ทั่วร่างของกิเลนสาดแสงสว่างวาบออกมา ผิวกายภายนอกดูเลือนรางลง แต่นั่นเป็นเพียงภาพจำแลงเท่านั้น

 

 

ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับภาพจำแลงเช่นนี้ หญิงสาวกลับยังสงบนิ่งผิดธรรมดา นางยื่นนิ้วชี้ออกไปกลางอากาศเบาๆ อักขระยันต์สีดำตัวแล้วตัวเล่าก็ปรากฏขึ้นอย่างน่าประหลาด แล้วแทรกซึมหายวับไปในร่างของกิเลนดำอย่างไร้ร่องรอย

 

 

ชั่วประเดี๋ยวเดียวกิเลนซึ่งมีแววตาดุดันโหดเ**้ยมในตอนแรกนั้นพลันอ่อนลง ในที่สุดมันก็โผหมอบลง กลายเป็นดวงแสงสีดำส่องพุ่งเข้ามา

 

 

เสียงดังขึ้น ‘พรึ่บ’ หนึ่ง หญิงสาวพร้อมกับกิเลนสีครามก็ถูกแสงสีดำโอบคลุมอยู่ภายใน ปกคลุมเอาไว้อย่างแน่นหนา 

 

 

“หึๆ โชคดีที่ข้ายังจำสถานที่ฝังร่างของกิเลนตัวนี้ในตอนนั้นได้ จึงสามารถใช้กลิ่นอายซากศพที่เหลือจากกระดูกของมัน มาหลอมสมบัตินี้ขึ้น เพราะเจ้าและข้าต่างเป็นครึ่งชีวิตของกันและกัน ร่างกายจึงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของกิเลนเช่นกัน มิเช่นนั้นระดับพลังยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้ ไม่เพียงแต่ไม่สามารถขับเคลื่อนสมบัตินี้ได้ หนำซ้ำยังจะโดนแว้งกัด” กิเลนสีครามหัวเราะเบาๆ สองที

 

 

“เพราะว่าล้ำค่าถึงเพียงนี้ ข้าจึงตัดใจจากสมบัตินี้ไม่ได้ หาไม่แล้ว ด้วยพลังของสมบัติชิ้นนี้อย่างน้อยช่วงเวลาคับขัน ก็พอช่วยชีวิตข้าได้” หญิงสาวเผ่าจิงหัวเราะอย่างขมขื่นขึ้นหนึ่งที 

 

 

ทว่าเมื่อพูดประโยคนี้จบลง หญิงสาวผู้นี้ก็ไม่ได้ลังเลอะไรอีก ทันทีที่ร่างกายขยับ ท่ามกลางแสงดำที่เพื่อมไหว นางก็จมลับหายไปท่ามกลางไอมาร

 

 

ทั้งสองกลับไม่รู้ว่าเมื่อพวกเขาจมหายไปในไอมารได้ไม่นาน จู่ๆ ก็มีศิลาภูเขาขนาดเท่ากำปั้นสีขาวเทาก้อนหนึ่งลอยพุ่งมาจากบริเวณเชิงเขาที่อยู่ใกล้ๆ

 

 

ศิลานั้นแม้ว่าจะไม่ใหญ่ แต่ก็กลิ้งหมุนเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นผิวภายนอกก็แตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ เป็นแมลงเกราะสีทองสุกสกาวตัวหนึ่ง

 

 

เพียงเสี้ยววินาทีเดียว ก็บินเข้าไปในทางผ่านไอมารอย่างไร้วี่แวว 

 

 

เวลาเดียวกันนั้นเอง หานลี่ก็เดินออกมาจากทางผ่านไอมาร แล้วปรากฏตัวเงียบๆ อยู่ทางเข้าห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่ง จ้องนิ่งเข้าไปด้านในพลางครุ่นคิด 

 

 

ห้องโถงเป็นรูปวงกลม โอ่โถงใหญ่โตไร้ที่เปรียบ เพียงเส้นผ่าศูนย์กลางก็ยาวนับร้อยกว่าจั้งแล้ว

 

 

