ตอนที่ 565 น้อยใจ
เหล่าหวางเฟยตัดสินใจแล้วว่าต้องจัดการนาง เพราะจักปล่อยให้นางมีชีวิตสงบสุขในจวนอ๋องได้เช่นไร ?
แม้อันหลิงเกอมิติดใจหรือคิดเอาเรื่องเหล่าหวางเฟย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายมิเคยคิดปล่อยนางเลย
ตอนนี้เหล่าหวางเฟยเป็นผู้ดูแลงานในจวนอ๋องทั้งหมด แม้เข้าสู่ช่วงฤดูร้อนแต่นางก็ยังลงมืออย่างรุนแรงกับอันหลิงเกอ
มิเพียงเท่านี้ ทุกวันที่อันหลิงเกอไปคารวะเหล่าหวางเฟย อันหลิงเกอก็จักถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งหลังสุดเสมอและตรงนั้นก็ไม่ปิดหน้าต่างจึงทำให้นางโดนแสงแดดที่ส่องเข้ามาตลอด
อันหลิงเกอใช้ความอดทนมาก เดิมทีนางก็มิได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ แต่พอคิดว่าเหล่าหวางเฟยคือฆาตกรสังหารมารดาและตอนนี้ยังปฏิบัติกับตนเช่นนี้อีก นางก็อดกลั้นความเกลียดชังมิอยู่จริง ๆ
“เรียนเหล่าหวางเฟย นายของบ่าวเกิดมาก็กลัวแดด ได้โปรดเปลี่ยนตำแหน่งให้นางได้หรือไม่เจ้าคะ ? ”
ปี้จูที่อยู่ข้างกายอันหลิงเกอเห็นเจ้านายโดนแดดส่องจึงรู้สึกเป็นห่วงและกระวนกระวายพอสมควร ดังนั้นจึงเอ่ยปากขอร้องไปตามตรง
แต่เหล่าหวางเฟยจงใจให้นางอยู่ตรงนั้นแล้วจะปล่อยโอกาสให้พวกนางขอร้องได้เยี่ยงไร ? ต่อจากนั้นก็ส่งสายตาให้ทัวป๋าหลิวลี่
เมื่อทัวป๋าหลิวลี่เห็นเยี่ยงนั้นก็รีบเอ่ยออกมาโดยมิเกรงใจ “ร่างกายเจ้านายของเจ้าอ่อนแอก็จริง ทว่าตากแดดนิดหน่อยจะเป็นอันใดไป ยังกล้าพูดว่ากลัวแดดจากธรรมชาติอีก”
ตอนนี้อันหลิงเกอมิใช่พระชายาเอกแล้วจึงโดนผู้อื่นรังแกตลอดเวลา
ต่อจากนั้นทัวป๋าหลิวลี่ก็รีบลุกขึ้นพร้อมมองอันหลิงเกอและปี้จูอย่างเย้ยหยัน “เจ้าเบิกตาให้กว้าง ดูสิว่าสนมที่ยืนอยู่ในที่นี้มีผู้ใดมิล้ำค่าเหมือนนายเจ้าบ้าง ? ”
ทันทีที่ทัวป๋าหลิวลี่กล่าวจบ สายตาของทุกคนในห้องก็จับจ้องไปที่อันหลิงเกอ สีหน้าของนางจึงเขียวขึ้นมาทันที แม้ในใจอัดอั้นเท่าไรก็มิสามารถทำอันใดได้ นางได้แต่ค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “เชี่ยเซินมิกล้า เวลานี้แดดก็ไม่แรงมากนัก มิได้รู้สึกร้อนถึงเพียงนั้นเจ้าค่ะ”
ส่วนเหล่าหวางเฟยเมื่อเห็นท่าทางจนปัญญาของนางแล้วก็รู้สึกมีความสุขทันที
การกระทำเช่นนี้ยังมีอีกมากมาย แม้อันหลิงเกอรู้ว่าเป็นฝีมือของเหล่าหวางเฟยแต่ก็มิเคยจับจุดอ่อนเหล่าหวางเฟยได้เลยจึงมิเคยบ่นให้มู่จวินฮานฟังและเก็บมันไว้ในใจเท่านั้น
อันหลิงเกอรู้ดีว่าตอนนี้ยังมิใช่เวลาเหมาะสม
กระทั่งมีครั้งหนึ่งเหล่าหวางเฟยส่งคนมาวางยานาง แต่โดนปี้จูจับได้โดยบังเอิญ
“เจ็บมากเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอที่นอนอยู่ในอ้อมแขนมู่จวินฮานกำลังเผยสีหน้าซีดเซียวของความเจ็บปวดออกมา พร้อมกันนั้นก็มีเม็ดเหงื่อผุดซึมตลอดเวลา
