ตอนที่ 564 คืนถิ่น
เมื่อหนานกงหลิงเยว่ตื่นขึ้นมา อันหลิงเกอก็จากหอพิษกู่ไปแล้วเพราะเข้าใจดีว่าการบอกลานั้นจะทำให้ทุกคนเสียใจ
อันหลิงเกอมิปรารถนาให้ออกมาเป็นเช่นนั้นจึงได้แต่หวังว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีต่อไป
แม้อันหลิงเกอผู้นี้ยังมิเคยมีชีวิตยาวนานมาก่อน แต่ก็ผ่านเหตุการณ์มามิน้อย นางเข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดของการจากลาเป็นอย่างดีและรู้ดีว่าหากตนยังอยู่ต่อ บางทีอาจทำให้หนานกงหลิงเยว่เจ็บปวดกว่าเดิม
หลังยืนอยู่นอกจวนอ๋องเป็นเวลานาน อันหลิงเกอก็มิเข้าไปเสียที นางมิรู้ว่าควรกลับมาด้วยท่าทีเยี่ยงไร
“เด็กเด็ก จับนางปิศาจมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ! ”
นางปิศาจหรือ ? อันหลิงเกอยังมิทันได้สังเกตเห็นความผิดปกติก็โดนองครักษ์ของจวนล้อมไว้แล้ว หรือนางปิศาจที่ว่าคือนางเอง ?
อันหลิงเกอถูกนำตัวเข้าจวนอ๋องแต่มิได้ไปยังห้องโถงเพราะไปยังคุกแทน
ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลานี้ทัวป๋าถิงฟางก็กำลังหาตัวตายตัวแทนซึ่งก็คือฟางซู่ซู่
เช้าวันต่อมา
ฟางซู่ซู่ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้นมาอย่างมึนงง ขณะมองแสงที่ลอดผ่านเข้ามาก็อดหรี่ตาลงมิได้
นางขมวดคิ้วแล้วขมวดคิ้วอีก ถ้าเป็นอย่างที่คิด…นางรู้สึกเสียใจมาก !
สายลมที่พัดแรงมิใช่เรื่องดี…
ภายในจวนอ๋อง
ทัวป๋าถิงฟางกำลังเอนกายพิงอยู่บนเก้าอี้สูงศักดิ์ เวลานี้นางหรี่ตาครึ่งหนึ่งขณะนอนอาบแดดอยู่ในสวน
จู่ ๆ ก็มีสาวใช้คนหนึ่งวิ่งเข้ามา
“ถิงฟางเช่อเฟย ถิงฟางเช่อเฟยเจ้าคะ…” นางวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น
“เรื่องที่ให้เจ้าไปสืบเป็นเยี่ยงไรบ้าง” ทัวป๋าถิงฟางลืมตาขึ้นแล้วมองไปยังสาวใช้อย่างมีความหวัง
“เป็นตามที่ท่านคิด สุดท้ายฟางซู่ซู่ก็ยอมแต่งงานกับประมุขเผ่าเจ้าค่ะ ! ” สาวใช้ยกยิ้มมุมปากพร้อมกล่าวออกมา
ตอนนี้ทัวป๋าถิงฟางก็ดูมีความสุขกว่าเดิม นางลุกขึ้นนั่งพร้อมรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้าขาวผ่อง
ส่วนฟางซู่ซู่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในเรือน สิ่งที่ทำให้นางโมโหยิ่งกว่าคือทัวป๋าถิงฟางมาที่นี่เพื่อหัวเราะเยาะและสาปแช่งนาง
“ฮูหยินประมุขเผ่าปิงชวนกำลังอาละวาดอยู่ในห้อง ดูหมอนนั่นสิ กระจัดกระจายบนพื้นหมดแล้ว”
ทัวป๋าถิงฟางลุกขึ้นบิดเอวแล้วเดินเข้ามาแสดงท่าทางกับฟางซู่ซู่ที่กำลังนั่งควันออกหูอยู่บนเตียงอย่างชัดเจน
“เจ้ามาที่เรือนข้าด้วยเหตุใด ข้ามิเคยเชิญเจ้ามา ! ”
พอมองทัวป๋าถิงฟางแล้ว ความโกรธกับความมิพอใจของฟางซู่ซู่ก็ปะทุกว่าเดิมเพราะคนที่ควรแต่งกับประมุขเผ่าก็คือทัวป๋าถิงฟาง ! พอนึกถึงตรงนี้ ดวงตาของฟางซู่ซู่ก็แสดงความมิพอใจออกมา
“ฮูหยินประมุขชนเผ่ามิเคยเชิญข้าก็จริง แต่เกี่ยวอันใดกัน ท้ายที่สุดข้ากับเจ้าก็เคยเป็นพี่น้องมาก่อน แม้ความสัมพันธ์พี่น้องจบลงไปแล้วข้าก็ยังนึกถึงความสัมพันธ์เก่าก่อนอยู่” ขณะมองฟางซู่ซู่ ดวงตาทัวป๋าถิงฟางก็เต็มไปด้วยความรังเกียจ
มิได้กำลังนึกถึงมู่จวินฮานหรือไร ? ช่างน่าขันเสียจริง มิรู้จักเอากระจกมาส่องดูหน้าตนเองเสียบ้าง ฟางซู่ซู่จะคู่ควรกับเขาหรือ ?
