ตอนที่ 146 งานเลี้ยงประจำปี

ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ

วันส่งท้ายปีเก่าค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้ และลั่วกรุ๊ปเองก็กำลังเตรียมจัดงานเลี้ยงประจำปีในช่วงค่ำวันนี้ ลั่วเซ่าเชินบอกถังโจวโจวตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่าเธอต้องมาร่วมงานนี้กับเขา

 

 

           หวังหวามารับถังโจวโจวไปส่งที่ร้านเสื้อผ้า จากนั้นเธอก็สวมใส่ชุดที่จะใช้ออกงานในตอนเย็นและแต่งหน้าทำผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว หวังหวาก็ไปส่งเธอถึงห้องทำงานของลั่วเซ่าเชิน

 

 

           ลั่วเซ่าเชินเห็นถังโจวโจวสวมกี่เพ้าสีขาวปักลายดอกไม้ ด้านนอกคลุมทับด้วยเสื้อขนสัตว์สีดำ เธอดูสวยสง่ามาก ลั่วเซ่าเชินไม่เคยเห็นถังโจวโจวแต่งตัวแบบนี้มาก่อน เขารู้สึกสนใจและมองเธออยู่สักพัก

 

 

           ถังโจวโจวเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าดีไซเนอร์จะแต่งตัวให้เธอแบบนี้ เธอคิดว่าตัวเองไม่ค่อยเหมาะกับชุดแบบนี้สักเท่าไร เมื่อเธอเห็นลั่วเซ่าเชินเอาแต่จ้องมองเธออยู่ตลอด เธอก็นึกว่ามีอะไรผิดปกติไป “เซ่าเชิน มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่าจะให้ฉันเปลี่ยนชุดดี?”

 

 

ลั่วเซ่าเชินเดินเข้าไปหาเธอ เขาจับมือเธอและพูดว่า “ไม่ต้องหรอก แบบนี้ดีแล้ว ผมแค่มองเพลินไปหน่อยน่ะ”

 

 

ถังโจวโจวรู้สึกไม่เชื่อหู นี่เขาหมายความว่าเขาหลงใหลในตัวเธออย่างนั้นหรือ? ถังโจวโจวมองดูสายตาที่จริงจังของเขา ใบหน้ากลับห้ามสีแดงระเรื่อตรงแก้มเอาไว้ไม่ได้ ลั่วเซ่าเชินเอื้อมไปหยิบกล่องเครื่องประดับมาจากโต๊ะทำงาน

 

 

ลั่วเซ่าเชินไปยืนซ้อนอยู่ด้านหลังของเธอ เขารวบผมของเธอขึ้น จากนั้นก็สวมสร้อยคอให้กับเธอ เมื่อถังโจวโจวก้มหน้าลงมอง เธอก็พบว่ามันคือสร้อยเพชรสีน้ำเงิน แสงประกายจากเพชรเม็ดงามสะท้อนเข้าไปในดวงตาของเธอ

 

 

“นี่มันไม่แพงเกินไปหน่อยหรือคะ อย่าให้ฉันใส่เลย เกิดฉันทำหายขึ้นมา ฉันจะชดใช้ไม่ไหว”

 

 

เมื่อเห็นท่าทางหวาดระแวงของถังโจวโจว ลั่วเซ่าเชินก็ใช้ข้อนิ้วเขกหน้าผากเธอเบาๆ “ถ้ามันหายขึ้นมาจริงๆ คุณก็แค่ชดใช้ให้ผมด้วยตัวของคุณ!”

 

 

“หา?! ฉันไม่เอาด้วยหรอกค่ะ คุณถอดมันออกเลย” ในขณะที่พูด ถังโจวโจวหมายจะปลดสร้อยออกจริงๆ

 

 

ลั่วเซ่าเชินรีบหยุดการกระทำของเธอในทันที “หยอกนิดหยอกหน่อยก็ไม่ได้เลยเหรอ”

 

 

“นี่มันใช่เรื่องล้อเล่นที่ไหนกันคะ สร้อยคอเส้นนี้อยู่บนคอของคนธรรมดาๆ อย่างฉันเชียวนะ ชาตินี้ทั้งชาติฉันคงไม่มีวันซื้อสร้อยคอแบบนี้ได้ คุณนี่รวยมากจริงๆ” หากว่าคนทั่วไปได้ครอบครองสร้อยที่ล้ำค่าเส้นนี้ พวกเขาคงจะหวาดระแวงและอยู่ไม่เป็นสุขแน่ๆ

