ตอนที่ 353 ความผิดปกติของจูตี๋

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ภายในลานที่พักของตระกูลซู ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็ได้พบกับฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆที่ไม่ได้พบกันนาน

ภายในเวลาเกือบหนึ่งเดือน ความแข็งแกร่งของฉีอวิ๋นเหล่ยและทุกๆคนก็พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อได้พบกันในที่สุด พวกเขาก็เอ่ยทักทายฉินอวี้โม่ก่อนที่จะรีบสอบถามเรื่องของฉู่เจี๋ย

หลังจากได้รู้สถานการณ์ปัจจุบันของนายน้อยตระกูลฉู่ พวกเขาก็เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่เพื่อดูอาการของเขาด้วยตัวเอง เมื่อได้เห็นว่าฉู่เจี๋ยเพียงแค่เซื่องซึมและกำลังหลับอยู่โดยที่ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ทุกคนก็รู้สึกโล่งใจ

“พี่อวี้โม่ พี่เสี่ยวเจี๋ยจะฟื้นขึ้นเมื่อไหร่รึ?”

เมื่อเห็นว่าฉู่เจี๋ยยังไม่ได้สติ ซูเสี่ยวจวิ้นก็ขมวดคิ้วมุ่นและเอ่ยถามด้วยความสงสัย ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกโล่งใจเมื่อได้รู้ว่าฉู่เจี๋ยสบายดี ทว่านางก็ยังอยากรู้ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด

“ข้าก็ไม่แน่ใจหรอก แต่สิ่งที่ข้ารู้ก็คือเมื่อเขาฟื้นขึ้นมา เขาจะต้องสร้างความประหลาดใจให้กับเราทุกคนอย่างแน่นอน รอดูเถอะว่าเขาจะฟื้นขึ้นเมื่อไหร่”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวตอบตามความจริง

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นางรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของฉู่เจี๋ยได้อย่างลางๆซึ่งเกิดความผันผวนของคลื่นพลังที่แผ่จากร่างกายของเขา ต้องกล่าวก่อนเลยว่าเมื่อใดที่เกิดการผันผวนของคลื่นพลัง มันจะหมายความว่าคนผู้นั้นกำลังจะทะลวงพลังไปสู่ระดับที่สูงขึ้น ก่อนหน้านี้ซิวได้กล่าวไว้ว่าเขากำลังเข้าสู่สภาวะที่แปลกประหลาดและบัดนี้ฉินอวี้โม่ก็เข้าใจแล้วว่ามันหมายถึงสิ่งใด

บางทีฉู่เจี๋ยอาจเข้าสู่ระดับสมาธิที่ลึกซึ้งโดยบังเอิญและกำลังฝึกฝนอยู่ในนั้นจนได้รับประโยชน์บางอย่างที่คาดไม่ถึง

ซูเสี่ยวจวิ้นและคนอื่นๆพยักศีรษะและไม่เอ่ยถามอะไรให้มากความอีก จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปที่ห้องเพื่อพักผ่อนและเตรียมตัว

ส่วนฉินอวี้โม่แยกไปหาฉินเทียนด้วยความคิดที่จะบอกบิดาเกี่ยวกับเรื่องต่างๆของตนเอง

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ วันนี้ผู้นำขุมกำลังเอกพิภพเรียกเจ้าไปพบเพราะเหตุใดรึ?”

ฉินเทียนมักไม่เคยถามเรื่องของบุตรสาวจนมากเกินไป ทว่าเมื่อนางมาหาในวันนี้ก็หมายความว่านางมีเรื่องบางอย่างที่ต้องการบอกเขา เพราะเหตุนั้นเขาจึงเอ่ยถามออกไปก่อน

“ท่านพ่อ ข้ามีบางอย่างที่ต้องการจะบอกท่าน”

ฉินอวี้โม่ยิ้มให้บิดาก่อนรินน้ำชาสองถ้วยโดยยื่นถ้วยหนึ่งให้เขาและนั่งลง

“ท่านพ่อ ท่านรู้รึไม่ว่าข้ามีกายเทพมายา?”

