ตอนที่ 174 ซื้อแล้วไม่รับคืนทุกกรณี / ตอนที่ 175 ซือเหยี่ยนโกรธแล้ว

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 174 ซื้อแล้วไม่รับคืนทุกกรณี 

 

 

           ยามที่เขากำลังจะเสียการควบคุมของหัวใจเข้าไปจูบมั่วไป๋ จู่ๆ พนักงานขับรถแทนที่อยู่ข้างหน้าก็เอ่ยปากขึ้นมา “คุณครับ ถึงแล้วครับ” 

 

 

           ไป๋จิ่งตกใจจนหยุดการกระทำนั้นทันที มั่วไป๋เองก็ลืมตาขึ้นมาขณะนั้นพอดี เขาเห็นใบหน้าของไป๋จิ่งที่เข้ามาใกล้ตัวเองในระยะประชิด ก็ไม่ขยับตัวไปไหน ราวกับมองทะลุถึงอะไรบางอย่าง ไป๋จิ่งรู้สึกใจแป่ว อดจะลูบจมูกป้อยๆ ไม่ได้ “คือว่า…เมื่อกี้ผมคิดจะเรียกคุณให้ตื่น” 

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ เหมือนจะยอมรับคำอธิบายของเขาอย่างไรอย่างนั้น พลิกตัวกลับมาเปิดประตูออกไป “ขอบใจความหวังดีของนายนะ รถก็ค่อยมาส่งให้ฉันพรุ่งนี้แล้วกัน” 

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักไป มั่วไป๋กลับถือโอกาสนี้ลงจากรถปิดประตู เขามองเงาร่างเพรียวอยู่นอกประตู ใจในก็ประกายความดีใจแทบจะบ้าขึ้นมาแวบหนึ่ง 

 

 

           ‘นี่มั่วไป๋กำลังให้โอกาสให้เขามาเจอหน้าพรุ่งนี้ใช่ไหม’ 

 

 

           ในเมื่อเป็นแบบนี้ เขาต้องรักษาโอกาสนี้ให้ดีที่สุดอยู่แล้ว ประจวบเหมาะกับความคิดเดิมที่เขาเตรียมจะหาข้ออ้างเพื่อใกล้ชิดมั่วไป๋พอดี จะได้รีบทำตามแผน 

 

 

           หลังจากมั่วไป๋เข้าคอนโดมิเนียมไปแล้ว ถึงได้เห็นรถของตัวเองขับออกไปอย่างช้าๆ เขามองดูรถที่ค่อยๆ แล่นไปไกลลับตา ก็อดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ 

 

 

           ในเมื่อเขาตัดสินใจจะเล่นกับไป๋จิ่งอีกครั้ง เขาเองก็จะไม่ใจอ่อนยอมแพ้ให้เด็ดขาด 

 

 

           ‘หวังว่าไป๋จิ่งจะยืนหยัดให้นานกว่านี้สักหน่อย ไม่อย่างนั้นน่าเบื่อตายเลย’ 

 

 

           อีกด้านหนึ่ง เจียงมู่เฉินออกจากห้องน้ำมาก็เช็ดผมไป พลางครุ่นคิดว่ามั่วไป๋กับไป๋จิ่งรู้จักกันได้อย่างไร 

 

 

           ตามนิสัยชอบอยู่กับบ้านของมั่วไป๋แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรู้จักไป๋จิ่งได้ 

 

 

           อีกอย่างความใส่ใจที่มั่วไป๋มีต่อไป๋จิ่ง ดูเหมือนจะเกินกว่าคนที่เพิ่งจะรู้จักกันเสียอีก 

 

 

           เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่แล้ว 

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดทบทวนเรื่องที่กินข้าวด้วยกันเมื่อตอนหัวค่ำอย่างจริงจัง คิดว่าตัวเองตกหล่นอะไรไปหรือเปล่า ยังไม่ทันได้รู้ตัว 

 

 