บริเวณกลางห้องโถง กลับมีเขตอาคมคมสีทองใหญ่สามสิบกว่าจั้ง ทั้งสี่ด้านมีเสาหินสีดำทะมึนสูงหลายจั้งตั้งตระหง่านอยู่สิบสองเสา บนนั้นมีลวดลายของปีศาจใบหน้าเขียวปัดเขี้ยวโง้งยาว ดูโหดเ**้ยมผิดธรรมดาจำนวนหนึ่งสลักเอาไว้อยู่

 

 

ไอมารสีดำที่แผ่ออกมาจากภาพสลักเหล่านั้น ลอยเอื่อยตรงไปยังส่วนกลางของเขตอาคมอย่างพร้อมเพรียง

 

 

และส่วนกลางของเขตอาคมนี้ ยังมีเตียงขนาดใหญ่สีแดงเลือดหลังหนึ่ง ด้านบนมีวานรยักษ์สีดำตัวสูงหลายจั้งนอนอยู่ร่างหนึ่ง 

 

 

เขี้ยวโง้งยาวของวานรเผยออกมา แขนขายาวเหยียด บนศีรษะมีเขาสัตว์ประหลาดยาวเสียดฟ้าสามอัน ส่องประกายสีเหลืองระยิบระยับ

 

 

บนทรวงอกมีรอยแผลฟกช้ำจนเป็นสีม่วงรอยหนึ่ง ใหญ่ประมาณศีรษะของมนุษย์ปกติ จนถึงกับสามารถมองเห็นกระดูกซี่โครงหลายซี่และหัวใจสีดำสนิทที่กำลังเต้นอยู่ไม่หยุดได้อย่างชัดเจน

 

 

ที่น่าแปลกใจก็คือ ดวงตาทั้งสองของวานรยักษ์นั้นหลับสนิท ผิวกายภายใต้แสงสีดำที่กะพริบไหว ดูดซับเอาไอมารที่ลอยมาจากโดยรอบทั้งสี่ด้านเข้าสู่ในกายไว้จนสิ้น

 

 

และเตียงขนาดใหญ่สีแดงเลือดที่อยู่ใต้ร่างนั้น ก็มีไอหมอกโลหิตบางๆ ลอยม้วนอยู่ชั้นหนึ่ง และพรั่งพรูเข้าสู่กลางกายวานรยักษ์ไม่ขาดสาย

 

 

หานลี่ยืนอยู่ประตูทางเข้า มองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องโถงนั้นอย่างเยือกเย็น ไม่มีทีท่าว่าจะคิดลงมือทำอะไรแม้แต่น้อย

 

 

เขาในเวลานี้ ร่างกายอยู่ในสภาวะรางเลือนเต็มที่ ต่อให้มีคนเข้าใกล็ในระยะประชิด ก็ยากที่จะสังเกตได้ถึงการมีอยู่ของเขา

 

 

ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับการมีตัวตนในสภาพครึ่งๆ กลางๆ หานลี่ก็ยังคงไม่อาจแน่ใจว่ายันต์หายตัวจะสามารถอำพรางได้มิดชิดจริง

 

 

ด้วยเหตุนี้หานลี่จึงยังรักษาระยะห่างโดยไม่ขยับแม้เพียงนิด คอยสังเกตทุกอย่างอยู่เงียบๆ

 

 

แต่ในขณะที่แมลงเกราะที่อยู่ภายนอกถ้ำพำนักบินเข้ามาจากเชิงเขา สายตาหานลี่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าหลังจากแววเยือกเย็นปรากฏขึ้นกลางสายตาปลาบหนึ่งแล้ว ก็กลับคืนสู่สภาพเดิม

 

 

ตอนแรกก่อนที่จะเข้ามายังที่แห่งนี้ เพื่อที่จะป้องกันเหตุไม่คาดฝัน จึงบังเอิญทิ้งแมลงกลืนทองเอาไว้ตัวหนึ่งด้านอกพอดี

 

 

ตอนแรกเจ้าแมลงตัวนี้ยังมีเสี้ยวความคิดของเขาอยู่ ครั้นเมื่อได้กลืนแท่นศิลาประหลาดเก่าแก่เข้าไป ก็เกิดการกลายพันธุ์ขึ้นมา