“พวกเจ้าทำสิ่งใดกันอยู่ มิเห็นหรือว่าพระชายากำลังทรมานอยู่ ข้าขอเตือนพวกเจ้าไว้เลย หากนางยังเป็นเช่นนี้อีก ข้าจะตัดศีรษะพวกเจ้า ! ”
หนึ่งคำก็พระชายา สองคำก็พระชายาจึงทำให้ทุกคนสงบลงในที่สุด
ช่วงหลายวันนี้มู่จวินฮานอยากมาหาอันหลิงเกอตลอด เขาคิดถึงนางมากแต่เพราะเรื่องของหอพิษกู่ เขาจึงมิได้มาหานาง
แต่คาดมิถึงว่าตอนมาหานางในวันนี้จักได้เห็นนางทรมาน หลังเชิญท่านหมอมาตรวจแล้วก็ยังรู้ว่าโดนคนวางยาพิษอีก !
“ท่านอ๋อง อย่าตำหนิพวกเขาเลย เกอเอ๋อรู้ดีแก่ใจว่าต้องทำเยี่ยงไรเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอมิเคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งต้องใช้วิธีออดอ้อนเช่นกัน
“เกอเอ๋อ ข้าต้องหาคนร้ายให้เจอแน่นอน”
มู่จวินฮานเอ่ยปลอบสั้น ๆ หลังได้ยินเช่นนั้นนางก็เผยแววตาของการประสบความสำเร็จและบอกมู่จวินฮานว่า
“ถ้าเป็นเหล่าหวางเฟยล่ะเจ้าคะ ? ”
เมื่อเห็นสายตาของอันหลิงเกอแล้ว มู่จวินฮานก็เข้าใจทันที เขาเห็นได้ชัดว่าอันหลิงเกอรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว
ตัวนางก็เป็นหมอคนหนึ่ง การโดนวางยาพิษย่อมเป็นไปมิได้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงเหลือความเป็นไปได้แค่อย่างเดียวก็คือนางจงใจและนางต้องการบอกกับเขาทางอ้อม
หลังได้ยินประโยคนี้แล้ว มู่จวินฮานก็ทั้งตกตะลึงและโมโห จากนั้นเขาก็รีบพาคนไปที่เรือนของเหล่าหวางเฟยทันที
ตั้งแต่อันหลิงเกอออกจากจวนอ๋อง ฮ่องเต้ก็ทำเหมือนอยากชดเชยให้มู่จวินฮานโดยอนุญาตให้เหล่าหวางเฟยมาพำนักอยู่ที่จวนเป็นเวลานาน
“หมู่เฟย ลูกมาหาท่านครั้งนี้ ท่านคงรู้ดีว่าเพราะเหตุใด ! ” ขณะมองไปยังใบหน้าเปื้อนยิ้มอ่อนโยนที่ตนเห็นมาเป็นเวลาหลายปี มู่จวินฮานก็โมโหกว่าเดิม
เหล่าหวางเฟยกำกระโปรงไว้แน่น นางรู้ว่าคราวนี้ประมาทเกินไปเพราะคนที่ส่งไปวางยาอันหลิงเกอก็ถูกจับได้แล้ว
“ท่านอ๋อง เจ้ากล่าวอันใด ? ”
ยามที่มองใบหน้าเมตตาและน้อยใจของเหล่าหวางเฟย มู่จวินฮานก็อดรู้สึกสงสัยมิได้ แต่หลังจากนึกถึงสาวใช้ที่โดนจับได้คนนั้น น้ำเสียงของเขาก็มั่นใจขึ้นมาทันที
“วันนี้เกอเอ๋อโดนคนของท่านวางยาพิษ เรื่องนี้ท่านจะอธิบายเยี่ยงไรขอรับ ! ”
“ท่านอ๋อง ตอนนี้เจ้าจะกล่าวโทษแม่เพราะสตรีที่กลับมาจากหอพิษกู่หรือ ? ” ขณะที่กล่าว เหล่าหวางเฟยก็หันศีรษะเผยท่าทางโศกเศร้าเสียใจหลังโดนใส่ร้าย
เมื่อมู่จวินฮานเห็นเยี่ยงนั้นก็มิอยากคุยด้วยอีก
มู่จวินฮานหยุดคิดเพียงเท่านั้น หลังระงับความโกรธแล้วก็เอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่ง “นำสาวใช้ผู้นั้นไปโบยให้ตาย ! ”
แม้เขาแตะต้องมารดามิได้ แต่ไม่ว่าเยี่ยงไรสาวใช้ผู้นั้นก็ต้องตาย !
