เฝิงเจ๋อคุกเข่าคร่อมตัวเธอเอาไว้ เขารู้ว่าแม้เธอจะหลับตาอยู่แต่เธอยังคงได้ยินเสียงของเขา เขาสะเทือนใจจนพูดพรั่งพรูความในใจออกมาเสียงเบาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ “พี่รู้หรือเปล่า นับตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ามาทำงานที่บริษัทและได้เห็นหน้าพี่เป็นครั้งแรกผมก็ตกหลุมรักรอยยิ้มของพี่จนถอนตัวไม่ขึ้น ผมรู้ว่าผมไม่คู่ควรกับพี่ เพราะผู้หญิงที่เพียบพร้อมอย่างพี่คงจะหาผู้ชายที่ดีกว่าผมเป็นร้อยเท่า แต่ทำไมพี่ต้องไปเป็นเมียเก็บของเขาด้วย? พี่รู้ไหมว่าตอนที่ผมรู้ข่าวนี้ผมรู้สึกสิ้นหวังมากแค่ไหน?” 

 

 

เขายิ่งพูดน้ำเสียงยิ่งเบาหวิว เธอยิ่งฟังยิ่งรู้สึกหวาดผวา เพราะเธอรับรู้ได้ถึงความบ้าคลั่งที่แอบซ่อนอยู่ในคำพูดของเขา 

 

 

ทันใดนั้น มือเย็นเฉียบของเขาลูบไล้ผ่านใบหน้านวลเนียนของเธอไล่ระเรื่อยลงไปจนถึงต้นคองามระหง เขาเอ่ยเสียงพร่าต่ำ “พี่รู้หรือเปล่าว่าพี่เป็นนางฟ้าในความฝันของผมมาตลอด ความสุขในตอนนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยแม้แต่จะกล้าฝันถึงมาก่อน… 

 

 

“ให้ซีดีที่รวบรวมความทรงจำของเราเอาไว้แผ่นนี้กับเธอ ลองฟังดูสิในนั้นเป็นเรื่องราวความรักของเราสอง ที่บางคราวเราอาจจะลืมเลือน…” 

 

 

เสียงเพลงที่คุ้นหูดังขึ้น เฝิงเจ๋อหันไปมองกระเป๋าถือใบเล็กที่ตกอยู่ข้างเตียง และเสียงเพลงกำลังดังออกมาจากข้างในกระเป๋าใบนั้น 

 

 

เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอกำลังส่งเสียงดังเพราะมีคนโทรศัพท์หาเธอพอดี 

 

 

เฝิงเจ๋อหันหน้ากลับมาด้วยความตื่นตระหนก 

 

 

จิ้นหยวนโทรศัพท์หาเฉียวซือมู่เป็นครั้งที่สองแต่ยังไร้คนรับสาย สีหน้าของเขาเข้มจัด 

 

 

เมื่อแน่ใจแล้วว่าคงไม่มีคนรับสายเขาเป็นแน่ เขาจึงโทรเข้าไปที่โรงพยาบาลทันที หลังจากเขาได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่เวรว่าคืนนี้ยังไม่เห็นคุณเฉียวเข้าไปที่โรงพยาบาล ทันใดนั้น รังสีเย็นยะเยือกแผ่ออกมาครอบคลุมรอบกายเขาจนทำให้หญิงสาวที่อยู่ข้างหลังถึงกับตกใจ 

 

 

ทำไมแค่มองแผ่นหลังของเขาก็สามารถสัมผัสได้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียมาก หรือว่ารู้สึกไปเอง? 

 

 

หญิงสาวที่คิดจะโปรยเสน่ห์ให้จิ้นหยวนชักจะลังเลเล็กน้อย แต่ความละโมบโลภมากกลับเอาชนะความกลัวนั้นจนได้ เธอแสร้งทำท่าทางน่าสงสารแล้วจงใจเดินผ่านเขา ทันใดนั้นข้อเท้าของเธอพลิกแล้วร่างอ่อนปวกเปียกราวกับไร้กระดูกของเธอก็ล้มลงกับอกของเขา 

 

 

จิ้นหยวนกำลังหงุดหงิดมาก เขากำลังหรี่ตาอย่างใช้ความคิดว่าเฉียวซือมู่น่าจะไปที่ไหนได้บ้าง ทันใดนั้นเขาเหลือบเห็นหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังก้มลงกับอกของเขา ความกรุ่นโกรธพุ่งทะยาน เขาเบี่ยงตัวเล็กน้อยแล้วถีบอีกทีจนทำให้หญิงสาวคนนั้นต้องร้องหวยโหยด้วยความเจ็บปวดเพราะศีรษะกระแทกกำแพงเข้าอย่างจังจนเลือดอาบแล้วสลบเหมือดทันที 

 

 

จิ้นหยวนไม่ได้มองหน้าเธอแม้แต่หางตาราวกับกำลังกำจัดขยะชิ้นหนึ่งก็ไม่ปาน เขาเพียงแค่กวาดสายตามองร่างที่นอนสลบบนพื้นแวบหนึ่งแล้วเดินจากไปอย่างเฉยชา 

 

 

เดี๋ยวก็มีคนมาจัดการเรื่องนี้แทนเขาเอง 

 

 

ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นตอนที่เขาอารมณ์ดีเขาอาจจะทำแค่เบี่ยงตัวหลบการ “จู่โจม” ของเธอ แต่ในสภาวะที่เขากำลังอารมณ์เสียเหมือนตอนนี้ก็อย่ามาหาว่าเขาใจร้ายก็แล้วกัน 

 

 

จังหวะที่เขากำลังจะก้าวเท้าออกจากประตูสมาคม ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นเบื้องหลังเขา แต่ตอนนี้มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาแล้วนี่ 

 

 

ระหว่างทาง ในที่สุดพ่อบ้านเฉินก็ส่งข่าวถึงจิ้นหยวน พ่อบ้านเฉินจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นบัตรเชิญในคอมพิวเตอร์ของคุณเฉียว และดูเหมือนว่าบัตรเชิญใบนั้นจะมาจากนิตยสารซินเฟิง 

 

 

ดวงตาของเขาเป็นประกายไหววูบ นึกถึงงานเลี้ยงประจำปีขึ้นมาทันที ให้ตายสิ เขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร? เธอจะต้องไปร่วมงานเลี้ยงประจำปีเป็นแน่ 

 

 

 สีหน้าของเขาเข้มจัด โชคดีที่ลูกน้องของเขาไหวพริบดีเลิศ ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็สามารถเช็กข้อมูลจนรู้ว่างานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่โรงแรมเอ็มเพอร์เรอร์ 

 

 

“ไปโรงแรมเอ็มเพอร์เรอร์เดี๋ยวนี้!” เขาวางสายแล้วออกคำสั่งกับคนขับรถเสียงเย็นเยียบ 

 

 

รถของเขาขับไปจอดลงหน้าโรงแรมเอ็มเพอร์เรอร์ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงภายใต้แรงกดดันของเขา 

 

 

เขาเปิดประตูลงจากรถแล้ววิ่งเข้าไปในโรงแรมทันที เมื่อเห็นว่าลิฟต์เต็มจึงตัดสินใจวิ่งขึ้นบันไดหนีไฟแทน พนักงานบริการรีบวิ่งตามเขาขึ้นไปเพราะคิดว่าเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นเสียอีก 

 

 

เขาไม่มีเวลาอธิบาย ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งขึ้นบันไดจนไปถึงชั้นที่นิตยสารซินเฟิงจัดงานเลี้ยง 

 

 

เขาได้ยินเสียงดนตรีอันไพเราะจับใจแต่ในใจของเขากลับร้อนเป็นไฟ เขาตัดสินใจถีบประตูที่ปิดสนิทให้เปิดออกแขกเหรื่อในงานเลี้ยงต่างหันไปมองจิ้นหยวนที่ยืนอยู่หน้าประตูเป็นตาเดียวด้วยความประหลาดใจ 

 

 

พวกเขาเป็นคนข่าว มองเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าจิ้นหยวนเป็นใคร ต่างคนต่างพากันกระซิบกระซาบ ต้วนฉี่รุ่ยหน้าแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เดินถือแก้วไวน์เดินเข้าไปหาเขา “ยินดีที่ได้พบ ยินดีที่ได้พบครับ ท่านประธานจิ้นมาถึงที่นี่ช่างเป็นเกียรติอย่างสูงสุด…” 

 

 

ตอนแรกจิ้นหยวนยังพอมีความอดทนอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาชักจะเริ่มรำคาญคำพูดประจบสอพลอที่ไม่จบไม่สิ้นของต้วนฉี่รุ่ยเสียแล้วจึงเอ่ยแทรกขึ้น “เฉียวซือมู่ล่ะ? เธออยู่ที่ไหน?” 

 

 

ประกายดีใจในดวงตาของต้วนฉี่รุ่ยหายไปจนสิ้น “เฉียวซือมู่เหรอ? เมื่อกี้เธอดื่มจนเมา ตอนนี้กลับออกไปแล้ว?” 

 

 

“จริงหรือ?” จิ้นหยวนตาเป็นประกายวูบวาบ ดื่มจนเมาหรือ? เป็นไปไม่ได้ เธอแทบจะไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลย เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะดื่มจนเมา 

 

 

 ชายวัยกลางคนตรงหน้าแสร้งหัวเราะฮาๆๆ แต่กลับไม่บอกความจริงกับเขา เขาหรี่ตาเล็กน้อย ความอดทนที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดหมดลงทันที “ถ้าผมบอกว่าแค่ผมกระดิกนิ้วทีเดียว นิตยสารซินเฟิงก็จะหายไปในพริบตา คุณจะเชื่อไหม?” 

 

 

ต้วนฉี่รุ่ยชะงักนิ่งอึ้ง ใบหน้าอ้วนอูมของเขาเผยความหวาดกลัวออกมาเล็กน้อย แต่เขายังคงไม่ยอมเปิดปากง่ายๆ “เธอกลับไปแล้วจริงๆ ทุกคนในนี้ก็เห็น” 

 

 

จิ้นหยวนกวาดสายตามองแขกเหรื่อในงานทีละคน สีหน้าแต่ละคนมีแต่ความสงสัยเพราะเห็นชัดว่าสีหน้าของจิ้นหยวนและต้วนฉี่รุ่ยดูผิดปกติ แต่พวกเขาไม่ได้ยินว่าทั้งสองคนคุยอะไรกันบ้าง