ตอนที่ 1621 แผนการต่างๆ ปรากฏ

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

แต่เมื่อเงามีดร่อนลงมา หลังจากปิดผนึกแล้ว กลางอากาศทั้งนั้นก็ยังคงว่างเปล่า ไม่มีความผิดปกติเลยสักนิด 

 

 

บุรุษแซ่กุยเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา หลังจากที่แววตาฉายแววฉงนออกมาสองครา แต่เมื่อขบคิดอย่างละเอียด สุดท้ายก็แค่นเสียงหึด้วยความเย็นชาผ่านทางจมูก มือหนึ่งกวักไปกลางอากาศที่ไกลออกไป 

 

 

มีดบินเล่มนั้นกลายเป็นลำแสงสีเงินสายหนึ่งพุ่งกลับมา หลังจากสว่างวาบ ก็จมหายไปในแขนเสื้อของเขาอย่างไร้ร่องรอย 

 

 

จากนั้นบุรุษก็กลายเป็นลำแสงโลหิตโดยไม่ปริปาก กลายเป็นสายรุ้งสีโลหิตสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศไป 

 

 

ชั่วพริบตาที่นี่ก็เงียบสงัด นอกจากสายลมอ่อนที่พัดโชยมาแล้ว ก็ไม่มีสุ้มเสียงใดอีก 

 

 

หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหารเต็มๆ กลางอากาศพลันมีลำแสงสีเงินอ่อนสว่างวาบ เงาร่างคนขนาดจิ๋วปรากฏกายขึ้น 

 

 

คนผู้นี้มีหูเรียวแหลม ใบหน้างดงาม นั่นก็คือมารอสูรร่างมนุษย์ที่มีนามว่า ‘จิ่วเยี่ย’ 

 

 

นางจ้องเขม็งไปยังจุดที่บุรุษแซ่กุยหายวับไป คิ้วดำขลับขมวดมุ่น หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยพึมพำกับตนเองว่า 

 

 

“คนผู้นี้คือใคร แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้ที่สังหารนายน้อย แต่ก็มีความสามารถมากจริงๆ หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้าใช้เคล็ดวิชาลับ นำกลิ่นอายไปไว้ที่อื่นแล้ว เกรงว่าคงไม่อาจหลบซ่อนจากหูตาคนผู้นี้ได้ ไม่ได้แล้ว ผู้ที่มาจากภายนอกเหล่านี้ล้วนจัดการยาก ไม่ใช่สิ่งที่ข้าเพียงคนเดียวจะจัดการได้ ต้องขอกำลังเสริม” 

 

 

เอ่ยจบหญิงสาวก็ใช้มือหนึ่งตะปบไปที่หางทันที คาดไม่ถึงว่าดึงขนปุกปุยออกมา ปากก็บริกรรมคาถา จากนั้นก็ชูขึ้นอีกครั้ง 

 

 

ชั่วขณะนั้นขนเหล่านั้นก็เปล่งเสียง “ฟิ้ว” กลายเป็นลำแสงสีเงินบางๆ จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งแหวกอากาศไป  

 

 

หลังจากลำแสงสีเงินกะพริบวาบ พวกมันก็สลายหายไปที่ขอบฟ้า 

 

 

หลังจากที่หญิงสาวผู้นี้เห็นฉากนี้ ถึงได้มีสีหน้าผ่อนคลายลง แล้วมองไปยังเทือกเขาที่หานลี่และบุรุษแซ่กุยหายไป หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง 

 

 

นางใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ร่างกายรางเลือนไปอีกครั้งท่ามกลางลำแสงสีเงิน สุดท้ายก็หายวับไป  

 

 

…… 

 

 

หานลี่ตามวิหคควันมารตัวนั้นไป เดินอยู่ท่ามกลางหมอกหนาสีดำอย่างเชื่องช้า 

 

 

แม้ว่าบางครั้งวิหคตัวนี้จะเปล่งเสียงร้องต่ำๆ อย่างร้อนใจออกมา ดูเหมือนว่าจะรบเร้าเขา 

