ตอนที่ 145 กลับไปทำงานอีกครั้ง

ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ

เถ้าแก่นำบะหมี่ที่หลินเหยาสั่งมาเสิร์ฟให้ เมื่อถังโจวโจวเติมเครื่องปรุงเสร็จ เธอก็คีบใส่ปาก “อื้อ อร่อย!” 

 

 

ณ ตอนนี้มีแขกอยู่ภายในร้านแค่เพียงสองคนคือถังโจวโจวและหลินเหยา เถ้าแก่นั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ที่ตั้งอยู่หน้าร้าน ดูเหมือนว่ากำลังคุยอยู่กับคนรู้จัก 

 

 

           “เหยาเหยา ฉันก็โกรธแค่พักเดียวเท่านั้นแหละ และแน่นอนว่าที่ฉันยอมรับลั่วอิงก็เป็นเพราะความน่ารักของเธอ” ถังโจวโจวไม่ได้ยกเว้นที่เธอเป็นเด็ก และนอกจากนี้เธอก็เข้าใจว่านี่ไม่ใช่ความผิดของลั่วอิง เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากผู้ใหญ่ 

 

 

           เด็กเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้เดียงสาที่สุดบนโลกใบนี้ การมาถึงของพวกเขาใช่ว่าพวกเขาจะมาได้ด้วยตัวเอง และการจากไปของพวกเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการ เมื่อถังโจวโจวคิดถึงเรื่องนี้วนไปวนมา ทันใดนั้นเธอก็ก้มหน้าต่ำลง แล้วน้ำตาก็ร่วงรินลงไปในน้ำซุปที่อยู่ในชาม 

 

 

           เมื่อหลินเหยาเห็นว่าถังโจวโจวเหมือนจะร้องไห้ เธอก็รู้เลยว่าเธอดันไปสะกิดต่อมเศร้าของเพื่อนเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอจึงไม่กล้าซักไซ้อะไรจากถังโจวโจวอีก ส่วนถังโจวโจวก็รู้ตัวเองดีว่าเธอแค่โกรธเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น 

 

 

           หลังจากที่พวกเธอกินบะหมี่เสร็จแล้ว ในขณะที่พวกเธอกำลังจะเดินออกจากร้าน พวกเธอก็พบว่าด้านนอกมีฝนตกลงมาปรอยๆ ตอนที่เพิ่งมาถึงฟ้ายังแค่ครึ้มๆ เอง นึกไม่ถึงเลยว่าพอออกมาแล้วมันจะกลายเป็นแบบนี้ ทั้งสองคนไม่ได้พกร่มมาด้วย พวกเธอมองดูพื้นที่ค่อยๆ เปียกชื้น จากนั้นพวกเธอก็เดินออกมา 

 

 

ยังดีที่บนศีรษะของถังโจวโจวมีหมวกอยู่หนึ่งใบ ซึ่งมันสามารถบังลมฝนให้เธอได้เล็กน้อย ส่วนหลินเหยาไม่กลัวกับฝนแค่นี้ เธอย่ำเท้าเดินฝ่าละอองฝนและยังเอ่ยติดตลกกับถังโจวโจวว่า “โจวโจว ถ้าวันนี้มันไม่ได้หนาวขนาดนี้ ฉันก็คงจะสนุกมาก” 

 

 

ถังโจวโจวเองก็เห็นด้วยกับเธอ น่าเสียดายที่วันนี้อากาศหนาวเกินไป ถึงแม้ว่าฝนจะตกพรำๆ เหมือนในบทกวี แต่เธอก็ไม่สามารถรู้สึกได้ถึงความสวยงามของมัน 

 

 

ทั้งสองคนเดินไปข้างหน้าตามทางของถนน ทางเดินที่อยู่ข้างนอกร้านค้าสามารถปกป้องพวกเธอจากฝนได้ ถังโจวโจวมองดูความพลุกพล่านด้านนอก แม้ว่าอากาศจะหนาวเหน็บ แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งหัวใจที่รักการชอปปิงของเหล่าหญิงสาวไว้ได้ 

 

 

ทางที่เธอเดินผ่านมีร้านขายของสำหรับเด็กร้านหนึ่ง ถังโจวโจวอดไม่ได้ที่จะหยุดมอง หลินเหยาที่สาวเท้าเดินต่อไปข้างหน้า พบว่าถังโจวโจวไม่ได้เดินตามมาด้วย เมื่อเธอหันกลับไปมอง เธอก็เห็นว่าถังโจวโจวยืนมองร้านนั้นอยู่ และเธอก็รู้ว่าถังโจวโจวคิดถึงเด็กคนนั้นอีกแล้ว “โจวโจว มาเถอะ!” 