นักฆ่าในร่างคุณหนูเชื่อว่าบิดาน่าจะคาดเดาได้แล้ว คำพูดของนางจึงไม่ฟังดูเป็นคำถามมากนัก หากแต่เป็นการยืนยันการคาดเดาของตนเอง

“ข้าก็พอจะเดาได้”

ฉินเทียนไม่มีท่าทีประหลาดใจและพยักศีรษะ

“ตอนที่จู่ๆคนพวกนั้นมาที่เมืองหลิงซี ข้าก็พอจะคิดอะไรบางอย่างออก และหลังจากนั้นผู้เฒ่าเซียวเหยา–อาจารย์ของข้าก็บอกเรื่องนี้กับข้าซึ่งทำให้ข้ามั่นใจขึ้นไปอีก ทว่าเขาบอกให้ข้าเก็บเรื่องนี้เป็นความลับและห้ามบอกผู้ใดเด็ดขาด ถึงแม้ข้ายอมรับว่าเจ้าเพียรพยายามมาอย่างมากและพรสวรรค์ของเจ้าก็นับว่าประหลาดเหนือผู้อื่น อย่างไรก็ตาม หากไม่มีกายเทพาที่ทรงพลังเช่นนั้น ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะพัฒนามาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้”

เมื่อได้ยินวาจาของบิดา ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะเห็นด้วย ฉินเทียนกล่าวถูกแล้ว หากปราศจากกายเทพมายานี้ ต่อให้นางเพียรพยายามฝึกฝนเพียงใดก็คงไม่มีทางพัฒนามาได้ด้วยอัตราเร็วเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม การที่ผู้เฒ่าเซียวเหยาทราบเรื่องนี้มานานแล้วทำให้นางสงสัยไม่น้อย หากนางจำไม่ผิด กายเทพมายาของนางเพิ่งถูกกระตุ้นโดยจิตวิญญาณของนางหลังจากคุณหนูสี่เจ้าของร่างคนก่อนล่วงลับไป ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วผู้เฒ่าเซียวเหยาทราบถึงเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน?

ฉินอวี้โม่สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับเซียวเหยามากขึ้นเรื่อยๆ ผู้เฒ่าคนนี้ราวกับเป็นเทพเซียนไม่มีผิด

ดูเหมือนว่าหลายสิ่งหลายอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้แล้ว ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดในดินแดนนี้ที่เขาจะไม่รู้

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจของฉินอวี้โม่ แท้ที่จริงแล้วผู้เฒ่าเซียวเหยาเป็นใครกันแน่?

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ตอนนี้มีคนรู้เรื่องกายเทพมายาของเจ้ามากแค่ไหน?”

ฉินเทียนมองบุตรสาวและเอ่ยถามด้วยความสงสัยเจือกังวล

“ท่านพ่อ ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ในดินแดนอ้างว้างมีคนรู้เรื่องนี้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนในดินแดนหวนหลิงมีคนรู้มากพอสมควรทว่าพวกเขาทั้งหมดไว้ใจได้ อีกทั้งก็ยังมีสหายอีกหลายคนในดินแดนเทพมายา พวกเขาก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน”

ฉินอวี้โม่หาได้กังวลว่าเรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไป ทุกคนที่รู้ล้วนเป็นคนที่นางไว้ใจได้ เหล่าสหายในดินแดนเทพมายาน่าจะไปถึงที่หมายและกำลังฝึกยุทธ์กันอย่างจริงจัง ส่วนสหายในวิหารทมิฬ นครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์และนครเวหาต่างก็กำลังจดจ่อกับการพัฒนาฝีมือของตนเองอยู่เช่นกัน ดังนั้นความจริงที่ว่านางมีกายเทพมายาคงจะไม่รั่วไหลออกไปในอีกสักระยะหนึ่ง