           จู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งมาโอบเอวของเขาเอาไว้ ร่างกายของซือเหยี่ยนอบอวลไปด้วยกลิ่นบุหรี่จางๆ เจียงมู่เฉินดมกลิ่นเบาๆ “ทำไมช่วงนี้ถึงได้สูบหรี่บ่อยจัง” 

 

 

           รู้จักซือเหยี่ยนมาตั้งหลายปี เห็นเขาสูบบุหรี่ก็ยังไม่ได้เยอะอะไร คบกันแล้วก็ยังไม่ได้สูบบ่อยครั้งเท่าช่วงนี้ 

 

 

           ซือเหยี่ยนเกยคางไว้บนไหล่ของเจียงมู่เฉิน “หลังจากได้ลองรสจูบครั้งก่อนไป ก็ตกหลุมรักความรู้สึกที่ได้สูบบุหรี่แล้ว” 

 

 

           เส้นเลือดบนหน้าผากของเจียงมู่เฉินกระตุกแล้วกระตุกอีก แทบอยากจะสะบัดมือของซือเหยี่ยนออกไป 

 

 

           “วันๆ สมองนายนี่มีแต่ของเสียอยู่ใช่ไหม เมื่อก่อนไม่เห็นจะรู้สึกว่านายจะโรคจิตขนาดนี้เลย” 

 

 

           เสียแรงที่เมื่อก่อนเขาคิดว่าซือเหยี่ยนเป็นคนที่ทำตัวดี ไม่ออกนอกลู่นอกทาง แล้วดูพฤติกรรมการกระทำที่เขาทำตอนนี้ ความเป็นคนดีนั่นหายไปไหนแล้ว 

 

 

           ดูแล้วเหมือนคนถ่อยมากกว่า ยังเป็นพวกหน้าไม่อายสุดๆ อีกด้วย 

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองซือเหยี่ยนแล้วเอ่ยถามอย่างจริงจัง “นายว่าตอนนี้ฉันสลัดนายทิ้งยังทันอยู่ไหม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ มองดูเขา “คุณชายเจียง สินค้าก็ใช้ไปแล้ว คุณยังคิดจะคืนของอีกเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น อยากพุ่งตัวขึ้นไปกัดเขาระบายความโมโหแรงๆ สักที 

 

 

           “ของล่ะ?” 

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้างุนงง “ของอะไร” 

 

 

           “ของขวัญ ของขวัญผมล่ะ” ซือเหยี่ยนมองดูเขา “คุณคงจะไม่คิด จะไม่ให้ของขวัญวันเกิดผมหรอกใช่ไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินโมโหจนกระอักเลือด ทำเป็นคนไม่รู้จักกันแล้ว “ไม่มี ผีเท่านั้นแหละที่จะเตรียมของขวัญให้นาย” 

 

 

           “อ่อ” ซือเหยี่ยนเอ่ยรับคำหนึ่ง ก่อนถามกลับไป “ไม่มีจริงๆ เหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินนึกถึงของชิ้นนั้น เขายังวางไว้อยู่ในลิ้นชัก เขาไม่เชื่อว่าซือเหยี่ยนจะทายได้ถูก เจ้าตัวเอ่ยเสียงแข็ง “ไม่มี” 

 

 

           “เฉินเฉิน ผมให้เวลาคุณอีกสามนาที คิดทบทวนให้ดีอีกครั้ง ว่าอยากจะเปลี่ยนคำตอบของคุณไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “คิดกับน้องสาวนายสิ ฉันก็ไม่ใช่ผีด้วย จะมาเตรียมของขวัญอะไรให้นาย” 

 

 

           เขาพูดจบก็หมุนตัวเดินไปนอนที่เตียง แล้วปิดไฟนอน 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินที่ไม่พูดจานอนอยู่บนเตียง นัยน์ตาก็ลุกวาวขึ้นมาแวบหนึ่ง 

 

 

           เขายืนอยู่ด้านข้าง รออีกไม่กี่นาทีก็กดเสียงต่ำถอนหายใจออกมา หลังจากช่วยดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เจียงมู่เฉินแล้ว ยังปิดไฟจากโคมไฟที่อยู่ๆ ข้าง จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปที่ระเบียง  

