ตอนที่ 647 ค่ำคืนที่มืดมิดและลมแรง / ตอนที่ 648 ช่วยคน

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 647 ค่ำคืนที่มืดมิดและลมแรง 

 

 

นางสามารถรับรู้เรื่องนี้ได้อย่างเงียบๆ คนอย่างฉินเย่หานจะไม่เข้าใจเรื่องนี้หรือ 

 

 

เรื่องนี้ช่างซับซ้อนเกินไปแล้ว ซูหลีอยากลบล้างความอยุติธรรมให้กับสกุลหลี่ นางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับราชนิกุล 

 

 

บัดนี้ไม่ว่านางจะถอยออกมาอย่างไร ก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ 

 

 

หากยุแหย่ฉินมู่ปิง จนเขานำเรื่องสตรีปลอมเป็นบุรุษออกมาพูด เช่นนั้นสิ่งที่นางวางแผนมานานขนาดนี้ นางเพิ่งจะได้นั่งลงบนตำแหน่งขุนนางนี้ เกรงว่ายังไม่ทันนั่งได้นาน ก็ถูกลากลงมาตัดศีรษะเสียแล้ว! 

 

 

ซูหลีคิดได้เช่นนั้น อดไม่ได้ที่จะปวดศีรษะ 

 

 

ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่นางรู้อย่างแจ่มแจ้ง นั่นก็คือ…ในช่วงเวลาอันสั้นนี้ นางจักต้องรู้หลบรู้หลีกฉินมู่ปิงเอาไว้ให้ดี อย่างน้อยนางก็ไม่สามารถไปพบเขาคนเดียว 

 

 

มิเช่นนั้นหากนางสืบข่าวอะไรไม่ได้ ฉินมู่ปิงจะคิดว่านางหลอกลวงเขา เช่นนั้นชีวิตน้อยๆ ของนางก็จบเห่แล้ว 

 

 

โอ๊ย การที่ต้องมาพัวพันกับเรื่องที่สลับซับซ้อนเช่นนี้ ช่างทำให้นางปวดศีรษะโดยแท้ 

 

 

มือของซูหลีเคาะที่ขาของตนเองเพื่อปล่อยสมองให้โล่ง 

 

 

นางจะเอาคืนการข่มขู่ของฉินมู่ปิงอย่างไรดี และจะสามารถถอนตัวออกมา อีกทั้งยังสามารถเบี่ยงเบนความสนใจของฉินมู่ปิงไปทางอื่น 

 

 

กึก! ซูหลีที่กำลังแอบอิงหมอนใบใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง ในขณะที่กำลังครุ่นคิดเรื่องซับซ้อนเหล่านี้ คิดไม่ถึงว่ารถม้าจะหยุดกะทันหัน รถม้าหยุดอย่างรุนแรงจนนางเกือบจะกลิ้งออกมาจากภายในรถม้า 

 

 

“เหวอ!” โชคดีที่รถม้าไม่ได้บรรทุกของหนักเกินอะไรทำให้ซูหลีไม่ได้รับบาดเจ็บหนักอะไร ทว่านางกลิ้งลงไปใต้ที่นั่ง ดูแล้วช่างน่าอับอาย 

 

 

“นายน้อย ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” ชุยตานเลิกผ้าม่านในรถม้าขึ้น จากนั้นรีบเอ่ยถาม  

 

 

“ไม่เป็นไร” ซูหลีลูบข้อศอกตัวเองป้อยๆ นางทราบดีว่าชุยตานเป็นคนที่สุขุมมากคนหนึ่ง หากไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาไม่มีทางหยุดรถโดยกะทันหันเด็ดขาด 

 

 

นางมองข้อศอกที่ถูกขูดเป็นรอยปราดหนึ่งและรีบเอ่ยว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน” 

 

 

ทันทีที่นางเอ่ยถาม ก็พบว่าสีหน้าของชุยตานเปลี่ยนไป 

 

 