 

 

“อ๋อ จ้ะ ไปเดี๋ยวนี้แหละ” ถังโจวโจวไม่อยากปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเศร้าในอดีตอีก เพราะไม่ว่าอย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป บางทีเร็วๆ นี้ลูกอาจจะกลับมาหาแบบเงียบๆ ก็เป็นได้ เธอคาดหวังเช่นนั้น 

 

 

พอได้ออกมาเดินเล่นกับหลินเหยา บรรยากาศที่คึกคักจอแจทำให้เธอสบายใจขึ้นเป็นกอง บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่ได้เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ร้านรวงต่างๆ เริ่มจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายก่อนปีใหม่เพื่อดึงดูดใจลูกค้า 

 

 

เมื่อถังโจวโจวกลับมาถึงบ้าน เธอก็คบคิดมาตลอดทางว่า ทำไมช่วงนี้เธอถึงเอาแต่ตั้งแง่กับลั่วเซ่าเชินล่ะ? หลังจากที่คิดมานาน ในที่สุดเธอก็พบสาเหตุ…เธอไม่ได้ไปทำงานมานานแล้ว! 

 

 

เธอไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนร่วมงานของเธอเลย วันๆ เธอถูกห้อมล้อมไปด้วยคนในครอบครัว ดังนั้น เธอจึงคอยจับตามองลั่วเซ่าเชินในทุกๆ วัน มิน่าล่ะช่วงนี้เธอถึงได้ขยับเข้าใกล้ตำแหน่งภรรยาขี้บ่นมากขึ้นเรื่อยๆ ถังโจวโจวรู้สึกว่าเธอเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจว่าเธอจะกลับไปทำงาน 

 

 

เธอกดโทรศัพท์ต่อสายหาผู้จัดการเป็นอันดับแรก จากนั้นเธอก็หยิบชุดทำงานของเธอออกมา เธอไม่ได้สวมมันมานานแล้ว เมื่อถังโจวโจวมองดูชุดทำงานสีดำขลับที่อยู่ตรงหน้า เธอก็รู้สึกแปลกๆ ในใจ 

 

 

วันรุ่งขึ้น ถังโจวโจวตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นเธอสวมชุดทำงาน เขาก็มองเธอด้วยความประหลาดใจ “นี่คุณจะไปไหน ไปทำงานเหรอ” 

 

 

“ค่ะ ทำไมคะ มีปัญหาอะไรเหรอ” ถังโจวโจวจัดปกเสื้อให้เข้าที่ขณะส่องกระจก แล้วเธอก็พบว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว 

 

 

“ปัญหาน่ะไม่มีหรอก เพียงแต่ว่าคุณหยุดงานมานานขนาดนี้ คุณแน่ใจนะว่าคุณยังคุ้น…” ก่อนที่ลั่วเซ่าเชินจะเอ่ยจบ แน่นอนว่าถังโจวโจวก็เข้าใจแล้ว เขาดูถูกเธอมากเกินไปหน่อยมั้ง? แม้ว่าเธอจะไม่ได้ไปทำงาน แต่เธอก็ยังคงติดต่อกับจวิ้นเจี่ยอยู่เป็นครั้งคราว ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะไม่คุ้นเคย 

 

 

ถังโจวโจวลงมาที่ชั้นล่างพร้อมกับลั่วเซ่าเชิน ช่วงนี้ลั่วอิงยังไม่ต้องไปโรงเรียน ดังนั้นถังโจวโจวจึงไม่ได้ปลุกเธอ เธอยังเด็กอยู่ ยิ่งนอนมากเท่าไรยิ่งดี 

 

 

ทั้งสองคนนั่งกินข้าวเช้าอยู่ที่โต๊ะ อาหารเช้าเป็นแบบง่ายๆ มีโจ๊กคนละชาม กินคู่กับผักเคียงอีกสองอย่างและไข่ลวก นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับอาหารเช้า 