 

 

แต่หานลี่ก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น ยังคงมีสีหน้าเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

เมื่อเห็นท่าทางของเขา วิหคควันมารก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงทำได้เพียงลดระดับความเร็วลง ค่อยๆ นำทางเขาไปข้างหน้าอย่างแช่มช้า 

 

 

แม้ว่าไอมารรอบด้านจะหนาแน่น ยื่นมือออกไปไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ให้ความรู้สึกน่ากลัวราวกับอยู่ในน้ำพุใต้ธรณี 

 

 

แต่ร่างของเขาพลันมีลำแสงสีทองเปล่งแสงระยิบระยับไม่หยุด แววตามีลำแสงสีฟ้าสว่างวาบ สถานการณ์รอบด้านเข้ามาสู่ครรลองสายตาอย่างชัดเจน 

 

 

ยามนี้เขาอยู่ในทางเดินยักษ์สี่เหลี่ยม 

 

 

ทางเดินนี้มีความกว้างประมาณสิบจั้งเศษ และยิ่งไปกว่านั้นกำแพงทั้งสี่ด้านของทางเดินยังสร้างขึ้นจากศิลาสีดำสนิทที่ไม่เคยเห็นมาก่อน 

 

 

ส่วนไอมารหนาแน่นในทางเดินนั้น ก็ทะลักออกมาจากศิลาเหล่านั้นไม่หยุด 

 

 

นี่จึงทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจอยู่หลายส่วน 

 

 

หากไม่ใช่เพราะหวาดกลัวกำแพงหินเหล่านี้จะมีเขตอาคมต้องห้ามอะไรที่ไม่รู้จัก แม้กระทั่งตอนที่เขาเข้ามาในทางเดิน ก็ยังอยากจะเคาะศิลาสีดำเหล่านี้สักหน่อย เพื่อพิจารณาอย่างละเอียด 

 

 

ทางเดินสายนี้ไม่ได้มีเพียงสายเดียว แต่เป็นทางเดินที่ตัดสลับกันไปมา ราวกับกับเป็นค่ายกลทั่วเนินเขา และยิ่งไปกว่านั้นยิ่งเดินตรงไปก็ยิ่งลึกลงไปใต้ดินมากขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป! 

 

 

ตอนแรกที่วิหคควันมารเข้ามาแล้วออกไป มันใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งมื้ออาหารเท่านั้น 

 

 

ส่วนหานลี่เดินอยู่นานแล้ว ก็ยังคงมองไม่เห็นปลายทาง 

 

 

นี่จึงทำให้เขาเหลือบตามองวิหคตัวนั้น แล้วค่อยๆ เย็นชาขึ้น 

 

 

ดูเหมือนว่าวิหคควันมารจะสัมผัสได้ถึงแววตาที่ไม่เป็นมิตรทางด้านหลัง เมื่อพาเดินผ่านทางเดินที่ตัดสลับกันไปอีกสองสามครั้ง เมื่อหานลี่ขบคิดว่าตนเองควรหยุดฝีเท้าหรือไม่ 

 

 

ฉับพลันนั้นวิหคควันมาด้านหน้าก็หมุนวน ไม่ตรงไปข้างหน้าอีก 

 

 

หานลี่ใจเต้น จ้องเขม็งมองไปด้านนั้น 

 

 

เห็นเพียงไอมารด้านหน้าดูเหมือนจะเบาบางลงเป็นอย่างมาก มีทางออกยักษ์ที่มีลำแสงสีขาวอยู่ลางๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้า 

 

 

หานลี่มีสีหน้าผ่อนคลายลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ฉับพลันนั้นมือหนึ่งก็กวักเรียกวิหคควันมาร  

 

 

