ่ง

 

“เขา… เขาเป็นเหตุผลที่ทำให้ข้าเป็นดังเช่นทุกวันนี้…” สายตาซีซิงเป็นประกายด้วยอารมณ์อันล้ำลึกเมื่อเธอพูดถึงพี่ชายเซียวคนนี้

 

หลังจากที่แยกจากซูหยางที่หุบเขาฟ้าคำรณ ซีซิงฟางได้ฝึกวิชาระดับเซียนที่เขาได้ให้เธอไว้ด้วยความจริงใจ และนั่นมีผลต่อการฝึกฝีมือของเธอนับตั้งแต่นั้น

 

อย่างไรก็ตามนี่เป็นบางสิ่งที่มีเพียงซีซิงฟางรู้ ในเมื่อเธอไม่ได้บอกใครในเรื่องที่เธอพบปะกับซูหยางหรือเรื่องที่เธอได้รับวิชาระดับเซียนที่เขาให้เป็นของขวัญให้แก่เธอ ไม่บอกแม้กระทั่งกับครอบครัวของเธอเอง

 

“ข้ามิสามารถเข้าใจอะไรได้จากคำกล่าวนั้น เจ้าสามารถอธิบายเรื่องนั้นได้หรือไม่” เขาถามเธออีกครั้ง

 

“แม้ว่าข้ามิอาจพูดถึงรายละเอียดได้ แต่ว่าความก้าวหน้าของข้าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาย่อมมิอาจเป็นไปได้ ถ้าข้ามิได้พบกับเขา…” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“….” เจ้าซีหรี่ตากับรอยยิ้มลึกลับของเธอ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยพร้อมแววความประหลาดใจด้วยเล็กน้อย ในเมื่อเขาไม่เคยรู้เห็นว่าลูกสาวของตนเองจะมีท่าทีเช่นนี้มาก่อน