เมื่อฟางซู่ซู่เห็นเยี่ยงนั้น เล็บเรียวยาวของนางก็ทิ้งรอยแผลไว้ที่ฝ่ามือ นางกัดปากแน่นและขณะเดียวกันใบหน้าก็ซีดเซียวกว่าเดิม
“เจ้าอย่าคิดว่าข้ากำลังรังแกอยู่เลย ฟางซู่ซู่ การเป็นฮูหยินประมุขชนเผ่าดีกว่าอยู่อย่างสิ้นหวังในจวนแห่งนี้”
ในความเป็นจริงแล้วทัวป๋าถิงฟางเคยเห็นประมุขคนนั้นมาก่อน นางรู้ว่าปัจจุบันนี้เขาเป็นชายหนุ่มมากความสามารถและมิได้เลวร้ายอย่างที่ผู้ใดเล่าลือกัน
แต่นางก็ยังต้องการถากถางฟางซู่ซู่อยู่ดี
ทัวป๋าถิงฟางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วใช้นิ้วเชยคางอีกฝ่ายขึ้นพร้อมริมฝีปากที่ยกยิ้มและเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจ
“เจ้า ! ” แม้ฐานะของฟางซู่ซู่มิถือว่าสูงศักดิ์แต่ก็ถูกเลี้ยงดูมาโดยไร้ความอัปยศ ดังนั้นนางจึงผินหน้าหลบพร้อมเผยแววตาที่เต็มไปด้วยความอดสู
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้แล้วความรู้สึกรังเกียจในใจทัวป๋าถิงฟางก็เพิ่มขึ้นทันที ขณะเดียวกันก็หยิกคางอีกฝ่ายโดยแรงและเอ่ยอย่างมิเกรงใจ “สมน้ำหน้า”
เดิมทีถ้าทัวป๋าถิงฟางแต่งออกไปก็อาจมีฐานะเป็นสนมชั้นสูง แต่ฟางซู่ซู่มีฐานะต่ำต้อยจึงเป็นแค่สนมระดับล่างเหมือนคนทั่วไป
แม้พูดให้น่าฟังว่าเป็นฮูหยินประมุขเผ่า แต่ในความเป็นจริงก็แค่อนุภรรยาคนหนึ่งเท่านั้น ฟางซู่ซู่จึงถูกส่งไปยังเผ่าปิงชวนอย่างรวดเร็ว
ส่วนอันหลิงเกอยังถูกขังอยู่ในคุกของจวนอ๋องมู่ดังเดิม
“คารวะเหล่าหวางเฟยขอรับ”
เมื่อคนในคุกเห็นเหล่าหวางเฟยเข้ามาก็รีบทำความเคารพทันที เนื่องจากคนที่นี่มีโอกาสได้พบเหล่าหวางเฟยน้อยมาก
“หมู่เฟยให้คนจับเกอเอ๋อไปหรือ ? ”
ตอนนี้มู่จวินฮานอยู่ในห้องโถงและมิอยากเชื่อว่าเกอเอ๋อกลับมาแล้ว ทั้งยังถูกมารดาจับไว้ด้วย
เขารู้เรื่องหอพิษกู่เต็มอก แต่คาดมิถึงว่ามารดาจะออกคำสั่งให้จับเกอเอ๋อไว้โดยมิปริปากอันใดสักคำ
“ไปที่คุก ! ” มู่จวินฮานมิลังเลแม้แต่น้อยเพราะเดินทางมาที่คุกทันที
เวลานี้เหล่าหวางเฟยเพิ่งมาถึงและกำลังมองสำรวจอันหลิงเกออยู่ก็มีคนเข้ามารายงาน
จวินฮานมาได้เยี่ยงไร ?
