บทที่ 1666+1667

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1666 มีวันนี้ไปทุกๆ ปี 2

ตอนที่เขามาถึงกู้ซีจิ่วกำลังพาลู่อู๋น้อยกับเจ้าหอยยักษ์ไปสำรวจดูละแวกนี้

เธอพบเบาะแสที่แตกต่างไปเล็กน้อยอีกครั้ง ลู่อู๋น้อยได้กลิ่นอายของชาวเงือก…

ชาวเงือกเป็นใหญ่ในมหาสมุทร ขึ้นฝั่งน้อยยิ่งนัก ผู้ที่สามารถขึ้นฝั่งได้ล้วนเป็นยอดฝีมือในหมู่ชาวเงือก

เนื่องจากกลิ่นอายนั้นน้อยนิดยิ่งนัก ดังนั้นลู่อู๋น้อยจึงแยกไม่ออกเช่นกันว่าหลงเหลืออยู่เมื่อกี่วันมาแล้ว

เพียงแต่ลู่อู๋น้อยดมได้ว่าชาวเงือกตนนี้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างกะทันหัน จากนั้นหายไปอย่างกะทันหัน แถมกลิ่นอายนั้นยังผสมปนเปเข้ากับกลิ่นอายของจิ้งจอกน้อยด้วย

ชาวเงือกตนนั้นบังเอิญผ่านทางมายังที่แห่งนี้พอดี? หรือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของจิ้งจอกน้อยด้วย?

หนนี้ตี้ฝูอีมาด้วยตัวเอง ซ้ำเขายังปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันยิ่งนักด้วย จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกายเจ้าหอยยักษ์

เจ้าหอยยักษ์กำลังซุ่มจับกระต่ายตัวหนึ่งอยู่เตรียมจะเขมือบเข้าไป จู่ๆ ก็เห็นตี้ฝูอีในอาภรณ์ม่วง มันสะดุ้งโหยง แทบจะสำลักกระต่ายแล้ว! กระเสือกกระสนกลืนลงไปอย่างรีบร้อน “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!”

ตี้ฝูอีเหลือบมองมันแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างเฉยเมย “ตอนนี้ข้าไม่ใช่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแล้ว”

เจ้าหอยยักษ์มึนงง “เอ๋…”

มันเรียกขานเขาเช่นนี้จนเคยชินแล้ว ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแล้ว เช่นนั้นมันควรเรียกขานเขาว่าอย่างไรเล่า?

ตี้ฝูอีไม่สนใจการวอแวของมันชั่วคราว มองดูสามคนที่เหลือ “ผู้ใดสามารถอธิบายให้ข้าเข้าใจได้บ้างว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

กู้ซีจิ่วกับลู่อู๋น้อยกำลังนั่งยองๆ อยู่ที่พุ่มไม้กอหนึ่ง มองหาเบาะแสบางอย่างอยู่ ไม่สนใจเขาในตอนนี้

ส่วนเยี่ยนเฉินก็พูดไม่เก่ง ดังนั้นหลานเยวี่ยจึงเป็นผู้ชี้แจงแถลงไข เล่าเรื่องราวก่อนหน้านี้ออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ รายละเอียดทั้งหมดที่เกี่ยวข้องล้วนเล่าออกมาครบถ้วน ไม่ตกหล่นไปเลยสักนิด

ตี้ฝูอีมองไปทางกู้ซีจิ่ว บังเอิญว่ากู้ซีจิ่วมองหาเบาะแสเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นมามองเขาเช่นกัน

ทั้งสองคนสบตากัน สีหน้ากู้ซีจิ่วไม่แปรเปลี่ยน สงบนิ่งเช่นปกติ แววตาตี้ฝูอีหมองลงแวบหนึ่ง เอ่ยถามเธอว่า “เจ้าพบเห็นอะไรบ้าง?”

กู้ซีจิ่วในยามนี้มีอะไรก็พูดไปตามนั้น “เมื่อครู่ข้าตรวจสอบดูอีกรอบ พุ่มไม้ตรงนั้นมีรอยแตกหักอยู่หลายจุด คล้ายว่าเคยมีคนต่อสู้ฉุดกระชากลากถูกันที่นี่ ลู่อู๋ได้กลิ่นอายของจิ้งจอกน้อยและชาวเงือกจากพุ่มไม้ตรงนั้น หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย จิ้งจอกน้อยน่าจะถูกชาวเงือกใช้วิชาดำดินพาตัวไป”

เยี่ยนเฉินคาดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะมีชาวเงือกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ตะลึงไปครู่หนึ่ง “ชาวเงือกไม่ขึ้นฝั่งง่ายๆ จะจับตัวจิ้งจอกน้อยไปได้อย่างไร?”