เป็นเพราะวิหคตัวนี้มีจิตสัมผัสของหญิงสาวนามว่าเซียนเซียนสิงอยู่ แน่นอนว่าย่อมมีสติปัญญา เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ มันจึงกะพริบตาทั้งสองข้าง เผยสีหน้าฉงนออกมา แต่หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็ยังคงบินมาหาหานลี่อย่างเชื่อฟัง 

 

 

แต่เมื่อวิหคตัวนี้บินมาเหนือศีรษะของหานลี่ ยังไม่ทันได้หมุนวนโคจรรอบหนึ่ง แขนเสื้อข้างหนึ่งก็สะบัดไปกลางอากาศ 

 

 

ม่านลำแสงสีเทาเปล่งแสงสว่างวาบพุ่งออกมา แค่กะพริบวาบก็ม้วนเอาวิหคน้อยสีดำที่ไม่ทันได้ป้องกันตัวเข้าไปข้างใน 

 

 

วิหคควันมารตกตะลึง ไม่แม้กระทั่งอ้าปากคิดจะเอ่ยอะไรออกมา 

 

 

แต่ม่านลำแสงพลันหมุนวนติ้วๆ อยู่รอบวิหคตัวนั้น ไม่มีสุรเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาจากลำแสงเทวะดูดปราณ 

 

 

และในยามนั้นเองหานลี่ถึงได้ชี้ไปกลางอากาศด้วยสีหน้าราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

เห็นเพียงปลายนิ้วมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ อักขระสีเขียวตัวหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วโจมตีไปยังร่างของวิหคควันมารที่ไม่อาจขยับตัวได้ 

 

 

ร่างของวิหคตัวนี้มีลำแสงสีเขียวหมุนวนโคจรไปมา ชั่วพริบตาก็สลายหายไปท่ามกลางม่านลำแสงสีเทา 

 

 

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หานลี่ถึงได้ปรบมือทั้งสองข้างเบาๆ มุมปากเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา 

 

 

ทว่าครู่ต่อมาหลังจากที่สายตาของเขาเลื่อนไปที่ทางออกจากทางเดินตรงหน้า ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน 

 

 

เขาหรี่ตาทั้งสองข้างลงฉับพลันนั้นพลันอ้าปากออก ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งพลันบินออกมา แต่เมื่อเปล่งแสงสว่างวาบก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย 

 

 

จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อทั้งสอง กระบี่เล่มเล็กสีทองเจ็ดสิบสองเล่มพุ่งออกมาอย่างเงียบเชียบ 

 

 

ภายใต้การกระตุ้นด้วยคาถาอาคมอย่างไร้เสียงของหานลี่ กระบี่บินเหล่านี้พลันหมุนวนกลายเป็นดอกบัวสีเขียวเรียงตัวเต็มทางเดิน แต่ทันใดนั้นพลันกะพริบวาบ แล้วทยอยกันสลายหายไปราวกับฟองอากาศ 

 

 

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หานลี่พลันครุ่นคิด พลิกฝ่ามืออีกข้างหนึ่ง ยันต์วิเศษสีเงินสองแผ่นพุ่งออกมาจากพื้นดิน ระหว่างทางพลันเปล่งแสงเจิดจ้า กลายเป็นเงาสีทองอ่อนสองสายจมหายเข้าไปใต้ดิน 

 

 

นั่นก็คือยันต์เกราะเอกสองแผ่น 

 

 

เพราะว่าต้องต่อกรกับมารอสูรระดับผสานอินทรีย์ตนหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่ตัวที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น ดังนั้นแม้ว่าร่างของอสูรตนนี้จะได้รับบาดเจ็บหนัก แน่นอนว่าหานลี่ก็ยังไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย 

 

 

เพื่อการเดินทางครั้งนี้เขาจึงเขียนยันต์วิเศษลูกอ๊อดสีเงินขึ้น 

 

 

แม้ว่าวัตถุดิบที่ใช้เขียนยันต์เหล่านี้จะล้ำค่าเป็นอย่างมาก แต่ในเมืองใหญ่ๆ อย่างเมืองเมฆา ขอแค่มีศิลาวิญญาณ แน่นอนว่าย่อมต้องรวบรวมได้ครบอีกครั้งแน่ 