ในรถม้ามีตะเกียงแก้วที่ส่องแสงอยู่ เป็นประจวบเหมาะที่แสงไฟส่องกระทบลงบนใบหน้าของชุยตานพอดี ทำให้ซูหลีเห็นสีหน้าของเขา 

 

 

“ด้านหน้า…มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น” ความสามารถในการมองเห็นของชุยตานนั้นดีมาก เขาสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวในระยะที่ไกลมาก ถึงทำให้เขาหยุดรถม้าอย่างกะทันหัน 

 

 

เดิมยามซูหลีออกจากหอหร่วนเซียง ท้องฟ้าก็ยังไม่มืดมาก เพียงแต่เป็นเพราะเสียเวลากับฉินมู่ปิงสักพัก ไม่นานท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว 

 

 

ทำให้ใกล้ถึงยามไฮ่[1]แล้ว อีกทั้งในรถม้ายังมีซูหลีที่โฉมงามสะคราญ ชุยตานอยากรีบจะกลับไปจวนให้เร็วไว จึงไม่เดินทางเส้นทางใหญ่ ทว่ากลับมาทางอ้อมซึ่งอยู่ในตรอกซอยเล็กๆ เขาเตรียมที่จะเดินทางลัดทะลุผ่านไปจากตรงนี้เพื่อตรงกลับจวน 

 

 

คิดไม่ถึงว่าเมื่อเดินทางไปถึงครึ่งทาง จะบังเอิญพบกับเรื่องเช่นนี้ 

 

 

ซูหลีชำเลืองเห็นสีหน้าที่ดูย่ำแย่เป็นอย่างมากของชุยตาน นางจึงขมวดคิ้วและไม่เอ่ยถามอะไรให้มากความ ในทางกลับกัน นางกลับเลิกผ้าม่านขึ้นแล้วมองไปทางด้านหน้า 

 

 

ทันทีที่มองนางก็พบว่าชุยตานจอดรถม้าของพวกเขาไว้ตรงทางโค้งของตรอกซอย ตรงนี้ยังอยู่ใกล้กับต้นมะเดื่อจีนขนาดใหญ่ ทำให้บดบังรถม้าไปมากกว่าครึ่ง ดังนั้นคนที่อยู่ตรงนั้นจึงมองไม่เห็นพวกเขา 

 

 

ชุยตานนั้นมีไหวพริบดีเป็นอย่างมาก เมื่อรู้สึกถึงสถานการณ์ที่ผิดปกติ เขาก็จอดรถไว้ที่นี่ในทันที  

 

 

ทว่า… 

 

 

“อย่านะ!” 

 

 

“กรี๊ด! กรี๊ด! พี่เค่อ ไยท่านถึงทำกับข้าเช่นนี้!?” 

 

 

ผัวะ!  

 

 

“นางแพศยาก่อนหน้านี้ไม่ใช่ร่ำไห้ร้องขอให้ชื่นชอบข้าไม่ใช่หรือ ในเมื่อบุรุษมากขนาดนี้ วันนี้ข้าจะให้พี่ชายเหล่านี้ทำให้เจ้าพึงพอใจ!” 

 

 

“มาเร็วเข้า มาจัดการให้ข้า! อยากทำอะไรก็ทำ จะทำอย่างไรก็ได้ให้เจ้ามีความสุข!” 

 

 

“ฮี่ๆๆ! นายน้อยช่างดีเหลือเกิน!” 

 

 

“แม้สตรีผู้นี้จะน่าเกลียดไปเสียหน่อย ทว่าอย่างไรก็เป็นสตรี เพียงหลับตาก็เหมือนกันแล้ว!” 

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า!” 