เหล่าหวางเฟยยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาแต่ก็มิได้กล่าวอันใดออกมา
“เมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้ายังมิให้แม่ทำอันใดวู่วาม ตอนนี้คงมิอยากกล่าวอันใดอีกแล้วกระมัง ! ”
อันหลิงเกอถูกพิษไม่มากนัก ดังนั้นร่างกายจึงฟื้นตัวเป็นปกตินานแล้ว
พอนึกถึงช่วงเวลาที่โดนทุกคนกักตัวให้อยู่เฉย ๆ อันหลิงเกอก็รู้สึกว่าร่างกายกำลังหมดประสิทธิภาพ แค่คิดก็กลัวแล้ว
เมื่อกลับมาอยู่จวนอ๋องก็มิได้มีชีวิตที่อิสระเหมือนอยู่หอพิษกู่อีกเลย
“พระชายา อย่าอารมณ์เสียสิเจ้าคะ” ปี้จูหยิบเสื้อคลุมปักลายดอกกล้วยไม้ออกมาจากข้างเตียงเพื่อคลุมตัวให้อันหลิงเกอพร้อมพึมพำอีกครั้ง “พระชายายังต้องระวังสุขภาพอยู่นะเจ้าคะ”
อันหลิงเกอกำลังจะเถียงกลับ แต่แล้วนางก็เห็นมู่จวินฮานปรากฎตัวขึ้นเสียก่อนและเขาก็ดึงตัวนางไปกอดพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ปี้จูพูดถูกทุกอย่าง ถึงตอนนี้หายแล้วก็ต้องระวังสุขภาพอยู่ดี”
นี่เป็นช่วงที่มีอากาศร้อนมาก แต่พวกเขาจะให้นางใส่เสื้อผ้ามิดชิด นี่มันเหตุผลบ้าบออันใด ?
แท้จริงแล้วมู่จวินฮานกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อรักษาสุขภาพและปกป้องนาง อันหลิงเกอต้องอยู่เฉย ๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมากสำหรับนาง
ส่วนตัวเขาเอง เพื่อดูแลนาง ช่วงหลายวันมานี้ก็มิได้ออกนอกจวนเท่าไรนัก เขาจึงคิดพานางออกไปล่าสัตว์ข้างนอก
“ข้าอ่อนแอถึงเพียงนั้นที่ไหนกัน ? ” หลังเห็นทั้งสองคนเป็นเยี่ยงนี้ อันหลิงเกอก็กลืนมิเข้าคายมิออก ต่อจากนั้นก็มุ่ยปากใส่ “ข้าแค่อยากยืดเส้นยืดสาย หลายวันนี้ข้าอยู่แต่ในห้องจนเบื่อจะตายอยู่แล้ว”
เวลานี้นางได้สังเกตมู่จวินฮานอีกครั้งก็มีความรู้สึกที่เอ่ยออกมามิได้เหมือนกัน
“ตกลง” เสียงหัวเราะของมู่จวินฮานดังขึ้นพร้อมกันนั้นยังมีน้ำเสียงจนปัญญา “เดิมทีวันนี้มาหาเจ้าเพราะอยากพาออกไปเดินเล่นสักหน่อย ตัวข้าก็มิได้ขึ้นเขาไปล่าสัตว์นานแล้ว วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปลองสัมผัสบ้าง ดีหรือไม่ ? ”