 

 

เมื่อเตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้น แววตาของหานลี่ถึงได้ฉายแววเย็นเยียบ ขยับมือข้างหนึ่ง แปะยันต์วิเศษสีม่วงแผ่นหนึ่งลงบนร่าง 

 

 

ชั่วขณะนั้นลำแสงพลันเจิดจ้า หมอกสีม่วงกลุ่มหนึ่งคลี่ขยายออกมา ร่างกายของหานลี่อยู่ท่ามกลางอักขระสีเงิน แล้วหายวับไป 

 

 

เพื่อความปลอดภัย คาดไม่ถึงว่าเขาจะใช้ยันต์ชำระพิสุทธิ์อีกด้วย 

 

 

จากนั้นหลังจากที่หานลี่เคลื่อนไหว ร่างที่ล่องหนก็ค่อยๆ ลอยออกจากทางเดิน 

 

 

คาดไม่ถึงว่าเขาจะมีท่าทีอยากสังหารมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นจริงๆ 

 

 

…… 

 

 

ด้านนอกภูเขาตรงทางเข้าทางเดิน เมื่อหานลี่ลงมือกักวิหคควันมารเอาไว้ เซียนเซียนก็ร้องอุทานด้วยเสียงต่ำๆ ออกมา ใบหน้าเผยแววประหลาดใจ 

 

 

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เงาลวงตากิเลนสีเขียวพลันตกตะลึง เงยหน้าขึ้นเอ่ยถามด้วยความเคร่งขรึม 

 

 

“วิหคควันมารของข้าถูกคนผู้นั้นกักเอาไว้” หญิงสาวเผ่าผลึกพ่นลมหายใจออกมา แล้วถึงได้ตอบกลับด้วยสีหน้าไม่สบายใจ 

 

 

“อะไรนะ เกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร หรือว่าคนผู้นั้นสัมผัสอะไรได้?” เงาลวงตากิเลนแววตาวาวโรจน์พลางเอ่ยถาม 

 

 

“ไม่น่าจะพบอะไร อาจจะเพราะคนผู้นี้เป็นคนรอบคอบมาโดยตลอด ไม่อยากให้เราจับตาดูเขาตอนที่ตนต่อกรกับมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้น” เซียนเซียนลังเลเล็กน้อย แล้วถึงได้เอ่ยอย่างไม่มั่นใจออกมา 

 

 

“แต่หากเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ยุ่งยากแล้ว ไม่มีทางรู้สถานการณ์ของเขาและมารอสูรตัวนั้น ไม่อาจรู้เวลาที่ดีในการลงมือได้” เงาลวงตากิเลนสะบัดหาง สายตาเคร่งขรึมขึ้น 

 

 

“แน่นอนว่าข้ารู้อยู่แล้ว! แต่ตอนนี้อย่าไปสนใจเรื่องนี้เลย ไม่ว่าหลังจากที่เขาลงมือกับมารอสูรแล้วสถานการณ์จะเป็นอย่างไร พวกเราก็ต้องรีบลงมือ ต่อให้เขามีอิทธิฤทธิ์มากขนาดไหน คิดจะสังหารมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวหนึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการได้เพียงชั่วครู่ เพียงพอจะให้พวกเราเปิดรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้” หญิงสาวเผ่าผลึกกัดฟันขณะเอ่ย 

 

 

“ก็มีเพียงเช่นนี้ พวกเราไปกันเถิด!” เงาลวงตากิเลนเองก็พยักหน้าอย่างไม่ลังเล 

 

 

เซียนเซียนพลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ในมือมีแผ่นป้ายสามเหลี่ยมปรากฏขึ้น 

 

 

เป็นสีดำสนิท ด้านหนึ่งมีลวดลายกิเลนสีดำสลักอยู่ตัวหนึ่ง อีกด้านกลับเป็นอักขระสีเงินอ่อนสองสามตัว 

 

 

