เมื่อบรรยากาศรอบๆเริ่มสงบผ่อนคลายลง ฉินอวี้โม่และหยินหึนก็นั่งลงพร้อมผายมือส่งสัญญาณให้ฉุ่ยเยว่นั่งลงเช่นกัน

“อีกอย่าง ท่านได้พบฉุ่ยเยว่มาก่อนแล้ว ข้าจะแนะนำให้ได้รู้จักกันอีกครั้ง”

หยินหึนหันมองฉุ่ยเยว่พร้อมรอยยิ้มและกล่าวออกมา “ฉุ่ยเยว่คือบุคคลที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลหอนางโลมและเป็นบุตรบุญธรรมของข้า”

คิดไม่ถึงเลยว่าแท้จริงแล้วแม่นางฉุ่ยเยว่จะเป็นบุตรีบุญธรรมของหยินหึน เมื่อได้รู้เช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็ตะลึงไปเล็กน้อย การที่หยินหึนให้ความสนใจผู้ใด คนผู้นั้นจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษเหนือธรรมดาเป็นแน่ แม่นางฉุ่ยเยว่ผู้นี้คงจะไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก!

“ฉุ่ยเยว่ นี่คือสิ่งที่ข้าเคยบอกเจ้าไว้ก่อนหน้านี้ เทพมายาคนใหม่ของชนเผ่ามายาคือนายหญิงน้อยของพวกเรา—ฉินอวี้โม่”

จากนั้นเขาก็อธิบายให้กับฉุ่ยเยว่ที่ยังนิ่งงันเพื่อให้นางทำความเคารพ

ดูเหมือนว่าฉุ่ยเยว่พอจะเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงสิ่งที่หยินหึนเคยกล่าวกับนางไว้ก่อนหน้านี้

“คารวะนายหญิงน้อย”

นางโค้งคำนับฉินอวี้โม่ด้วยความเคารพนอบน้อม

“แม่นางฉุ่ยเยว่ ลุกขึ้นเถอะ ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนี้เลย”

หลังจากได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของฉุ่ยเยว่ ฉินอวี้โม่ก็ไม่ระแวดระวังนางเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป

ทัศนคติและลักษณะท่าทางของหยินหึนและฉุ่ยเยว่ทำให้ฉินอวี้โม่เข้าใจว่าทั้งสองไม่ได้มีพิษภัยและคำพูดของซิวเมื่อครู่บอกนางอย่างชัดเจนว่าหยินหึนเป็นคนที่ไว้ใจได้และไม่จำเป็นต้องระแวงพวกเขาแม้แต่น้อย

ฉุ่ยเยว่นั่งลงต่ำและยิ้มออกมา “ครั้งแรกที่ข้าได้พบนายหญิงน้อย ข้าก็ทราบได้ทันทีว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดา ไม่คิดเลยว่าท่านจะเป็นเทพมายาคนใหม่ ด้วยพรสวรรค์และความสามารถของท่าน ท่านอาจจะเหนือกว่าเทพมายาคนก่อนเสียอีก เมื่อคิดได้เช่นนี้ ข้าก็ตั้งหน้าตั้งตารออนาคตที่จะมาถึง”

เมื่อได้ยินวาจาของฉุ่ยเยว่ หยินหึนก็หัวเราะเบาๆ เขาเองก็ตั้งตารอวันนั้นเช่นกัน

“อีกอย่าง ข้าขอถามสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้รึไม่ ข้าทราบว่านายหญิงน้อยมาจากดินแดนหวนหลิง ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นรึ? แล้วนายหญิงน้อยและท่านซิวพบกันได้อย่างไร?”

หยินหึนมองฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ในแววตา

“ท่านลุงหยินหึน อย่าเรียกข้าว่านายหญิงน้อยอีกเลย เรียกข้าว่าอวี้โม่ก็พอ แม้ว่าข้าจะเป็นเทพมายาคนใหม่ ท่านก็เป็นผู้อาวุโสที่มีอายุมาก ข้าไม่สบายใจนักหากท่านจะเรียกข้าว่านายหญิง”

ฉินอวี้โม่กล่าวออกไปอย่างตรงไปตรงมา เมื่อหยินหึนพยักศีรษะ นางจึงเริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในดินแดนหวนหลิง

เมื่อทั้งสองได้รู้ว่าฉินอวี้โม่เคยเป็น ‘ขยะไร้ค่า’ มาก่อน หยินหึนและฉุ่ยเยว่ถึงกับอ้าปากค้างทันทีด้วยความไม่อยากเชื่อ พวกเขาไม่คิดเลยว่าผู้ที่ทรงพลังและยอดเยี่ยมเช่นนี้จะเคยเป็นขยะไร้ค่าที่ใครๆต่างก็พากันดูถูกเหยียดหยาม

ผู้นำขุมกำลังเอกพิภพทั้งประหลาดใจและพึงพอใจเมื่อรู้ว่าฉินอวี้โม่บรรลุความแข็งแกร่งถึงระดับนี้ได้ภายในระยะเวลาเพียงสามปีเศษๆ ในขณะเดียวกันนั้น ฉุ่ยเยว่ก็รู้สึกอับอายในความสามารถของตนเองและรู้สึกชื่นชมสตรีตรงหน้าอย่างเกินอธิบาย

และเมื่อได้รู้ว่ากายเทพมายาของฉินอวี้โม่ยังไม่ได้อยู่ในสภาวะสมบูรณ์และยังคงมีผนึกอีกสองชั้นที่ไม่ได้ถูกปลดออก ทั้งสองก็กลัดกลุ้มกังวลใจ

ทว่าเมื่อได้ยินวาจาใจเย็นและมั่นอกมั่นใจของนาง ทั้งสองก็คลายกังวลมากขึ้นและเชื่อว่านายหญิงคนใหม่ผู้นี้สามารถแก้ไขปัญหาและฟันอุปสรรคขวากหนามได้ทุกอย่าง

นอกจากนั้น เมื่อทราบถึงพลังของฉินอวี้โม่และซิวในตอนที่ทั้งสองเพิ่งพบกันครั้งแรก หยินหึนก็รู้สึกเศร้าเสียใจ

เขารู้สึกมาเสมอว่าตนเองเผชิญความทุกข์มานานนับพันปี ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน เทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่ต้องทรมานกว่าเขามาก ในการฝึกฝนตลอดเวลาที่ล่วงเลยมา มันต้องทุกข์ทนแสนสาหัส

เมื่อได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในนครเมฆาและรู้ว่ามีคนจากดินแดนเทพมายาที่ทราบถึงเรื่องของฉินอวี้โม่แล้ว รวมถึงเรื่องทัศนคติของวิหารทมิฬ นครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์และนครเวหา หยินหึนก็รู้สึกชื่นชมฉินอวี้โม่มากยิ่งขึ้น

เขาอดถอนหายใจกับตัวเองไม่ได้ นายหญิงน้อยของเขาเป็นคนมากความสามารถอย่างแท้จริง

“ท่านลุงหยินหึน อย่าชื่นชมข้าเกินไปและมัวแต่พูดเรื่องของข้าเลย ท่านบอกว่ามีดวงจิตที่สูญหายไปและไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ใด ถ้าอย่างนั้นเราจะตามหาดวงจิตที่ว่านี้กลับคืนมาได้อย่างไร?”

หลังจากเล่าเรื่องราวความเป็นมาของตนเอง ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามสิ่งที่อยากรู้

หยินหึนยังมีเศษเสี้ยวจิตอีกดวงที่หายไปและสภาพร่างกายของเขาไม่ได้สมบูรณ์อย่างที่เห็นภายนอก เพราะเหตุนั้นฉินอวี้โม่จึงอยากรู้ว่าจะมีหนทางใดที่จะช่วยตามหาและนำดวงจิตดังกล่าวกลับคืนมาสู่หยินหึนหรือไม่

“อวี้โม่ ข้าดีใจมากที่ได้พบกับท่าน ตราบใดที่ท่านแข็งแกร่งและปกป้องตนเองได้ ข้าก็ถือว่าตนเองได้ทำภารกิจสมบูรณ์ ต่อให้จิตของข้ากลับคืนสู่สวรรค์ ข้าก็จะไม่รู้สึกเสียใจ”