ฉินเทียนพยักศีรษะรับทราบและไม่กล่าวอะไรอีก สภาวะร่างกายพิเศษอย่างกายเทพมายาเป็นสิ่งที่ผิดแปลกเหนือมนุษย์อย่างแท้จริง หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป มันจะนำพาปัญหาเข้ามามากมายไม่รู้จบ

เมื่อถึงตอนนั้น ฝ่ายมารเองก็จะเล็งเป้าหมายมาที่ฉินอวี้โม่และชีวิตของนางจะไม่สงบสุขอีกต่อไป เพราะเหตุนั้นแม้ว่าฉินเทียนและฉินอวี้โม่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด พวกเขาก็ยังต้องระแวดระวังในการจัดการและรับมือกับเรื่องนี้

จากนั้นฉินอวี้โม่ก็เล่าเรื่องหยินหึน—ผู้นำขุมกำลังเอกพิภพให้บิดาได้ทราบ รวมถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อน แน่นอนว่านางไม่คิดปิดบังสิ่งใด

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่แม้แต่ฉินอวี้โม่เองก็ยังไม่เข้าใจอย่างแน่ชัด เพราะเหตุนั้นนางจึงไม่ได้อธิบายขยายความมากนัก

เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของบุตรสาว ฉินเทียนก็เข้าใจได้พอสมควร เขาไม่เอ่ยถามให้มากความและเพียงย้ำเตือนให้นางระวังตัวกับทุกอย่าง ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็ตัดสินใจกับตัวเองว่าจะต้องพัฒนาฝีมือให้แกร่งกล้ามากขึ้นโดยเร็วที่สุด

เขาไม่ต้องการให้เหตุการณ์เมื่อสิบกว่าปีก่อนต้องเกิดขึ้นซ้ำสองอีก หากมีคราต่อไป ฉินเทียนหวังจะปกป้องคนที่เขารักด้วยพลังและความแข็งแกร่งของตนเอง

ในวันต่อมา ด้วยการชี้นำของฉินอวี้โม่ ฉินเทียนก็มุ่งหน้าตรงไปที่จวนของขุมกำลังเอกพิภพโดยตรง

หยินหึนและฉินเทียนชื่นชมกันและกันมาก พวกเขาจึงสนทนาพาทีกันอย่างออกรส หลังจากใช้เวลาขลุกอยู่ในขุมกำลังเอกพิภพตลอดทั้งวัน ฉินเทียนก็กลับที่พักของตระกูลซูในช่วงเย็น

ฉินเทียนรู้สึกยกย่องชื่นชมผู้นำขุมกำลังเอกพิภพอย่างที่สุดและรู้สึกได้ว่าพลังของเขาเหนือกว่าตนเองมาก

สำหรับเรื่องนี้ ฉินอวี้โม่ไม่แปลกใจเลยสักนิด ถึงอย่างไรแล้วหยินหึนก็มีชีวิตมานานนับพันปี แม้ว่าจิตดวงหนึ่งของเขาจะขาดหายไป พลังความแข็งแกร่งของเขาก็จะต้องสูงกว่าฉินเทียนอย่างแน่นอน แม้แต่ทั่วทั้งดินแดนอ้างว้างแห่งนี้ก็น่าจะไม่มีใครที่ทัดเทียมกับเขาได้

จากนั้นเวลาก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็วราวกับชั่วพริบตา และแล้ววันของงานชุมนุมวายุเมฆาก็มาถึง

เช้าตรู่ของวันนั้น ทุกคนมารวมตัวกันที่ลานจัตุรัสของเมืองเฟิงอวิ๋นและรอการเริ่มต้นของงานใหญ่ประจำปีที่ผู้คนทั่วดินแดนให้ความสนใจ—งานชุมนุมวายุเมฆา