 

 

ภายในตรอกซอยที่อยู่ไกลโพ้นมีเสียงร้องขอความช่วยเหลือของสตรี และเสียงหัวเราะอย่างน่าสะอิดสะเอียนของบุรุษดังผสมกัน 

 

 

ทันทีที่ซูหลีเห็นทางนั้น สีหน้าของนางก็เคร่งเครียดขึ้นมาอย่างฉับพลัน 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ยามไฮ่ เป็นการแบ่งเวลาของจีน เป็นช่วงเวลา 21.00 น. – 23.00 น 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 648 ช่วยคน 

 

 

วันนี้ไม่มีพระจันทร์ มีเพียงแค่ประกายแสงดาวที่ริบหรี่เท่านั้น ภายในตรอกซอกเล็กเปลี่ยวเช่นนี้ ยิ่งดูมืดมิดจนมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้านิ้ว 

 

 

กอปรกับรถม้าของพวกซูหลีจอดอยู่ไกลมาก แม้จะสามารถได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากในซอยอย่างชัดเจน ทว่ากลับมองไม่เห็นคนในตรอกซอยนั้นสักคน 

 

 

ทว่าซูหลีกลับรู้สึกว่า หนึ่งในนั้นมีเสียงที่คุ้นเคยเป็นพิเศษ อารมณ์บนสีหน้าจึงเปลี่ยนไปย่ำแย่ทันที 

 

 

“นายน้อย นี่…” เมื่อเผชิญกับเรื่องเหล่านี้ ที่จริงแล้วชายชาตรีอย่างชุยตานไม่รู้สึกเหยียดหยาม อีกทั้งยังอยากเข้าไปช่วยสตรีที่น่าสงสารผู้นั้น ทว่าในเวลานี้ไม่ได้มีเขาเพียงผู้เดียว ซูหลียังอยู่ด้านข้างเขา เขาก็ไม่กล้ากระทำเรื่องนี้อย่างสะเพร่า ดังนั้นก่อนจะเอ่ยอะไร จึงมองที่ซูหลีปราดหนึ่งก่อน 

 

 

สีหน้าของซูหลีไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อได้ยินดังนั้นจึงมองเขาครู่หนึ่ง ทว่ากลับไม่ได้ตำหนิ แต่กลับสั่งให้เขาเข้ามาใกล้ๆ 

 

 

ในเวลาแรกชุยตานไม่ค่อยเข้าใจว่าซูหลีหมายความว่าอะไร ทว่าเขาก็เชื่อฟัง โน้มตัวเข้ามาใกล้ซูหลี 

 

 

ซูหลีเอ่ยด้วยเสียงเบากับเขาสองสามประโยค จากนั้นจึงหยิบบางสิ่งออกมาจากแขนเสื้อของตน แล้วส่งให้ชุยตาน 

 

 

“ระวังตัวด้วย” ซูหลีมองชุยตานด้วยสีหน้าจริงจังปราดหนึ่ง 

 

 

ชุยตานมีสีหน้าเคร่งขรึม ได้ยินดังนั้นจึงผงกศีรษะ 

 

 

เขาอดเลื่อมใสในความคิดที่รอบคอบของซูหลีไม่ได้ 

 

 

มิผิด เป็นอย่างที่ซูหลีกล่าวไว้ ทางนั้นแม้จะอยู่ค่อนข้างไกล มองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายมีจำนวนกี่คน ทว่าหากตั้งใจฟังอย่างถี่ถ้วน จะพบว่าอีกฝ่ายมีกำลังคนจำนวนมาก 

 

 

ถึงชุยตานจะไม่รู้สึกหวาดหวั่นก็ตาม ทว่าเขายังต้องคอยปกป้องนายน้อยที่ไม่มีพลังยุทธ์ผู้หนึ่งอีก มิหนำซ้ำต้องเข้าไปช่วยเหลือสตรีที่ผู้โจรร้ายล้อมไว้ สองกำปั้นก็ยากที่จะเอาชนะสี่มือได้[1] อีกไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะพาสตรีอ้อนแอ้นทั้งสองคนออกไปเลย 

 

 

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว วิธีของซูหลีถือว่าเป็นวิธีที่ดีอย่างแท้จริง 