 

 

จะว่าไป แมลงกลืนทองกลายพันธุ์เหล่านี้ตั้งแต่แรกก็พบว่าร่างกายเริ่มแข็งแกร่งขึ้น หลังเกิดการเปลี่ยนจำนวน ด้วยการศึกษาค้นคว้ามาแรมปี หานลี่ก็ยังพบอีกว่าแมลงวิญญาณกลายพันธุ์เหล่านี้ได้มีความสามารถอันประหลาดอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

 

 

นั่นคือการกลั้นหายใจกลายเป็นหิน

 

 

พรสวรรค์ประหลาดเช่นนี้ คือสิ่งที่หานลี่ค้นพบโดยไม่ได้ตั้งใจในครั้งหนึ่งระหว่างที่กำลังบำเพ็ญเพียรฝึกควบคุมจิตใจตน 

 

 

แมลงกลืนทองเหล่านี้ตอนที่ยังไม่ได้มุดเข้าสู่ดินหิน ก็สามารถแผ่กระแสพลังวิญาณธาตุดินอันแรงกล้าออกมาจากภายในกาย สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งกับซากที่กลายสภาพเป็นหินใกล้ๆ นั้นได้อย่างลงตัว

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ เว้นเสียแต่ผู้ซึ่งรู้แน่แก่ใจว่ามีแมลงนี้ซ่อนกายอยู่ยังที่แห่งนี้ หรือไม่ก็ผู้ซึ่งครอบครองตาทิพย์ที่ได้รับการฝึกบำเพ็ญมาโดยเฉพาะจึงจะมองออกได้โดยตรง มิเช่นนั้นแล้วต่อให้จิตสัมผัสแก่กล้าเพียงใด ขอเพียงเจ้าแมลงนี้เร้นกายอยู่กลางดินหินไม่ปรากฏตัว ก็ไม่อาจสังเกตความผิดปกติได้

 

 

และด้วยเหตุนี้เอง หานลี่จึงได้ซึมแทรกเข้ามาส่วนล่างสุดของภูเขาลูกใหญ่ได้อย่างง่ายดาย

 

 

แม้เหตุเพราะไอมารขวางกั้น เขาจึงไม่อาจรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของหญิงสาวเผ่าจิงได้อย่างแม่นยำผ่านแมลงกลืนทองได้ตลอดเวลา แต่ด้วยจิตสัมผัสอันเลือนราง ก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่นิ่งกับที่อย่างว่าง่าย แต่มีการลงมือเคลื่อนไหวอะไรบางอย่าง

 

 

สำหรับเรื่องนี้ หานลี่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจนัก

 

 

หญิงสาวผู้นี้ทีแรกเมื่อได้เอ่ยปากว่าจะใช้วัตถุดิบมารอสูรขั้นศักดิ์สิทธิ์แลกกับการคืนสภาพเกราะมารเหนือฟ้านั่น เขาก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายคงมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่ มิเช่นนั้นหญิงสาวผู้นี้คงไม่ใช่ชาวเผ่าจิงธรรมดาคนหนึ่ง วัตถุดิบมารอสูรขั้นศักดิ์สิทธิ์นั้นแม้จะหายาก แต่เมื่อตัดแก่นมารไป คงไม่คุ้มค่าอะไรที่อีกฝ่ายจะทุ่มเทความคิดถึงขั้นนี้ หรือแม้กระทั่งมองข้ามสิ่งล้ำค่าอย่างเกราะมารเหนือฟ้า

 

 

ต่อมาเมื่อได้เข้ามายังเทือกเขาหมึกทอง ตลอดทางพวกเขาประสบเหตุการณ์อันตรายหลายต่อหลายครั้ง หญิงสาวกลับไม่ได้เผยท่าทียอมแพ้ออกมาแม้เพียงนิด

 

 

ในใจหานลี่จึงมั่นใจขึ้นแปดถึงเก้าส่วน

 

 