 

 

              

 

 

ตอนที่ 175 ซือเหยี่ยนโกรธแล้ว 

 

 

           เจียงมู่เฉินหลับตาลง รออีกไม่กี่นาที ก็เห็นซือเหยี่ยนถอนหายใจ ห่มผ้าห่มให้เขา แล้วเดินออกจากห้องไป 

 

 

           เขาคิดว่าซือเหยี่ยนกำลังวางกับดักเขาอยู่ จึงตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เขาเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้เขาจึงนอนเฉยๆ อยู่บนเตียง ไม่เป็นฝ่ายไปหาซือเหยี่ยนเอง 

 

 

           รออยู่นานสองนาน ซือเหยี่ยนก็ยังไม่มา เจียงมู่เฉินชักจะร้อนใจ รู้สึกถึงความไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่แล้ว 

 

 

           ‘นี่ซือเหยี่ยนคงจะไม่โกรธเขาจริงๆ หรอกใช่ไหม’ 

 

 

           ‘ไม่ควรจะใช่เลย ซือเหยี่ยนจะขี้น้อยใจขนาดนั้นเลยเหรอ เพราะเขาไม่ได้ให้ของขวัญวันเกิดเขาเลยโกรธเหรอ’ 

 

 

           เจียงมู่แอบลืมตาขึ้นมา ไม่มีใครสักคนในห้อง เขามองไปทางระเบียง ก็เห็นซือเหยี่ยนยืนอยู่คนเดียวตรงระเบียง แผ่นหลังกว้างดูวังเวงเหงาหงอยอยู่ในที 

 

 

           เพียงไม่นานเจียงมู่เฉินก็รู้สึกผิดในใจ ของขวัญก็ซื้อมาแล้วแท้ๆ ทำไมถึงไม่ให้ซือเหยี่ยนไป 

 

 

           ‘แต่ว่ามันจะใช่เหรอ’ เมื่อก่อนซือเหยี่ยนไม่เคยโกรธเขาแบบนี้มาก่อน ยังมาทำสงครามเย็นกับเขาอีก 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูประตูระเบียงที่ปิดสนิท เมื่อแน่ใจว่าซือเหยี่ยนจะไม่หันกลับมาแล้ว เขาก็หยิบมือถือไว้ใต้ผ้าห่มกดโทรหามั่วไป๋ 

 

 

           ขณะที่เขาโทรไป มั่วไป๋เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เดินออกมาจากห้องน้ำพอดี 

 

 

           ทันทีที่เห็นสายโทรเข้าจากเจียงมู่เฉิน เขายังคิดว่าเจียงมู่เฉินคิดจะถามเรื่องของเขากับไป๋จิ่ง จึงคิดอยู่สักพักหนึ่งถึงค่อยกดรับสาย 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นมั่วไป๋รับสายก็รีบเอ่ยถามทันที “ไป๋ไป๋ ถามนายเรื่องหนึ่งสื นายว่าคู่รักคู่หนึ่ง ในวันเกิดของคนหนึ่ง อีกคนไม่ได้เตรียมของขวัญวันเกิดให้ เขาจะโกรธได้หรือเปล่า” 

 

 

           มั่วไป๋เลิกคิ้ว “คู่รักคู่หนึ่งอะไร นี่มันนายกับซือเหยี่ยนเหอะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับ “ต่อให้นายรู้ ก็ไม่ต้องเปิดโปงกันจะได้ไหม ไม่รู้จักไว้หน้าฉันบ้างหรือไง” เขาเสียหน้านะ 

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มเยาะ “นายอยู่กับฉัน ยังมีหน้าอยู่เหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเดือดแล้ว “ทำไมฉันจะไม่มีหน้า ฉันคุณชายน้อยแห่งตระกูลเจียงผู้สง่าผ่าเผยนะ จะไม่มีหน้าได้ยังไง” 

 

 

           “ได้ๆๆ คุณชายน้อย นายมีหน้า มีหน้าเป็นพิเศษเลย” 

 

 