 

 

ตามความคิดของถังโจวโจว ถ้าเธอมีสร้อยแบบนี้ขึ้นมาจริงๆ สิ่งแรกที่เธอจะทำคือการนำมันไปขายและเปลี่ยนมาเป็นเงิน เพราะถ้าเป็นเงินที่อยู่ในมือของเธอ แล้วเธอเผลอทำหล่นหาย เธอก็คงจะรู้สึกเสียดายน้อยกว่านี้

 

 

นอกจากนี้ ถังโจวโจวก็ไม่ค่อยชอบเครื่องประดับเหล่านี้อยู่แล้ว เธอคิดแค่ว่าเธอจะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ด้วยเงินมากกว่า ถังโจวโจวรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนหยาบกระด้างอย่างไรอย่างนั้น

 

 

หลังจากที่ลั่วเซ่าเชินได้ฟังความคิดของเธอ เขาก็รู้สึกว่านั่นอาจจะเป็นสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องเสียหายอะไร เพราะท้ายที่สุดแล้วต่างคนต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง และในมุมมองของเขา เงินก็เป็นสิ่งที่สามารถนำมาใช้ได้จริงมากกว่าเครื่องประดับเหล่านี้

 

 

แต่ลั่วเซ่าเชินก็ไม่จำเป็นต้องทำให้มันวุ่นวาย เพราะสิ่งที่เขามีคือเงิน หากถังโจวโจวต้องการเครื่องประดับแบบนี้ เธอก็สามารถสวมใส่ได้ทุกวันโดยไม่ซ้ำกันเลย เพียงแต่ถังโจวโจวไม่ค่อยชอบของจำพวกนี้ ลั่วเซ่าเชินเคยเห็นเธอใส่อยู่แค่ไม่กี่ครั้งเอง

 

 

“เอาละๆ ถ้าคุณทำหายก็ไม่เป็นไร คุณใส่ให้สบายใจเถอะ ผมไม่ให้คุณเอาตัวเข้าแลกหรอก เพราะไม่ว่ายังไงตอนนี้คุณก็เป็นของผมแล้ว คุณจะเอาอะไรมาแลกได้อีกล่ะ”

 

 

เมื่อถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินพูดอย่างลอยหน้าลอยตา เธอก็อยากจะโต้เถียงในทันที เธอไม่ใช่คนของเขาสักหน่อย แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว ตอนนี้เธอคือภรรยาของลั่วเซ่าเชิน ดังนั้นดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนของลั่วเซ่าเชินจริงๆ

 

 

เมื่อเธอไม่สามารถต่อกรกับลั่วเซ่าเชินได้ ถังโจวโจวก็เพียงทำหน้ามุ่ยและเงียบเสียงลง ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวพร้อมแล้ว เขาก็เหยียดแขนออกไป เพื่อส่งสัญญาณให้กับถังโจวโจว

 

 

ถังโจวโจวควงแขนของเขาอย่างว่าง่าย พวกเขาเดินออกมาจากห้องทำงานของผู้อำนวยการพร้อมกัน ลูซี่และหวังหวายืนรอพวกเขาอยู่ด้านนอก “ท่านผอ. คุณผู้หญิง”

 

 

           ลั่วเซ่าเชินพยักหน้าตอบรับเล็กน้อย ส่วนถังโจวโจวก็เพียงยิ้มละไม จากที่เธอเคยมาทำงานที่ลั่วกรุ๊ปอยู่ช่วงหนึ่ง ทำให้หวังหวาและลูซี่ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเธอ

 

 

เมื่อลูซี่ได้พบหน้าถังโจวโจวอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอมานาน เธอก็รู้สึกว่าถังโจวโจวดูเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเล็กน้อย

 

 

“ไปกันเลยไหมครับ ท่านผอ.” หวังหวาก้มหน้าลงพลางเอ่ยถามเบาๆ

 

 

“อืม ไปกันเถอะ” ลั่วเซ่าเชินควงถังโจวโจวเดินนำหน้าไป ส่วนลูซี่และหวังหวาก็เดินตามพวกเขาอยู่ด้านหลัง