 

 

ลั่วเซ่าเชินมาส่งถังโจวโจวที่บริษัท และเอ่ยนัดแนะกับถังโจวโจวว่าหลังเลิกงานเขาจะมารับเธอ ก่อนขับออกรถไป 

 

 

เมื่อถังโจวโจวเดินเข้ามาในบริษัท เธอก็ได้รับการต้อนรับที่แสนอบอุ่น คนจำนวนหนึ่งมารวมตัวกันอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ของบริษัท และผู้จัดการก็เป็นคนนำปรบมือด้วยตัวเอง ซึ่งนั่นทำให้ถังโจวโจวประหลาดใจ “พวกคุณ… นี่คือ…” 

 

 

“ยินดีต้อนรับกลับมานะ โจวโจว!” ผู้จัดการเดินมาจับมือของถังโจวโจว ส่วนพนักงานคนอื่นๆ บ้างก็มองมาที่ถังโจวโจวด้วยความอิจฉา บ้างก็ปรบมือให้อย่างตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาดีใจกับการกลับมาของถังโจวโจว 

 

 

จวิ้นเจี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ ผู้จัดการ เดินเข้ามาสวมกอดถังโจวโจว ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูของถังโจวโจวว่า “วันนี้ผู้จัดการบอกว่าเธอจะกลับมาทำงานแล้ว เราก็เลยเตรียมงานต้อนรับไว้ให้เธอโดยเฉพาะ ดีใจล่ะสิ!” 

 

 

ถังโจวโจวเกือบจะร้องไห้ออกมา เธอนึกไม่ถึงเลยว่าในช่วงเวลาที่เธอไม่มา จะมีคนคิดถึงเธอมากขนาดนี้ “ขอบคุณทุกคนนะคะ!” 

 

 

ถังโจวโจวโค้งตัวลงด้วยความจริงใจ ผู้จัดการรีบเข้ามาประคองเธอให้ยืดตัวขึ้น เขาไม่สามารถรับการนอบน้อมนี้ไว้ได้ ถ้าผอ. ลั่วรู้เข้า เขาคงจะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ 

 

 

“เอาน่า โจวโจว! ตอนที่คุณเกิดอุบัติเหตุ เราเองก็ไม่กล้าไปรบกวนคุณ ก็ได้แต่ส่งตัวแทนไปเยี่ยม คุณอย่าคิดมากเลยนะ” แม้ว่าผู้จัดการจะพูดอย่างสุภาพ แต่ใบหน้าของเขาก็ยังแต้มไปด้วยรอยยิ้ม 

 

 

แม้ว่าถังโจวโจวจะรู้ว่าที่ผู้จัดการมอบของขวัญชิ้นใหญ่นี้ให้กับเธอ เพราะว่าเขาเห็นแก่ลั่วเซ่าเชิน เธอก็ยังอยากจะขอบคุณเขาจากใจจริง เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็ต้องมีความจริงใจอยู่บ้าง ความหวังดีของเขาในครั้งนี้ เธอจะน้อมรับไว้ 

 

 

“ผู้จัดการคะ ฉันรู้ว่าพวกคุณหวังดี ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงฉันนะคะ” 

 

 

“โจวโจว เราเป็นเพื่อนร่วมงานกันนะ มีอะไรเราก็ต้องช่วยเหลือกันสิ” คนที่อยู่รอบๆ พูดตามๆ กัน 

 

 

ในขณะที่ทุกคนในห้องโถงกำลังมีความสุขและคึกคักกันอยู่ ผู้จัดการก็พูดขึ้นมาว่า “เอาละ โจวโจวกลับมาแล้ว มีอะไรไว้คุยกันทีหลัง ตอนนี้ไปทำงานกันก่อน!” 