เขาวนดูรอบพุ่มไม้นั้นรอบหนึ่ง พุ่มไม้นั้นก็ดูปกติสมบูรณ์ดี ไม่เห็นมีรอยแตกหักอันใด เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปทางกู้ซีจิ่ว ค่อนข้างสงสัยว่านางตาฝาดไปหรือเปล่า

หลานเยวี่ยก็ฉงนเช่นกัน คนของเขาเคยตรวจค้นที่นี่กว่าสิบรอบแล้ว ผมสักเส้นก็ไม่มีตกอยู่เลย และไม่พบเห็นเบาะแสการต่อสู้กระชากลากถูอันใดเลย…

ตี้ฝูอีก้าวเข้าไปมองดูอยู่สักครู่ ดีดนิ้วทีหนึ่ง ลำแสงที่คล้ายคลื่นวารีสายหนึ่งวาบออกมา พุ่มไม้ที่เมื่อครู่ดูปกติสมบูรณ์ดีก็ราวกับถูกถอดอุปกรณ์อำพรางอันใดออกไป ดูเละเทะกระจัดกระจาย

ชัดเจนยิ่งนักว่าที่นี่เคยถูกคนใช้อาคมอำพรางไว้

ร่องรอยการต่อสู้ของที่นี่ชัดเจนยิ่งนัก ถึงขั้นยังมีคราบโลหิตสีน้ำตาลคล้ำอยู่หลายจุดด้วย

ลู่อู๋น้อยวิ่งเข้ามาดมคราบโลหิตเหล่านั้น กล่าวอย่างมั่นใจว่า “คราบโลหิตตรงนี้เป็นของหลานไว่หู! เอ๊ะ จุดนี้เป็นของชาวเงือก ดูเหมือนชาวเงือกก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเช่นกัน แต่หลานไว่หูบาดเจ็บหนักว่า”

กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว หลานไว่หูมีพลังวิญญาณขั้นแปด ยังไม่ถึงขั้นเก้า ซ้ำนางยังใจเสาะด้วย หากว่าไม่มีคนชี้แนะในการต่อสู้ พลังยุทธ์สิบส่วนจะสำแดงออกมาไม่ได้ถึงเจ็ดส่วน

ด้วยวรยุทธ์เช่นนี้ของนางก็ยังสามารถทำให้ชาวเงือกตนนั้นบาดเจ็บได้เล็กน้อย เห็นทีว่าวรยุทธ์ของชาวเงือกตนนั้นก็ไม่นับว่าสูงส่งเช่นกัน น่าจะไม่เหนือไปกว่าขั้นเก้า…

—————————————————————–

บทที่ 1667 มีวันนี้ในทุกๆ ปี 3

หากไม่เหนือไปกว่าขั้นเก้า เหตุใดจึงใช้วิชาดำดินพาคนหนีไปได้?

“วิชาดำน้ำ” ตี้ฝูอีเอ่ยขึ้น

ทั้งสามคนมองไปทางเขาอย่างพร้อมเพรียง

ตี้ฝูอีกล่าว “ชาวเงือกมีความสามารถในวิชาดำน้ำ ตราบใดที่ใต้ดินของที่แห่งนี้มีธารน้ำก็จะพาคนหลบหนีไปได้”

เยี่ยนเฉินกับหลานเยวี่ยมองหน้ากันเหลอหลา ใต้ดินของที่แห่งนี้ต้องมาธารน้ำอยู่อย่างแน่นอน ทว่าพวกเขาล้วนไม่เคยเรียนรู้วิชาดำน้ำ ไม่มีทางไล่ตามไปได้

กู้ซีจิ่วชะงักงันเล็กน้อย เธอใช้วิชาดำน้ำเป็น อย่างไรเสียในสมองเธอก็มีความทรงจำของหลานจิ้งเคอ…

ทว่าธารน้ำใต้ดินสลับซับซ้อน มากมายหลากหลายสาย ต่อให้เธอตามลงไปถึงใต้ดินแล้วก็ไม่มีทางตามหากลิ่นอายของชาวเงือกกับจิ้งจอกน้อยพบ

ลู่อู๋น้อยติดตามร่องรอยได้ ทว่าเจ้าตัวนี้ว่ายน้ำไม่เป็น ลงไปด้านล่างต้องขาดอากาศหายใจตายแน่นอน!