 

 

สำหรับงานเลี้ยงประจำปีในปีนี้ ลั่วเซ่าเชินสั่งให้คนจองพื้นที่ทั้งชั้นของโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไว้ พนักงานในบริษัททุกคนล้วนมาเข้าร่วมงานนี้ และกิจกรรมที่น่าจับตามองที่สุดในงานเลี้ยงก็คือการจับฉลาก

 

 

รางวัลที่ลั่วเซ่าเชินเตรียมไว้ในแต่ละปีนั้นไม่เคยธรรมดา รางวัลที่หนึ่งคือเงินสดหนึ่งแสนหยวน รางวัลที่สองคือโบนัสสิ้นปีสองเท่า และรางวัลที่สามก็คือกอดจากลั่วเซ่าเชิน

 

 

ในทุกๆ ปี สิ่งที่ผู้คนรอคอยจะได้เห็นกลับไม่ใช่รางวัลที่หนึ่งและที่สอง แต่พวกเขาอยากรู้ว่าใครจะมีโชคได้รับกอดจากลั่วเซ่าเชินไป เป็นที่รู้กันดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เข้าใกล้ลั่วเซ่าเชิน นี่เป็นช่วงเวลาที่จะได้ใกล้ชิดกับท่านผอ. มากที่สุด!

 

 

รางวัลนี้ถูกเสนอขึ้นมาเมื่อปีที่แล้วจึงนับเป็นปีแรก และปรากฏว่าลูซี่เป็นคนจับฉลากได้ ทุกคนรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก เพราะลูซี่ทำงานอยู่กับท่านผอ. ทุกวันอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะจับได้รางวัลนี้ ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก

 

 

ดังนั้น ในปีนี้พนักงานหญิงภายในบริษัทจึงสวดมนต์อ้อนวอน ดูสิว่าโชคดีจะตกมาถึงพวกเธอไหม

 

 

เมื่อลั่วเซ่าเชินพาถังโจวโจวเข้ามาในงาน ผู้คนภายในงานต่างก็ฮือฮากันยกใหญ่ พวกเขาสองคนเหมาะสมกันมาก ร่างสูงใหญ่ของลั่วเซ่าเชินมาพร้อมกับร่างเพรียวบางน่าทะนุถนอมของถังโจวโจว ความจริงแล้วส่วนสูงของถังโจวโจวก็ถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง แล้ววันนี้เธอยังสวมรองเท้าส้นสูงที่สูงประมาณสิบเซนติเมตรอีก จึงทำให้ดูสมส่วนมากขึ้น แม้ว่าเมื่อเธอยืนอยู่กับลั่วเซ่าเชินแล้ว เธอก็ยังเตี้ยกว่าเขาอยู่ประมาณหนึ่งก็ตาม

 

 

ภายใต้แสงไฟที่สาดส่อง สิ่งแรกที่พนักงานหญิงสังเกตเห็นก็คือสร้อยเพชรที่อยู่บนคอของถังโจวโจว เสียงฮือฮาดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน “พระเจ้า! ดูสร้อยเส้นนั้นที่อยู่บนคอของคุณผู้หญิงสิ!”

 

 

“ฉันเห็นแล้ว ท่านผอ. ดีกับคุณผู้หญิงมากเหลือเกิน แล้วพวกเขาก็เหมาะสมกันมากๆ ด้วย” ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งได้แต่มองตาปริบๆ

 

 

เธอเป็นเด็กฝึกงานคนใหม่ของลั่วกรุ๊ปในปีนี้ เธอเพิ่งจะเข้ามาอยู่ในบริษัทได้ไม่นาน ความรู้สึกแรกของเธอบอกเธอว่าลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวเหมาะสมกันมากจริงๆ

 

 

“เธอเหมาะกับท่านผอ. ตรงไหนกัน จริงๆ เลย! ดูคนเป็นหรือเปล่าเนี่ย!” ทันใดนั้น เสียงที่เห็นต่างก็ดังขึ้นมา ทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ ตกใจและหันไปมองเธอเป็นตาเดียว เมื่อเห็นว่าสีหน้าของผู้หญิงคนนั้นเต็มไปด้วยความอิจฉา ทุกคนต่างก็รู้ได้ในทันทีว่าเธอเป็นอีกคนหนึ่งที่แอบปลื้มท่านผอ.