หยินหึนถอนหายใจเบาๆและกล่าวอย่างไม่ยึดติด

“อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่ามันมีวิธีตามหาดวงจิตที่หายไปของข้า เพียงแต่วิธีนี้ มีแต่ท่านเท่านั้นที่จะทำสำเร็จได้”

ฉินอวี้โม่ถึงกับถอนหายใจเมื่อได้ยินคำพูดของหยินหึน เขาเป็นคนคงรักภักดีอย่างแท้จริง

ทว่านางก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย วิธีนี้ต้องใช้นางอย่างนั้นหรือ? คำพูดนี้หมายความว่าอะไรกัน?

“ในเมื่อท่านเป็นเทพมายาคนใหม่และสืบทอดกายวิเศษนี้มาจากบรรพชนเทพมายา หลังจากพลังของท่านแกร่งกล้าขึ้นและผนึกถูกปลดออกทั้งหมด ท่านจะได้เรียนรู้ทักษะพลังวิญญาณที่พิเศษของเทพมายาที่มีชื่อว่า ‘วิชาอัญเชิญจิต’ ทักษะพลังวิญญาณนี้เหนือธรรมชาติอย่างมากและมันมีรายละเอียดที่น่าตกตะลึงหลายอย่าง วันหนึ่งเมื่อท่านได้เรียนรู้มัน ท่านจะเข้าใจมันอย่างชัดเจน เมื่อถึงตอนนั้น การเรียกคืนดวงจิตที่หายไปของข้าจะง่ายดายมากราวกับเป็นการโบกมือ”

หยินหึนไม่ได้ปิดบังสิ่งใด ซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกถึงความทรงพลังและสนใจอย่างยิ่งเมื่อได้ยินชื่อของมัน—วิชาอัญเชิญจิต

ถึงแม้หยินหึนไม่ได้ขยายความว่าเกี่ยวกับทักษะดังกล่าวที่สามารถเรียกจิตวิญญาณมาได้ ฉินอวี้โม่ก็รู้ว่ามันเป็นวิชาที่ทรงพลังอย่างมาก

“ข้าจะหมั่นฝึกฝนต่อไป”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวความคิดของตนเอง นางจะเพียรฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งจนถึงขีดสุดให้ได้โดยเร็วและปลดผนึกอีกสองขั้นของกายเทพมายา นางจำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อแก้ไขและสะสางปัญหาทุกอย่าง

“แม้ว่าพรสวรรค์ของท่านเหนือชั้นมาก ความแข็งแกร่งของท่านในตอนนี้ก็ยังอ่อนแอเกินไป ศัตรูที่เราจะต้องเผชิญในภายภาคหน้าจะทรงพลังอย่างมาก เพราะฉะนั้นท่านจะต้องหมั่นฝึกฝนให้มากขึ้น”

หยินหึนพยักศีรษะด้วยความโล่งใจ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เชื่อว่าฉินอวี้โม่จะทำได้สำเร็จอย่างแน่นอน

“อีกอย่าง… ลุงหยินหึน ท่านมีเบาะแสเรื่องขุมกำลังมารร้ายบ้างรึไม่?”

ฉินอวี้โม่นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและเอ่ยถามด้วยความสงสัยพร้อมเล่าทุกอย่างที่ได้ประสบพบเจอในจวนตระกูลฉู่ให้หยินหึนได้ทราบ

“บุปผาแห่งความมืด..ขุมกำลังมารร้าย.. พวกนั้นปรากฏตัวอีกครั้งแล้ว!”