มู่จวินฮานยังมิทันได้เอ่ยอันใดก็เข้าไปดึงตัวอันหลิงเกอขึ้นมาแล้ว
“ท่าน…”
เดิมทีนางคิดว่ามูจวินฮานเป็นคนออกคำสั่งให้จับตัวนางไว้ ถึงตอนนี้อันหลิงเกอจึงเข้าใจว่าเป็นเหล่าหวางเฟยต่างหาก
สตรีคนนี้กลัวอันใดนางนักหนาจึงหาเรื่องกันครั้งแล้วครั้งเล่า ?
ขณะมองมู่จวินฮานพาอันหลิงเกอออกไป เหล่าหวางเฟยก็โกรธจนควันออกหู
“เหตุใดเหล่าหวางเฟยต้องติดใจกับอันหลิงเกอด้วยเจ้าคะ ? ตอนนี้นางมีฐานะต่ำต้อยและไม่มีทางสร้างคลื่นลมอันใดได้หรอกเจ้าค่ะ”
ทุกคนก็รู้ถึงการมีตัวตนอยู่ในหอพิษกู่ของอันหลิงเกอ แต่มิเคยเห็นอยู่ในสายตามาโดยตลอด เนื่องจากเวลานี้นางเป็นสตรีมีแนวคิดขัดแข้งกับทางราชสำนักจึงไร้ประโยชน์อันใดอีก
กอปรกับจวนโหวอันก็มิกล้าเข้ามาช่วยหนุนหลังอันหลิงเกอง่าย ๆ
เมื่อเหล่าหวางเฟยได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะอย่างขมขื่น ต่อจากนั้นก็จับมือสาวใช้ของตนไว้ “หากมีความรักจากฮานเอ๋อ นางก็อาจได้กลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม”
เวลานี้เหล่าหวางเฟยโมโหจนปวดใจ แล้วจะมิคิดเรื่องของอันหลิงเกอได้เยี่ยงไร ?
เมื่อสาวใช้เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกเจ็บใจแทนเหล่าหวางเฟยทันที นางติดตามอีกฝ่ายมาตั้งแต่เด็กและเห็นเป็นมารดาแท้ ๆ นางจึงพูดปลอบขึ้นมาว่า “ถ้าเหล่าหวางเฟยมิอยากให้นางมีตัวตนอยู่บนโลกนี้ก็สามารถใช้ลูกไม้เล็กน้อยทำให้นางหายไปอย่างเงียบ ๆ ได้เจ้าค่ะ”
ตามความคิดของพวกนางคือหลังเกิดเรื่องกับหอพิษกู่แล้ว อันหลิงเกอก็จะรักษาตำแหน่งไว้มิได้อีก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนไม่มีฐานะหรือตำแหน่งใดติดกายแล้วด้วย
เหล่าหวางเฟยเริ่มเข้าใจขึ้นบ้าง นางลองนึกถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดอีกครั้งและก็ได้ผลสรุปเช่นนั้นจริง เพราะตอนนี้อันหลิงเกอยังอยู่ในใจของมู่จวินฮาน
หากนางลงมือตอนนี้ก็อาจทำให้มู่จวินฮานเคียดแค้นมารดาและเมื่อถึงเวลานั้นก็เลี่ยงการ*เสียฮูหยินเสียซ้ำขุนศึก ได้ยาก
“เจ้าพูดถูก ข้ายังมีวิธีมากมายที่จักทำให้นางหายไปอย่างเงียบ ๆ ” เหล่าหวางเฟยกล่าวจบ ดวงตาก็เปล่งประกายเล็กน้อยส่วนมือที่มุมโต๊ะก็กำแน่นกว่าเดิม
ทางด้านอันหลิงเกอที่ถูกมู่จวินฮานอุ้มมาที่เรือนฝูหลิงแล้วเขาก็ออกไปทันที ส่วนตัวนางลืมตาขึ้นก็อดร้องไห้ออกมามิได้
ผ่านไปนานเพียงนี้ ท้ายที่สุดนางก็ยอมร้องไห้ออกมาเสียที
…
*เสียฮูหยินเสียซ้ำขุนศึก หมายถึง การสูญเสียทั้งสองสิ่งในคราเดียวกัน