แต่กับเรื่องนี้ เขาก็ไม่ได้มีแสดงอาการโกรธเกรี้ยวอะออกมา

 

 

สำหรับหานลี่ ขอเพียงหญิงสาวผู้นี้ไม่ทำให้เขาเสียประโยชน์ สามารถใช้แก่นมารขั้นศักดิ์สิทธิ์คืนสภาพเกราะมารเหนือฟ้าตามที่บอกไว้แต่แรก แม้ว่านางจะลอบทำอะไรบางอย่าง เขาก็ยังพอที่จะหลับตาข้างหนึ่งได้

 

 

แน่นอนหากว่าผลประโยชน์นี้เพียงพอจะทำให้พอใจ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะมีส่วนเข้าไปเกี่ยว

 

 

หญิงสาวผู้นี้แม้ว่าจะดูรู้ทันความคิดเขา แต่บำเพ็ญเพียรมาน้อยนิด หานลี่จึงสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดตลอดเวลาได้อย่างใจ

 

 

ตอนนี้ เขายืนอยู่ที่ทางเข้าห้องโถงใหญ่สังเกตการณ์อยู่นานชั่วหนึ่งเหยือกชา ในที่สุดก็แน่ใจ ทั้งห้องโถงใหญ่นอกจากเขตอาคมนั้นและเสาทั้งสิบสองต้นที่อยู่รายรอบสี่ทิศ ก็ไม่ได้มีเขตต้องห้ามใดๆ อีก 

 

 

และวานรยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าก็ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ยังหลับใหลจมอยู่ในภวังค์

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก่อนที่เรื่องแผนการลับของหญิงสาวเผ่าจิงยังไม่กระจ่าง เขาก็ไม่รังเกียจที่จะเอาแก่นมารขั้นศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้ามาไว้ก่อนค่อยว่ากันทีหลัง

 

 

ขอเพียงไม่ใช้แข็งปะทะแข็ง ซุ่มโจมตี เขาก็สามารถสังหารมารอสูรตัวนี้ได้อย่างง่ายดายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว 

 

 

หานลี่ครุ่นคิดอยู่ในใจ แววเยือกเย็นฉายผ่านนัยน์ตาปลาบหนึ่ง และแล้วเขาก็ตัดสินใจลงมือ

 

 

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที แขนเสื้อทั้งสองขยับไหว

 

 

ในมือข้างหนึ่งมีแสงสีน้ำเงินกะพริบ ลูกปัดกลมสีน้ำเงินนับสิบลอยขึ้นกลางฝ่ามือ ในมืออีกข้างกลับปรากฏยันต์หนาๆ ปึกหนึ่งขึ้นมาในทันที 

 

 

เมื่อเหวี่ยงออกไปด้านหน้า ทั้งสองสิ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าหานลี่พร้อมกัน

 

 

จากนั้นแสงสีทองบนร่างกายของหานลี่ก็ส่องกะพริบ แล้วก็มีแมลงปีกแข็งสีทองขนาดเท่ากำปั้นสองตัวบินออกมา

 

 

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หานลี่ก็ใช้มือข้างหนึ่งสะบัดท่าสงบพลังปราณ ทันใดนั้นร่างกายจากที่ล่องหนอยู่ก็กลับคืนสู่สภาพเดิม

 

 

แม้แต่ในขั้นตอนนี้ เขาก็ยังคงจับจ้องไปยังวานรยักษ์สีดำกลางห้องโถงใหญ่โดยไม่กะพริบตา

 

 

วานรตัวนี้นอนอยู่บนเตียงใหญ่สีแดงเลือดโดยไม่ขยับแม้แต่ปลายขน ไม่มีปฏิกิริยาผิดปกติอันใดเลยแม้แต่น้อย

 

 

หานลี่คลายสีหน้าลงเล็กน้อย เขาชี้นิ้วไปแตะปึกยันต์ที่อยู่ด้านหน้านั้น

 

 

เสี้ยววินาทีเดียวยันต์ปึกนั้นก็ลอยกระจายไปทั่วสารทิศอย่างเงียบเชียบในเวลาเดียวกัน จากนั้นก็ส่องแสงรำไรหนึ่งที แล้วเลือนหายไปเงียบๆ ทั่วสารทิศ