 

 

คำพูดที่หึงหวงแบบนี้มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง พนักงานหญิงในลั่วกรุ๊ปต่างให้ความหมายกับลั่วเซ่าเชินไม่มากก็น้อย สำหรับคนที่มีครอบครัวแล้ว เมื่อพวกเธอมองดูลั่วเซ่าเชิน พวกเธอก็แค่รู้สึกว่าเขาดูหล่อดี พวกเธอแค่ชื่นชมเขาเท่านั้น ไม่มีอะไรแอบแฝง

 

 

ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งมักจะคิดว่า ช่วงเวลาแม้ขณะหนึ่งที่ได้พบหน้าลั่วเซ่าเชินก็เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดแล้ว แต่น่าเสียดายที่มีแต่ผู้บริหารระดับสูงเท่านั้นที่จะสามารถติดต่อกับลั่วเซ่าเชินได้ พนักงานตัวเล็กๆ อย่างพวกเธอก็ได้แต่แบกความหวังเอาไว้ และตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตัวเองต่อไป

 

 

           นอกจากนี้ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่พื้นเพไม่สูงแต่ทะเยอะทะยาน พวกเธอมักจะคิดว่าไม่มีใครเหมาะสมกับลั่วเซ่าเชินนอกจากตัวของพวกเธอเอง และหลีเหวินก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ เธอคือผู้จัดการฝ่ายการเงินของลั่วกรุ๊ป ด้วยเนื้องานของเธอแล้ว เธอจึงมีโอกาสได้พูดคุยกับลั่วเซ่าเชิน

 

 

           หลีเหวินตกหลุมรักลั่วเซ่าเชินตั้งแต่แรกพบ เพียงแต่ในตอนนั้นลั่วเซ่าเชินไม่ได้สนใจใครเลย อีกทั้งเขาก็ไม่เคยมีข่าวลือกับผู้หญิงคนอื่นด้วย แต่จะว่าไปแล้วเขาก็เคยมีข่าวกับเมิ่งชิงซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเมิ่งว่าเธอเป็นคู่หมั้นของเขา แต่ข่าวนี้ก็ไม่ได้รับการยืนยันจากลั่วเซ่าเชิน

 

 

           ดังนั้นหลีเหวินจึงยังคงโอบอุ้มความหวังไว้ในใจและรอให้ลั่วเซ่าเชินค้นพบเธอเข้าสักวัน แล้วด้วยความสามารถของเธอเอง เพียงไม่นานเธอก็สามารถปีนขึ้นไปสู่ตำแหน่งผู้จัดการของฝ่ายการเงินได้ และมีโอกาสได้พบเจอกับลั่วเซ่าเชินมากขึ้น แต่หลีเหวินก็คิดวิธีการเรียกร้องความสนใจจากลั่วเซ่าเชินไม่ได้เลย

 

 

           เธอชะล่าใจอยู่อย่างนั้น กระทั่งจู่ๆ เธอก็ได้ยินมาว่าลั่วเซ่าเชินแต่งงานแล้ว และลั่วเซ่าเชินเองก็ยังพาถังโจวโจวมาที่ลั่วกรุ๊ปเพื่อแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักด้วย!

 

 

           หลังจากที่หลีเหวินได้พบถังโจวโจวตัวเป็นๆ เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าถังโจวโจวเป็นภัยต่อเธอเลย ดังนั้น คำสบถหรือถ้อยคำหึงหวงที่พูดออกมาอย่างชัดเจน หรือคำสาปแช่งถังโจวโจวที่ไม่เคยได้ผล หลีเหวินไม่เคยกระทำเรื่องพรรค์นี้เลย

 

 

           สิ่งที่เธอจะทำก็คือการทำให้ลั่วเซ่าเชินโปรดปรานเธอ และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ในทุกๆ ปีการประเมินผลงานของเธอก็จะสูงที่สุด ลั่วเซ่าเชินเอ่ยปากชมเธอต่อหน้าที่ประชุมอยู่หลายครั้งหลายครา

 

 