เมื่อฉินอวี้โม่และสหายมาถึงจุดนัดพบ ฝูงชนก็ก้าวหลีกทางออกไปด้านข้างในทันที

ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆพยักหน้าทักทายคนเหล่านั้นก่อนเดินตรงไปข้างหน้าสุดและนั่งลง

วันนี้ฉินอวี้โม่แต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำสนิทเผยเรือนร่างสมบูรณ์แบบดึงดูดใจตั้งแต่แวบแรกที่เห็น เส้นผมสลวยถูกมัดรวบขึ้นสูงและยังคงสวมหน้ากากบดบังใบหน้าเช่นเคย แม้ว่าไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ใบหน้าได้อย่างชัดเจน มันกลับยิ่งเสริมให้นางดูลึกลับมากยิ่งขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายความสูงศักดิ์ที่แผ่มาจากนางก็ดึงดูดสายตาของทุกคนไม่ว่าจะย่างก้าวไปที่ใด

“ดูสิ ข้าบอกแล้วว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ของพี่อวี้โม่ในวันนี้จะต้องสะดุดตามาก”

ซูเสี่ยวจวิ้นกางแขนเล็กๆออกกว้างอย่างวางท่าและกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

นางกล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าการแต่งกายของฉินอวี้โม่จะต้องดึงดูดสายตาของคนมากมายอย่างแน่นอน ถึงแม้ยังคงสวมหน้ากากเช่นเดิม กลิ่นอายความลึกลับนี้ก็ชวนให้ผู้คนสงสัยใคร่รู้

“สะดุดตา สะดุดตาจริงๆ  คนอย่างอวี้โม่ไม่มีทางหลบจากสายตาของผู้คนได้หรอก”

ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาคาดการณ์ถึงสถานการณ์นี้ไว้อยู่แล้ว ถึงอย่างไรสตรีที่งดงามและโดดเด่นอย่างฉินอวี้โม่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงสายตาของผู้อื่นได้

ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงไม่นานมานี้ ก็มีหลายเหตุการณ์หลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในดินแดน ไม่ว่าวันนี้ฉินอวี้โม่มีรูปลักษณ์อย่างไร เพียงแค่นางปรากฏตัว นางก็จะตกเป็นจุดสนใจของทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ฉินเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ว่าการมีบุตรสาวที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้จะทำให้เขาภาคภูมิใจอย่างที่สุด ทว่าการต้องเห็นสายตาราวกับเสือจ้องมองเหยื่อของบุรุษทั้งหลาย เขาก็เกิดความคิดอยากจะสั่งสอนคนเหล่านั้นให้รู้สำนึก

บุตรสาวของเขาหาใช่สตรีที่คนเหล่านี้จะคิดอาจเอื้อมได้!

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ แล้วเจ้าหนุ่มหานโม่ฉือล่ะ?”

เมื่อมาถึงงานชุมนุมวายุเมฆาแล้ว ฉินเทียนก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่เห็นวี่แววของหานโม่ฉือ

คำสัญญารักมั่นที่ฉินอวี้โม่มีต่อหานโม่ฉือนั้นเขาเข้าใจอย่างชัดเจน หลังจากได้ยินบุตรสาวพูดถึงบุรุษคนรัก เขาก็อดสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับหานโม่ฉือไม่ได้

เขาคิดว่าจะได้พบกับหานโม่ฉือเมื่อมาถึงงานชุมนุม ทว่ากลับไม่มีเบาะแสของบุรุษผู้นั้นเลย เพราะเหตุนั้น ฉินเทียนจึงอดผิดหวังไม่ได้ เป็นไปได้รึไม่ว่าฉินอวี้โม่เชื่อมั่นในตัวหานโม่ฉือมากเกินไปและเขาไม่ได้เป็นบุรุษอย่างที่นางคาดหวังไว้