 

 

ลูกปัดกลมนับสิบก็ค่อยๆ บินไปยังเสาสีดำเหล่านั้นเช่นกัน 

 

 

แต่เมื่อลอยไปถึงยังยอดของเสาเหล่านั้น ในขณะที่กำลังเข้าใกล้เขตอาคมขนาดมหึมา ลูกปัดกลมสีน้ำเงินเหล่านั้นกับหยุดนิ่ง ลอยเคว้งอยู่ที่เสาแต่ละต้นสูงหลายจั้ง ไม่ขยับเคลื่อนไหว

 

 

แมลงกลืนทองสองตัว ในขณะที่จิตสัมผัสของเขาเคลื่อนขยับ ก็ชำแรกแทรกกายอยู่ยังที่ซึ่งห่างจากเขตอาคมนั้นไปไม่เกินสิบจั้ง ลอยคว้างกลางอากาศจับตามองอย่างดุดัน

 

 

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ ก็ชำเลืองมองวานรมารปราดหนึ่ง เมื่อเห็นมันยังคงสงบนิ่ง มืออีกข้างก็ออกท่าทางชี้พุ่งไปยังมุมหนึ่งของโถงใหญ่

 

 

ชั่วพริบตาเดียว วิหคเพลิงสีเงินตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมายังที่ซึ่งไกลออกไปอย่างน่าฉงน ปีกทั้งคู่กระพือโบก แล้วหายวับไปทันตา 

 

 

วินาที่ถัดมา ส่วนยอดห้องโถงใหญ่ที่อยู่เหนือเขตอาคมยักษ์นั้น วิหคเพลิงก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ ลอยนิ่งกลางอากาศไม่ไหวติง

 

 

หานลี่สีหน้าเคร่งขรึมผิดปกติ แต่ในใจยังคงร่ายอาคมอย่างเด็ดเดี่ยว

 

 

วิหคเพลิงสีเงินอ้าปากกลางเวหา พ่นเส้นไหมสีทองเงินเส้นหนึ่งออกมา

 

 

นั่นคือคลื่นลำแสงภยันตราย

 

 

เส้นไหมสีทองเงินนั้นรวดเร็วไร้ที่เปรียบ

 

 

ประหนึ่งว่าทันทีที่คลายออกจากฝั่งนี้ ก็ไปถึงยังเขตอาคมฝั่งนั้นโดยทันที

 

 

เขตอาคมยักษ์นั้นตั้งอยู่ตรงนั้นโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ตามคาด

 

 

กลางห้องโถงใหญ่เสียงดึงขึ้น ‘หวึ่ง’ ทันใดนั้นแสงครอบสีเลือดชั้นหนึ่งก็ขึ้นกลางอากาศเหนือเขตอาคม ปกคลุมวานรยักษ์ที่อยู่ด้านล่างเอาไว้อย่างแนบสนิทมิดชิด

 

 

แต่เส้นไหมสีทองเงินทันทีที่สัมผัสกับครอบแสง ก็แทงทะลุเข้าไปอย่างงายดายราวกลับไม่มีสิ่งขวางกั้น ส่องประกายกะพริบวาบหนึ่ง แล้วก็ปรากฏบนศีรษะวานรยักษ์อย่างน่าประหลาดใจ

 

 

ส่องแสงวาบหนึ่งแล้วหายไป คลื่นลำแสงภยันตรายมุดทะลุเข้าไปในศีรษะอันใหญ่โตนั้นโดยตรง

 

 

เมื่อได้เห็นภาพความสำเร็จในหมัดเดียว หานลี่ที่อยู่ห่างออกไปจากที่นั่นก็กลั้นใจเอาไว้ชั่วครู่

 

 

เสียงดังขึ้น ‘ตึง’

 

 

บนร่างที่แทบจะว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใดของวานรยักษ์ในตอนแรก ก็ถูกปกคลุมไปด้วยเกราะรบสีม่วงอย่างแน่นหนาชั้นหนึ่งขึ้นมาทันที