“น่าเสียดายแผ่นป้ายกิเลนนี่ ข้าใช้เวลาตั้งมาก ถึงจะรวบรวมวัตถุดิบครบแล้วหลอมขึ้นได้ แถมยังล้มเหลวไปตั้งหลายครั้ง” มือหนึ่งลูบไปบนแผ่นป้าย ใบหน้าของเซียนเซียนมีสีหน้าเสียดายปรากฏขึ้น 

 

 

“ต่อให้เจ้าสิ่งนี้ล้ำค่าแค่ไหน เทียบกับของในรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้สิ มีเพียงการบดบังของเจ้าสิ่งนี้ เจ้าถึงจะไม่ถูกไอมารในถ้ำกำจัด และเข้าไปในส่วนลึกได้อย่างง่ายดาย และยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังมีเจ้าเด็กแซ่หานผู้นั้นต้านทานมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์แทนเจ้าอีก แม้ว่าอสูรตัวนั้นจะพบความปิดปกติอะไร ก็ไม่อาจยับยั้งการเปิดรังวิญญาณของเจ้าได้” กิเลนเอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด 

 

 

“แม้จะเป็นเช่นนั้น สิ่งนี้ใช้บดบังกลิ่นอายมันไม่คุ้มค่าไปหน่อย และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นของที่ใช้ได้ครั้งเดียวอีก” เซียนเซียนยังคงหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา 

 

 

กิเลนได้ยินก็ค้อนปะหลับปะเหลือก ยามที่คิดจะเอ่ยอะไรอีกนั้น หญิงสาวเผ่าผลึกกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม โยนแผ่นป้ายในมือขึ้นไปกลางอากาศ 

 

 

ชั่วพริบตาแผ่นป้ายสีดำก็หมุนคว้างกลางอากาศ พายุระลอกใหญ่พัดเข้ามา เกิดเป็นพายุหมุนสีดำขึ้น 

 

 

พายุหมุนลูกนี้แปลกประหลาดมาก มันเปล่งเสียงหวีดหวิวพลางพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าไปพลาง มีเสียงคำรามที่ทำให้ผู้คนหวาดผวาดังออกมาจากใจกลางพายุหมุนไปพลาง  

 

 

มารยักษ์ตัวหนึ่งแอบซ่อนตัวอยู่ในนั้น 

 

 

เซียนเซียนมีสีหน้าเคร่งขรึม มือหนึ่งร่ายคาถาไม่หยุด มืออีกข้างหนึ่งกลับยกข้อมือขึ้น อ้าปากออก  

 

 

พ่นกระบี่เล่มเล็กสีเขียวออกมาเล่มหนึ่ง มันสั่นเทาเล็กน้อยแล้วกลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งพันรัดข้อมือนาง แล้วเปล่งแสงสว่างวาบบินกลับไปในปากนางอีกครั้ง 

 

 

ชั่วขณะนั้นโลหิตบริสุทธิ์จำนวนมากพลันพ่นออกมาจากปากแผลที่ข้อมือ! 

 

 

“ไป” หญิงสาวเผ่าผลึกตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำออกมา 

 

 

ชั่วพริบตาโลหิตบริสุทธิ์ที่ไหลออกมาพลันแข็งตัว กลายเป็นลูกบอลลำแสงขนาดเท่ากำปั้น พุ่งตรงไปยังพายุหมุนสีดำ 

 

 

จะว่าไปแล้วก็แปลก หลังจากที่ลูกบอลโลหิตลูกนี้จมหายไปในพายุหมุน เสียงคำรามด้านในไม่เพียงจะหยุดอย่างกะทันหัน พายุสีดำที่ดูเหมือนว่าจะพัดรุนแรงไปรอบด้าน พลันค่อยๆ หดเล็กลง 

 

 

สุดท้ายพายุหมุนสีดำก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ด้านในกลับมีกิเลนเรือนกายสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกขนาดสองสามจั้งปรากฏขึ้นตัวหนึ่ง