“ท่านพ่อ ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้าเชื่อว่าโม่ฉือจะต้องมาแน่ๆ บางทีมันอาจเกิดสิ่งใดที่ทำให้การเดินทางล่าช้าและตอนนี้เขาคงจะกำลังรีบมาที่นี่ ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบาๆและกล่าวด้วยความมั่นใจ นางเชื่อว่าหานโม่ฉือคนรักของตนจะมุ่งหน้าตรงมาที่เมืองเฟิงอวิ๋นอย่างแน่นอน เว้นแต่ว่าจะเกิดเรื่องใดที่เขาจัดการไม่ได้

หากว่าจบงานชุมนุมวายุเมฆานี้แล้วยังไม่พบหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็จะสืบหาข่าวคราวของเขาอย่างแน่นอน

“ข้าก็หวังเช่นนั้น!”

ฉินเทียนพยักศีรษะเบาๆ เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่เชื่อเท่าใดนัก

ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น คนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาอย่างช้าๆ คนเหล่านี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นจูอวิ๋นชางและคณะที่เคยมีเรื่องบาดหมางกับฉินอวี้โม่มาก่อน

“ฮ่าๆๆ ฉินเทียน ฉินอวี้โม่ ไม่ได้พบกันเสียนาน!”

จูอวิ๋นชางเดินอย่างวางท่าตรงเข้ามาใกล้จุดที่สองพ่อลูกนั่งอยู่พร้อมยิ้มมุมปากและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“ไม่ได้พบกันนานจริงๆ”

ฉินเทียนพยักศีรษะและตอบกลับเบาๆโดยไม่ได้ให้ความสนใจจูอวิ๋นชางมากนัก

“ฉินเทียน งานชุมนุมวายุเมฆากำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว อยากรู้นักว่าเจ้ามีความมั่นใจในบุตรทั้งสองของเจ้ารึไม่?”

จูอวิ๋นชางไม่ยอมลดละและกล่าวอย่างยียวน ไม่อาจรู้ได้ว่าเขากำลังคิดวางแผนสิ่งใดอยู่

“ฮ่าๆๆ จำเป็นต้องถามด้วยรึ?”

ฉินเทียนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ แน่นอนว่าเขามั่นใจในฝีมือของฉินอวี้โม่และฉินจ้าน เขาเชื่อว่าบุตรทั้งสองจะแสดงฝีมือได้อย่างยอดเยี่ยม

“ฮ่าๆๆ การมีความมั่นใจก็เป็นสิ่งที่ดี ทว่าหากมีความมั่นใจมากเกินไป มันจะกลายเป็นความโอหังได้ ขอบอกไว้เลยว่าครานี้ ข้าพร้อมสำหรับงานชุมนุมวายุเมฆานี้มาก!”

ทันใดนั้น จูตี๋ก็ก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมจ้องหน้าฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย ภายในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน พลังของจูตี๋พัฒนาขึ้นมาก น่าแปลกที่ครานี้นางสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจางๆจากบุรุษใจคดตรงหน้า

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยน้ำเสียงของจูตี๋แสดงถึงความมั่นอกมั่นใจเช่นนี้ นางคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ เห็นทีการแข่งขันในงานชุมนุมวายุเมฆานี้ นางจะต้องจับตาดูเขาและจะประมาทไม่ได้เสียแล้ว

“จูตี๋ เจ้าแกว่งเท้าหาเสี้ยนอีกแล้วสินะ”

ซูเสี่ยวจวิ้นไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติของจูตี๋ นางจึงกล่าวด้วยออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“เหอะ รอดูเถอะ!”

จูตี๋ทราบดีว่าหากเป็นเรื่องของฝีปากคารม ซูเสี่ยวจวิ้นคงจะฆ่าเขาได้แน่ เพราะเหตุนั้นเขาจึงกล่าวทิ้งท้ายเพียงสั้นๆก่อนหันหลังเดินออกไปพร้อมกับจูอวิ๋นชางและคนอื่นๆเพื่อหาที่ว่างและนั่งลง

.