บางทีเธออาจขอร้องให้หลานเหยากวงมาช่วยได้? อย่างไรเสีย เขาก็เข้าใจเรื่องของชาวเงือกดีที่สุด อีกทั้งยังถือโอกาสให้เขาตรวจสอบว่ามียอดฝีมือชาวเงือกคนไหนที่ขึ้นฝั่งมาเร็วๆ นี้…

พักนี้หลานเหยากวงกับเธอค่อนข้างสนิทสนมกัน แทบจะมาจวนทูตสวรรค์ของเธอทุกครึ่งเดือนเพื่อตอกย้ำการมีตัวตนของเขา ไม่ว่าเธอจะรู้จักหรือไม่รู้จักเขา เขาล้วนเรียกเธอพี่หญิงๆ ไม่ขาดปาก

เธอยื่นมือออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ถึงแม้กู้ซีจิ่วไม่อยากเป็นหลานจิ้งเคอ ทว่าเธอก็ไม่อาจแสดงอารมณ์ใดๆ ต่อหลานเหยากวงได้ แทบจะยอมรับน้องชายคนนี้ไปโดยปริยายแล้ว…

หลานเหยากวงยังฝืนยัดหอยสังข์ถ่ายทอดเสียงชิ้นหนึ่งให้เธอ บอกว่าหากมีธุระจะได้ติดต่อได้สะดวก

กู้ซีจิ่วกำลังจะหยิบหอยสังข์ถ่ายทอดเสียงนั้นออกมา จู่ๆ ตี้ฝูอีก็ดึงมือนาง “เจ้าดำน้ำไปตามหาด้วยกันกับข้า!”

ตี้ฝูอีเป็นคนคิดไวทำเร็ว ถึงขนาดที่กู้ซีจิ่วยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็รู้สึกว่าเบื้องหน้ามืดมนในทันใด เมื่อเบื้องหน้าเห็นทุกสิ่งชัดเจน ก็มีเสียงน้ำกระฉอกผ่านมาข้างหูแล้ว เบื้องหน้ามีธารน้ำใต้ดินเส้นใหญ่เส้นหนึ่ง

กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง

เธอเริ่มใช้วิชาดำน้ำโดยไม่รู้ตัว จากนั้นชักมือตัวเองกลับมา

เธอไม่อยากสัมผัสเนื้อตัวเขาอีก ไม่ให้จิตใจที่สงบลงได้ยากของตนสับสนวุ่นวายอีกครั้ง…

ยามนี้ทั้งหมดล้วนเห็นแก่การตามหาจิ้งจอกน้อยเป็นสำคัญ ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่สนใจการกระทำตามใจชอบของเขา “หาอย่างไร?”

ตี้ฝูอีหยิบแตรสังข์ที่พกติดตัวและเป่าเสียงออกมา คลื่นน้ำโดยรอบเกิดเป็นระลอก กระเพื่อมไปทางทิศตะวันออก

“ทางนั้น!” ตี้ฝูอีเก็บแตรสังข์ ยื่นมือออกไปทางนาง “ให้ข้าพาเจ้าไป?”

“ขอบคุณ ไม่จำเป็น” กู้ซีจิ่วหันกายดำน้ำไปทิศทางนั้น

วิชาดำน้ำของนางไม่เลวทีเดียว เงาร่างในน้ำของนางดั่งภาพลวง หายไปในพริบตา

ตี้ฝูอีมองมือที่ว่างเปล่าของตน นิ่งเงียบไปไม่กี่วินาที ก่อนส่ายหน้าและดำน้ำไปทางนั้นในทันที

ดำน้ำไปเช่นนี้เจ็ดแปดลี้ เขามองกู้ซีจิ่วที่รออยู่ด้านหน้าและรีบตามไป เบื้องหน้าปรากฏทางแยกสี่ห้าสาย…

มิน่านางถึงได้หยุดรอเขา

นางรออยู่ตรงนั้นอย่างเงียบสงบ เมื่อเห็นเขามาก็หลบด้านข้างเล็กน้อย รอให้เขานำทางอีกครั้ง

นางในตอนนี้ปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นสหายทั่วไป อันที่จริงไม่นับว่าเป็นสหายทั่วไปด้วยซ้ำ เป็นแค่เพียงคนแปลกหน้าที่ต้องรู้จักกัน เย็นชาทว่ามีมารยาท

นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ และเป็นสิ่งที่เขาหาเรื่องใส่ตัวเอง…

เขายิ้ม หยิบแตรสังข์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขาอธิบายให้นางฟังเล็กน้อย “เมื่อใช้พลังวิญญาณน้ำเป่าแตรสังข์นี้ออกมา จะรับรู้ได้ว่าภายในธารน้ำละแวกนี้มีชาวเงือกผ่านมาหรือไม่ ไหนเจ้าลองเป่าดูสักครั้ง” แล้วยื่นแตรสังข์ให้นาง

กู้ซีจิ่วไม่รับ “ท่านรับรู้เองก็ได้แล้ว” เขาเพิ่งเป่าแตรสังข์นี้ไปเมื่อสักครู่ ยังเปรอะน้ำลายของเขาอยู่ เธอไม่อยากจุมพิตทางอ้อมกับเขา

———————————————————————–