 

 

ผู้คนที่อยู่โดยรอบไม่มีใครบ่นอะไรออกมา พวกเขาแต่ละคนเดินกลับไปประจำตำแหน่งของตัวเองอย่างเงียบๆ ถังโจวโจวเองก็เดินตามจวิ้นเจี่ยเข้าไปในออฟฟิศ 

 

 

“โจวโจว ได้ลาหยุดนานแบบนี้เป็นยังไงบ้าง อยู่บ้านสบายดีไหม” จวิ้นเจี่ยถามด้วยความอิจฉา 

 

 

           ช่วงนี้ในบริษัทยุ่งอยู่กับโปรเจกต์ที่ต้องทำร่วมกับลั่วกรุ๊ป และในช่วงเวลาที่ถังโจวโจวลาพัก งานในส่วนที่เธอต้องรับผิดชอบก็ถูกผลักมาให้จวิ้นเจี่ยทำ ดังนั้นมันจึงทำให้จวิ้นเจี่ยถึงกับหมดแรง 

 

 

“แล้วพี่จวิ้นเจี่ยล่ะคะเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม” ถังโจวโจวพูดพลางหัวเราะไปด้วย จวิ้นเจี่ยบ่นกับเธอมาก่อนแล้วว่าผู้จัดการไม่สนใจใครหน้าไหนเลย เขาให้พวกเธอทำงานล่วงเวลาทุกวัน ทำให้เธอไม่มีเวลาใกล้ชิดกับสามีและลูกเลย 

 

 

“นี่เธอกล้าล้อฉันเหรอ!” จวิ้นเจี่ยตีถังโจวโจว ถังโจวโจวรีบหลบไปข้างๆ และเมื่อจวิ้นเจี่ยตีไม่โดน ถังโจวโจวก็ยิ้มอย่างมีความสุข 

 

 

“พี่จวิ้ยเจี่ย ฉันแค่หยอกเล่น ฉันรู้ว่าช่วงนี้พี่ทำงานหนัก มื้อเที่ยงนี้ฉันเลี้ยงเอง โอเคไหมคะ” 

 

 

“แบบนี้สิถึงจะถูกต้อง!” จวิ้นเจี่ยส่งสายตาที่สื่อความหมายว่า ‘เธอรู้งาน’ ไปให้ จากนั้นก็ปลีกตัวออกมาจากถังโจวโจว 

 

 

ถังโจวโจวเริ่มทำความสะอาดโต๊ะทำงานก่อนเป็นอันดับแรก เธอไม่ได้ใช้มันมานาน ดังนั้นมันจึงมีสิ่งสกปรกมากน้อยอยู่บนนั้น แต่มันก็ไม่ได้เปื้อนเปรอะมากนัก เนื่องจากในขณะที่ถังโจวโจวไม่อยู่ ยังมีคนคอยมาช่วยทำความสะอาดให้ 

 

 

เวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนเที่ยงอย่างรวดเร็ว เมื่อถังโจวโจวจัดข้าวของของเธอเสร็จ เธอก็เดินไปหาจวิ้นเจี่ยเพื่อจะไปกินมื้อกลางวันด้วยกัน พวกเธอไปที่ร้านอาหารยอดนิยมที่อยู่ใกล้ๆ กับบริษัท ราคาของอาหารนั้นอยู่ในระดับเหมาะสม ถังโจวโจวเคยมากินข้าวที่นี่แล้ว ในตอนนั้นเธอรู้สึกว่ารสชาติถูกปากใช้ได้ ดังนั้นครั้งนี้เธอจึงชวนจวิ้นเจี่ยมากินข้าวที่นี่ 

 

 

เมื่อจวิ้นเจี่ยเห็นถังโจวโจวพาเธอมาที่ร้านนี้ เธอก็รู้สึกพึงพอใจกับถังโจวโจวมาก เธอรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของถังโจวโจวและเพื่อนร่วมงานนั้นอยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม เมื่องานใครมีปัญหาอะไร ถ้าถังโจวโจวพอช่วยได้ก็จะช่วยในทันที 

 

 

ในครั้งนี้ถึงแม้จวิ้นเจี่ยจะบ่น แต่เธอก็ไม่คิดว่าถังโจวโจวจะเลี้ยงข้าวเธอจริงๆ นึกไม่ถึงเลยว่าเด็กคนนี้จะรักษาสัจจะขนาดนี้ พูดจริงทำจริงเสียด้วย 

 

 

“โจวโจว ฉันไม่สมควรได้รับมันหรอก” หลังจากที่พวกเธอสั่งอาหารเสร็จ จวิ้นเจี่ยก็ประสานมือพลางมองไปที่ถังโจวโจว 