 

 

เส้นไหมสีทองเงินกระทบเกราะบนใบหน้าไร้ความกลัวของวานรยักษ์ ถูกทำให้สะท้อนกลับ

 

 

เกิดเสียงประหลาดดังขึ้นเหมือนกับโลหะกระทบกัน

 

 

หานลี่ที่อยู่ห่างออกไปเห็นดังนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นการใหญ่ ปรากฏกายทันทีอย่างไม่ลังเล แสงสีทองบนกายกะพริบสว่าง พระพุทธรูปสามเศียรหกหัตถ์สีทองปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ

 

 

เขาในขณะท่องคาถาเงียบๆ ในใจ เศียรทั้งสองจากสามเศียร เบิกตาทั้งคู่ขึ้น เผยให้เห็นแววตาอันเคร่งขรึม หัตถ์ทั้งหกโบกไปกลางอากาศ แล้วก็ประกบเข้าหากัน

 

 

กลางหัตถ์ใหญ่ที่ส่องประกายสุกสกาวมีแสงวาวสีสันต่างๆ กะพริบวาบ แล้วมีกระบี่ยักษ์สามเล่มปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง

 

 

กระบี่ทั้งสามรูปร่างดูโบราณเรียบง่าย บนผิวภายนอกมีอักขระยันต์ไหลวนส่องกะพริบ ทว่าสีของแต่ละเล่มนั้นไม่เหมือนกัน

 

 

เล่มหนึ่งบางราวกับแผ่นกระดาษ ส่องประกายสีทอง ด้ามหนึ่งตัวเล่มแคบยาวเหยียด ส่องประกายสีน้ำเงิน ด้ามสุดท้ายนั้นกลับหนาเตอะไร้คม ดำทะมึนราวกับหมึก

 

 

“ฟัน”

 

 

หานลี่ใช้เสียงที่เบาจนแทบฟังไม่ได้ยิน พูดออกมาอย่างเคร่งขรึม

 

 

เวลาเดียวกันนั้นมือทั้งสองก็สะบัดร่ายวิชา แล้วชี้ไปยังที่ไกลออกไปนั้นพร้อมกัน

 

 

‘พรึ่บ’ ‘พรึ่บ’ ‘พรึ่บ’ ดังขึ้นสามครั้ง

 

 

กระบี่แสงสีต่างกันสามเล่มก็ผ่าแหวกออกไป แล้วรวมเป็นหนึ่งในทันใด กลายเป็นลำแสงสามสีดำสายหนึ่งพุ่งยังวานรยักษ์

 

 

แทบจะในเวลาเดียวกัน ลูกปัดกลมสีน้ำเงินที่กระจายอยู่ตามเสาสีดำนับสิบเม็ดก็พากันร่วงลงสู่พื้น แสงสีน้ำเงินส่องวาบ แล้วแตกร้าวส่งเสียงดังกึกก้อง

 

 

ดังสนั่นราวฟ้าผ่า

 

 

เสี้ยววินาทีเดียว ไม่เพียงแต่เสาสีดำทั้งสิบสองต้น ที่แตกร้าวพังครืนลงด้วยกระแสสายฟ้า แม้แต่อาคมทั้งหมดก็ถูกไปด้วยสายฟ้าสีน้ำเงินทอดโค้งจนมิด

 

 

ครอบแสงและสายฟ้าสัมผัสกัน แสงสีม่วงและและกระแสสีนำเงินเบียดทับกัน

 

 

ครั้นแล้วครอบแสงสีม่วงก็แยกร้าวเกิดเสียงโหยหวนออกมาเสียงหนึ่ง กระแสสายฟ้าสีน้ำเงินนับไม่ถ้วนเบียดฟันลงอย่างแรง

 

 

ในขณะเดียวกัน แมลงกลืนทองสองตัวที่รอมาสักพักใหญ่ในตอนแรกนั้นก็พุ่งออกไปพร้อมกันกับกระบี่แสงสามสี อาศัยจังหวะที่พลังเริ่มอ่อนพุ่งเข้าไปชั่วพริบตา