           “พอเถอะ นายอย่าพล่ามต่อเลย นายว่าซือเหยี่ยนจะโกรธจริงๆ ไหม” เขายังร้อนใจเรื่องนี้อยู่ 

 

 

           มั่วไป๋หรี่ตานั่งเอนพิงกับโซฟา “เขาเป็นไรไป” 

 

 

           “เขายืนคนเดียวอยู่ตรงระเบียงมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว” ยึดตามเวลาตั้งแต่เขาแกล้งหลับเป็นต้นไป ก็น่าจะประมาณครึ่งชั่วโมงที่ยังคงอยู่ที่เดิมตรงนั้น 

 

 

           “ยืนอย่างเดียว?” 

 

 

           “ยืนอย่างเดียว มือถือก็ไม่หยิบ เหล้าก็ไม่ดื่ม บุหรี่ก็ไม่สูบ แบบนี้ไม่ค่อยปกติใช่หรือเปล่า” เจียงมู่เฉินพูดไป พลางถือโอกาสเปิดผ้าห่มออกไป มองที่ระเบียงแวบหนึ่ง เห็นซือเหยี่ยนก้มหน้าเล็กน้อย พร้อมเอามือปิดหน้า 

 

 

           เขาร้อนใจแล้ว “เขายังเอามือปิดหน้าด้วย นายว่าซือเหยี่ยนคงจะไม่ร้องไห้หรอกใช่ไหม” 

 

 

           มั่วไป๋อดจะเลิกคิ้วไม่ได้ ซือเหยี่ยนร้องไห้? เพราะเจียงมู่เฉินไม่ได้ให้ของขวัญเหรอ ไม่น่าจะอ่อนแอขนาดนั้นมั้ง 

 

 

           “ทำไงดี นายว่าถ้าเขาร้องไห้แล้ว ฉันต้องทำยังไง ไปง้อเขาเหรอ” 

 

 

           ถึงเวลานี้ ในที่สุดมั่วไป๋ก็มองออก ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ซือเหยี่ยนเลยสักนิด แต่อยู่ที่เจียงมู่เฉินเองต่างหาก 

 

 

           เขาอยากไปง้อ แต่กลับกลัวเสียหน้า ดังนั้นถึงได้โทรมาหาเขา 

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจ ตัดสินจะผลักดันให้เขาทำตามความต้องการของตัวเอง “งั้นนายก็ไปง้อเขาสิ” 

 

 

           “ต้องง้อจริงๆ เหรอ” เจียงมู่เฉินเริ่มลังเลใจ 

 

 

           “อืม ง้อจริงๆ” 

 

 

           “จะดีเหรอ” เขายังพยายามดึงดัน 

 

 

           “เจียงมู่เฉินสมองนายเพี้ยนใช่ไหม เป็นลูกผู้ชายทั้งทียังจะมาลังเลอยู่ได้ อยากไปง้อก็ไปง้อสิ ระวังให้ดีเถอะ ถ้าไม่ไปง้อ แล้วซือเหยี่ยนเกิดอยากจะเลิกกับนายขึ้นมา ถึงตอนนั้นอย่ามาหาฉันนะ!” มั่วไป๋พูดจบประโยคเพียงอึดใจเดียว แล้วกดวางสายหนักๆ ใส่ทันที โดยไม่ลังเลสักนิด 

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนด่าจนตะลึงค้าง เขาถือมือถือไว้ด้วยสีหน้างุนงง มั่วไป๋เปิดปากมาก็ด่าเขาว่าเพี้ยนหรือเปล่า ตอนนี้เขาไม่เพี้ยน แต่ต่อไปโดนเขาด่าทอต่อว่าขนาดนี้อีก จากนี้ตัวเองคงจะเพี้ยนแล้วจริงๆ 

 

 

           แต่ว่ายังมีอยู่จุดหนึ่ง ถือว่ามั่วไป๋พูดตรงจุดแล้ว ในเมื่อตัวเองเป็นห่วงซือเหยี่ยน ก็เข้าไปถามสิ ถามสักหน่อยคงไม่เสียหน้าเท่าไหร่