หลังจากได้ฟังเรื่องราวจากฉินอวี้โม่ หยินหึนก็ตกใจอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ข่าวหรือเบาะแสใดๆเกี่ยวกับฝ่ายมารเลย

“ฝ่ายมารคงจะรู้ตัวตนของข้าและจงใจหลีกเลี่ยงขุมกำลังเอกพิภพของเรา เราจึงไม่ได้เบาะแสพวกเขาเลย ไม่คิดเลยว่าหลังจากผ่านไปนับพันปี คนจากขุมกำลังมารร้ายก็เริ่มโผล่หัวออกมาอีกครั้ง และครานี้บุปผาแห่งความมืดก็ปรากฏขึ้นมาเช่นกัน หากบุปผาแห่งความมืดนั้นได้เติบโตขึ้นมาจนสมบูรณ์ ทั้งดินแดนของเราจะต้องตกอยู่ในอันตราย!”

เมื่อนึกถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในภายภาคหน้า หยินหึนก็อดขมวดคิ้วอย่างตึงเครียดไม่ได้

หรือว่านี่คือสิ่งที่เทพมายาคนก่อนเคยบอกเขาไว้และหวังว่าเมื่อฝ่ายมารปรากฏตัวอีกครั้ง เทพมายาคนใหม่จะยืนหยัดและกำจัดขุมกำลังมารร้ายออกไปได้ทั้งหมด

“บิดาของข้าและข้า รวมถึงผู้นำตระกูลฉู่คาดการณ์กันว่าฝ่ายมารจะต้องมาก่อเรื่องในงานชุมนุมครั้งนี้เป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะต้องมีแผนการชั่วร้ายบางอย่างกับดินแดนอ้างว้าง เพราะฉะนั้นข้าก็หวังว่าท่านลุงหยินหึนจะเตรียมความพร้อมโดยเร็วที่สุด”

ฉินอวี้โม่กล่าวในสิ่งที่ตนเอง ฉินเทียนและผู้นำตระกูลฉู่คิดไว้และต้องการแจ้งให้หยินหึนทราบเพื่อเตรียมตัวล่วงหน้าเช่นกัน

“ข้าจะสั่งให้คนเตรียมความพร้อมไว้ และข้าจะส่งคนไปสืบหาเบาะแสเรื่องของขุมกำลังมารร้ายเช่นกัน ในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะเล็ดลอดไปจากหูตาของขุมกำลังเอกพิภพได้ ข้าอยากรู้นักว่านับพันปีที่ผ่านมา พวกฝ่ายมารจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร!”

หยินหึนพยักศีรษะ บัดนี้ความกังวลทั้งหมดของเขาจางหายไปและแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม เขาต้องการเห็นด้วยตัวเองว่าพวกฝ่ายมารต้องการจะทำอะไร

“หากมีข่าวสารใดๆ ท่านลุงช่วยแจ้งกับพวกเราด้วย และเราจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบาๆ นางเชื่อในอิทธิพลและพลังอำนาจของหยินหึนอย่างไม่มีข้อกังขา

“เข้าใจแล้ว”

หยินหึนพยักศีรษะพร้อมกล่าวรับคำ ทว่าเมื่อนึกถึงฉินเทียน—บิดาของฉินอวี้โม่ จู่ๆเขาก็ยิ้มออกมา “อวี้โม่ บิดาของท่านก็เป็นคนแกร่งกล้ามาก ข้ามั่นใจว่าในอนาคตเขาจะเหนือกว่าข้าได้อย่างแน่นอน หากเขามีเวลาว่าง ข้าอยากเชิญเขามาที่จวนของขุมกำลังเอกพิภพเช่นกัน ข้าอยากพูดคุยกับเขาให้เป็นเรื่องเป็นราว”

ในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้ ฉินเทียนผู้ซึ่งเพิ่งปรากฏในดินแดนได้ไม่นานและมีพลังความแข็งแกร่งที่เหนือชั้นเป็นบุคคลที่หยินหึนรู้สึกชื่นชมมากที่สุด

หยินหึนชื่นชมในลักษณะนิสัย พรสวรรค์และความแข็งแกร่งของฉินเทียน บัดนี้เมื่อได้รู้แล้วว่าบุรุษผู้นั้นคือบิดาของฉินอวี้โม่ เขาก็เข้าใจได้ว่าเหตุใดฉินอวี้โม่จึงมีลักษณะเช่นนี้ เขารู้สึกสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับฉินเทียนและอยากพบปะด้วยตัวเอง