           และทุกครั้งที่ลั่วเซ่าเชินชมเชยเธอ หลีเหวินจะแสดงสีหน้าที่อ่อนน้อมถ่อมตน แม้ภายในใจจะมีความสุขมาก แต่เธอกลับไม่กล้าแสดงมันออกมา เพราะกลัวลั่วเซ่าเชินจะคิดว่าเธอภาคภูมิใจมากเกินไป

 

 

           แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เนื่องจากหลีเหวินมักจะให้ความสนใจกับข่าวที่เกี่ยวข้องกับลั่วเซ่าเชิน เธอจึงค่อยๆ พบว่าลั่วเซ่าเชินปฏิบัติกับถังโจวโจวแตกต่างออกไป หลีเหวินยังแอบได้ยินมาว่าคุณผู้หญิงตั้งครรภ์แล้วด้วย แต่น่าเสียดายที่เพียงไม่นานเธอก็แท้งลูกไป

 

 

           ณ ตอนนั้นที่หลีเหวินได้ยินข่าวนี้ เธอกำหมัดแน่นและแอบดีใจอยู่เงียบๆ แท้งลูกสิดี ดีที่สุด! ถังโจวโจวจะได้ทำให้ท่านผอ. รู้สึกเบื่อหน่าย

 

 

           แต่ต่อมาเธอก็ไม่ค่อยได้ยินข่าวของท่านผอ. และถังโจวโจวอีกเลย แต่เมื่อไม่นานมานี้ ทุกคนในบริษัทต่างก็บอกต่อกันว่า ช่วงนี้ท่านผอ. ไม่สบอารมณ์ หลีเหวินเองก็เคยเจอมากับตัว และในครั้งนั้นเองลั่วเซ่าเชินก็ได้วิจารณ์เธออย่างรุนแรง ซึ่งนั่นทำให้หลีเหวินทนไม่ได้

 

 

           รู้ไหมว่าตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาอยู่ในลั่วกรุ๊ป ท่านผอ. ไม่เคยพูดแบบนั้นกับเธอมาก่อนเลย ในครั้งนั้นเนื่องจากความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เขากลับต่อว่าเธออย่างรุนแรง

 

 

           หลีเหวินสืบข่าวนี้ได้จากโรงอาหาร ที่แท้คุณผู้หญิงก็หนีออกจากบ้าน ดังนั้น ท่านผอ. จึงอารมณ์เสีย หลีเหวินคิดว่าที่เธอต้องถูกต่อว่าในครั้งนั้น ทั้งหมดมันเป็นความผิดของถังโจวโจว นับตั้งแต่นั้นเธอจึงแอบจดหนี้แค้นที่มีต่อถังโจวโจวไว้ในใจ

 

 

           เมื่อเห็นถังโจวโจวเดินควงแขนของลั่วเซ่าเชินเข้ามาในงาน เธอก็ได้ยินถ้อยคำอิจฉาจากผู้คนที่อยู่รอบด้าน หลีเหวินทำได้แค่เพียงขบฟันอยู่เงียบๆ และกำมือแน่น แม้ว่าเล็บของเธอจะทิ้งรอยไว้ที่อุ้งมือ เธอก็ไม่สนใจแล้ว

 

 

           เสียงฮือฮาในขณะที่ลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวเดินเข้ามาในงานดังเอ็ดอึงอยู่ชั่วขณะ แต่เพียงไม่นานทุกคนก็กลับสู่ภาวะปกติ ความตื่นเต้นของถังโจวโจวก็ค่อยๆ สงบลง การเป็นจุดสนใจของผู้คนนี่ไม่ใช่เรื่องที่สามารถรับมือได้ง่ายจริงๆ

 

 

           บางครั้งถังโจวโจวก็รู้สึกนับถือลั่วเซ่าเชินมาก สำหรับการออกงานแบบนี้ เธอไม่เคยเห็นเขาแสดงสีหน้ามากกว่าหนึ่งแบบเลย ใบหน้าเขามักจะเคร่งขรึมทุกครั้ง ราวกับว่าคนอื่นเป็นหนี้เขาอยู่สองร้อยห้าสิบเอ็ดหยวน

 

 

พิธีกรกล่าวเปิดงานอยู่บนเวที ต่อจากนั้นลั่วเซ่าเชินก็ขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์ ซึ่งนอกจากคำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจแล้วก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่