 

 

เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าจวิ้นเจี่ยดูจะไม่ค่อยสบายใจ เธอจึงรีบยิ้มออกมา “พี่จวิ้นเจี่ย ปกติแล้วพี่ก็ดูแลฉันมาโดยตลอด ฉันแค่เลี้ยงข้าวพี่เอง ไม่เป็นไรหรอก” 

 

 

จวิ้นเจี่ยเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบเซ้าซี้อะไรมาก เมื่อเห็นถังโจวโจวพูดอย่างจริงใจ เธอก็ไม่ได้พูดถึงปัญหานี้อีก เธอเปลี่ยนหัวข้อมาคุยเรื่องซุบซิบที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในบริษัท 

 

 

ทั้งสองคนคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ถังโจวโจวเองก็นึกไม่ถึงเลยว่า ช่วงเวลาที่เธอไม่ได้มาทำงานที่บริษัทแค่ในระยะสั้นๆ มันจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายขนาดนี้ แฟนหนุ่มของพนักงานต้อนรับที่ชื่อลี่ลี่ เขานอกใจเธอ 

 

 

เรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่อสำหรับถังโจวโจว ถังโจวโจวยังจำได้ว่าเมื่อก่อนแฟนหนุ่มของลี่ลี่มักจะทำซุปมาให้เธอ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเขาเป็นผู้ชายติดบ้าน เขาจะทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง? 

 

 

จวิ้นเจี่ยเห็นถังโจวโจวไม่เชื่อ เธอจึงอธิบายให้ฟังว่า “พวกเรามองคนผิดไปน่ะสิ ผู้ชายคนนั้นใจร้ายใจดำ เขาแค่บอกว่าเขาไม่รักเธอแล้ว จากนั้นเขาก็ไปหาผู้หญิงคนใหม่เลย แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ยังมีหน้ามาอวดตัวที่บริษัทของเราอีก ทำเอาลี่ลี่โมโหเดือดดาลมาก” 

 

 

“เป็นไปไม่ได้มั้งคะ เขาเคยดีกับลี่ลี่มากเลยนะ ตอนที่ฉันยังไม่ได้ลาพัก ฉันยังเห็นเขามารับลี่ลี่หลังเลิกงานอยู่เลย ทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้” ถังโจวโจวไม่ค่อยเข้าใจ ลี่ลี่เองก็เป็นผู้หญิงที่ดี ทั้งสองคนใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขมาตลอดไม่ใช่เหรอ? 

 

 

“มันเป็นแค่ภาพลักษณ์ภายนอกน่ะสิ ถ้าเขาไม่ได้ทำอย่างนั้น ลี่ลี่จะกลายเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ยังไง แล้วลี่ลี่ก็ยังพูดอย่างเด็ดขาดอีกว่าเธอจะทำให้คู่รักคู่นั้นได้เห็นดีกัน! แต่พอได้ฟังแบบนี้แล้วมันก็รู้สึกเศร้าอยู่เหมือนกันนะ” 

 

 

ถังโจวโจวเข้าใจที่จวิ้นเจี่ยถอนหายใจ แม้ว่าคำพูดของลี่ลี่จะฟังดูโหดร้ายมากเพียงใด แต่หัวใจของเธอก็ยังคงเจ็บปวดอยู่ แม้ว่าเธอจะแก้แค้นผู้ชายคนนั้นได้จริงๆ แต่หัวใจของเธอก็ไม่ได้มีความสุขหรอก เพราะความเจ็บปวดที่เธอเคยได้รับ มันไม่สามารถลบเลือนไปจากความทรงจำได้ 

 

 

หลังจากคุยกับจวิ้นเจี่ยต่ออีกสักพัก ถังโจวโจวและจวิ้นเจี่ยก็กลับไปที่บริษัท วันนี้ถังโจวโจวไม่ค่อยมีงาน เนื่องจากผู้จัดการไม่ได้จัดงานให้เธอทำมากนัก เขาแค่ขอให้จวิ้นเจี่ยพาเธอไปทำความคุ้นเคยกับงานล่าสุดของบริษัท เพื่อให้ถังโจวโจวมีความเข้าใจก่อนที่จะเริ่มทำงานอย่างเป็นทางการในพรุ่งนี้