“ได้เลย ข้าจะบอกให้บิดาของข้าทราบ”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและตกปากรับคำ แน่นอนว่านางจะไม่ปิดบังสิ่งใดจากฉินเทียน

ทว่าหลังจากได้พบกันและเชื่อมต่อสายสัมพันธ์พ่อลูกมาระยะหนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็ลืมบอกเขาเกี่ยวกับกายเทพมายาไปเสียสนิท อย่างไรก็ตาม ด้วยปัญญาที่เป็นเลิศของบิดา นางเชื่อว่าเขาก็น่าจะคาดเดาได้แล้ว

บัดนี้นางตัดสินใจว่าจะบอกฉินเทียนทุกอย่างเมื่อกลับไป

“อีกอย่าง…ท่านได้ข่าวเรื่องหานโม่ฉือบ้างหรือไม่?”

จู่ๆเมื่อนึกถึงหานโม่ฉือ หยินหึนก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ แน่นอนว่าเขาได้สืบเบาะแสเรื่องนี้มาแล้วเช่นกันและรู้ว่าฉินอวี้โม่เดินทางมาที่ดินแดนอ้างว้างพร้อมกับบุรุษคนรักนามว่า ‘หานโม่ฉือ’

ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ทราบอีกว่าพรสวรรค์และพลังของหานโม่ฉือไม่ด้อยไปกว่าฉินอวี้โม่เลย เพียงแต่การที่ยอดฝีมือที่เป็นดั่งสัตว์ประหลาดในหมู่มวลมนุษย์เช่นนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยในดินแดนแห่งนี้ดูจะผิดปกติไม่น้อย

“ท่านลุงหยินหึน ท่านเองก็ไม่ได้ข่าวเลยงั้นรึ?”

เมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย ฉินอวี้โม่ก็ถามสวนกลับไปทันที แม้แต่ขุมกำลังเอกพิภพที่ขึ้นชื่อเรื่องการสืบหาข่าวและข้อมูลก็ไม่ได้ข่าวเรื่องหานโม่ฉือเลยอย่างนั้นหรือ?

“ไม่เลย ข้าส่งคนไปสืบหาเบาะแสเป็นระยะหนึ่งแล้วแต่ก็ไม่ได้ข่าวคราวเรื่องหานโม่ฉือเลย ราวกับว่าเขาไม่ได้อยู่ในดินแดนนี้ด้วยซ้ำ”

ผู้นำขุมกำลังเอกพิภพที่รู้เรื่องราวทุกอย่างในดินแดนตอบออกไปตามที่เขาเคยสืบข่าวก่อนหน้านี้

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและความกังวลก็ก่อตัวขึ้นในหัวใจ หากแต่นางยังเลือกที่จะเชื่อมั่นในตัวบุรุษคนรัก

“ท่านลุงวางใจเถอะ ข้าเชื่อว่าหานโม่ฉือจะมาหาข้าที่นี่อย่างแน่นอน!”

เมื่อได้ยินคำพูดที่แน่วแน่และมั่นใจของฉินอวี้โม่ หยินหึนก็พยักศีรษะและไม่พูดอะไรต่ออีก

ทั้งสองไม่รู้เลยว่าภายในพื้นที่ปิดชั้นใต้ดินของเมืองเฟิงอวิ๋น หานโม่ฉือกำลังเก็บตัวแยกจากโลกภายนอกและทำสมาธิอยู่ที่นั่น

และในวันที่ทั้งสองได้พบปะกันพูดคุยกันนั้น คนจากขุมกำลังทรงพลังทั้งหลายของดินแดนก็เดินทางมาถึงเมืองเฟิงอวิ๋นทีละกลุ่มๆ

นั่นก็รวมถึงคณะเดินทางของฉีอวิ๋นเหล่ย จูอวิ๋นชาง ตระกูลเฟิง สี่สมาคมใหญ่และขุมกำลังอื่นๆเช่นกัน ขุมกำลังหลักของดินแดนต่างก็มารวมตัวอยู่ที่เมืองเฟิงอวิ๋นแล้ว

.