 

 

ชุยตานก็ไม่คิดอะไรมาก เขากำขวดใบเล็กที่ซูหลีส่งมา จากนั้นรีบเดินไปทางนั้น 

 

 

“หึ! นางแพศยา ในยามปกติมิใช่เอ่ยว่าชื่นชอบนายน้อยเช่นข้าหรือ บัดนี้จะหนีอะไรเล่า” ชุยตานเดินเข้าไป และพบว่าในส่วนลึกของตรอกมีบุรุษสองสามคนล้อมรอบ คนที่เป็นผู้นำที่กำลังพูดอยู่นั้นสวมชุดผ้าไหม เขามองไปที่หญิงสาวที่ถูกต้อนอยู่ในมุมของตรอกด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย 

 

 

ในเวลานี้มือทั้งสองข้างของหญิงสาวถูกมัดไว้ และถูกคนใช้สิ่งของยัดอยู่ในปาก เมื่อได้ยินดังนั้นนางส่ายศีรษะอย่างสุดกำลัง น้ำตาใสๆ สองสายก็ไหลรินออกมาจากใบหน้า 

 

 

ชุยตานที่มองจากระยะไกลถึงกับขมวดคิ้วขึ้น 

 

 

แควก! ขณะที่กำลังครุ่นคิดคิด กลับเห็นบุรุษในชุดผ้าไหม ยื่นมือออกมาและฉีกเสื้อผ้าทั้งหมดของหญิงสาวผู้นั้น 

 

 

“โอ้โห ในยามปกติดูจะมองไม่ออก แม้ใบหน้าเจ้าจะดูธรรมดาดาษดื่น ทว่าร่างกายกลับเกลี้ยงเกลามาก…” 

 

 

“ฮี่ๆๆ!” 

 

 

“พี่เฉิง ให้ข้าลูบคลำบ้าง!” 

 

 

บุรุษผู้นั้นพูดอย่างไม่เกรงใจ ทว่าคนที่อยู่โดยรอบกลับหัวเราะเยาะกันทุกคน ลวนลามสตรีผู้นี้ราวกับนางเป็นสตรีในหอโคมเขียวมิปาน! 

 

 

สีหน้าของชุยตานเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เขาก้าวเท้าไปในตรอกนั่นอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น 

 

 

“หยุดนะ!” คนยังไม่ถึง เสียงก็ดังขึ้นก่อน ผู้นำผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นเงยหน้ามองไปทางเขา คิดไม่ถึงว่าทันทีที่เงยหน้าขึ้นจะไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เพียงรู้สึกสายลมเบาบางที่พัดผ่านมา จากนั้น… 

 

 

ฟู่! มีกลิ่นประหลาดรอยขึ้นมากลางอากาศ ผู้นำคนนั้นสูดดมเข้าไปหลายเฮือก จากนั้นจึงรู้สึกเวียนศีรษะ ทว่ายังไม่ทันได้ตั้งตัว แข้งขาก็อ่อนแรงและหมดสติลงไปในที่สุด 

 

 

ตุบ! หลังจากนั้นจึงสลบไปพร้อมกับคนที่อยู่ข้างกายเขาเหล่านั้น 

 

 

“เจ้าเป็นใครกัน” ในกลุ่มคนห้าคนนี้เหลือเพียงคนหนึ่งที่สูดดมกลิ่นนั้นเข้าไป รู้สึกเวียนศีรษะทว่าพยายามฝืนเอาไว้อย่างสุดควาสามารภ เขาอยากจะมองให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งว่าคนที่เดินเข้ามาคือใคร 

 

 

ตุบ! ทว่าชุยตานไม่ให้โอกาสนั้นแก่เขา 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] สองกำปั้นก็ยากที่จะเอาชนะสี่มือได้ เป็นการเปรียบเปรย หมายถึงกำลังของคนๆ เดียว ไม่สามารถต่อกรกับคนจำนวนมาก