ตอนที่ 140 เธอต้องไม่เป็นอะไร

พ่ายรักวิวาห์ลวง

ระดับน้ำทะเลยังคงเพิ่มระดับขึ้นมาเรื่อยๆ อุณหภูมิน้ำทะเลตอนกลางคืนยิ่งดึกยิ่งลดต่ำลง อุณหภูมิอากาศเองก็ลดต่ำลงอย่างช้าๆ เวินหลานฉีสวมเพียงเสื้อแขนสั้น และกางเกงขาสั้นบางๆ เท่านั้น เธอรู้สึกถึงกลิ่นอายหนาวเย็นแทรกซึมผ่านผิวหนังของเธอเข้าไปในกระดูกอย่างช้าๆ

 

 

เธอเคยคิดจะว่ายน้ำกลับไป แต่ความต่างของอุณหภูมิกับน้ำทะเลของที่นี่ต่างกันมากขนาดนี้ มิหนำซ้ำยังหนาวเย็นเช่นนี้ เกรงว่าเธอไม่ทันว่ายกลับไป คงจมน้ำไปก่อน

 

 

พอมองเกาะเล็กๆ ข้างเกาะที่ตนมานั้น รอบนอกสุดของเกาะเองก็จมอยู่ในน้ำทะเลแล้ว เหลือแต่ต้นไม้กลางเกาะโผล่พ้นน้ำอยู่ และน่าจะไม่จมน้ำด้วย ทว่าต่อให้คิดเช่นนี้ เธอก็ไม่มีทางจะไปถึงที่นั่นได้อยู่ดี

 

 

เวินหลานฉีนั่งลงกอดตัวเองแน่นอย่างสิ้นหวัง ท่ามกลางทะเลอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตานี้ สถานที่ที่เธออยู่อย่างกับเกาะเดี่ยวแห่งหนึ่ง พอเธอมองแสงไฟแวววาวบนแผ่นดินฝั่งนั้น ความเศร้ารันทดในใจก็อดล้นทะลักออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่ได้

 

 

ตอนนี้เขา…ไม่รู้ว่ารู้หรือยังว่าเธอหายตัวไป…

 

 

เขาจะ…หาฉันเจอหรือเปล่า

 

 

พอคิดถึงเมื่อช่วงบ่าย และข่าวมืดฟ้ามัวดินเหล่านั้น เวินหลานฉีก็รู้สึกสะอิดสะเอียนความคิดเหล่านี้ในหัวของตัวเอง

 

 

เกรงว่าตอนนี้เขาฮั่วฉินเยี่ยนคงกำลังอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา กับผู้หญิงคนนั้นอย่างมีความสุขละมั้ง จะคิดถึงเธอได้อย่างไรกัน เธอน่าจะดูเขาออกตั้งนานแล้ว

 

 

ทันใดนั้นเวินหลานฉีก็นึกได้ คล้ายว่าวันนี้คนหาปลาได้กำชับเธอ ว่าต้องออกจากที่นี่ก่อนสี่ทุ่ม เวินหลานฉียกมือขึ้นมาดูนาฬิกา นี่มันสี่ทุ่มสิบนาทีแล้วนี่นา

 

 

หรือว่าสิ่งที่คนหาปลาจะบอกก็คือหลังจากสี่ทุ่มผ่านไป ระดับน้ำทะเลก็จะเพิ่มสูงขึ้นงั้นเหรอ

 

 

เวินหลานฉียิ้มอย่างเศร้ารันทด งั้นก็นั่งลงเหม่อมองท้องฟ้ายามราตรีต่อไปเลยละกัน

 

 

แต่เวลานี้ฮั่วฉินเยี่ยนยังคงตามหาเวินหลานฉีตามชายฝั่งทะเลอยู่ เวินหลานฉีชอบทะเลมากขนาดนั้น ต้องอยู่ชายฝั่งทะเลสักที่เป็นแน่ แต่เขาแทบจะวิ่งไปกว่าครึ่งเกาะแล้ว ก็ยังคงไม่พบเงาของเธออยู่ดี

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนรู้สึกถึงความสิ้นหวังอย่างที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน หรือว่าครั้งนี้เขาจะต้องทำแบบครั้งก่อนอีกงั้นเหรอ รู้ว่าเธอต้องไป แต่หาเท่าไรก็หาไม่พบ

 

 

ใจเย็น เธอต้องอยู่ที่นี่แน่!

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนคอตก หลับตาและเดินไปตามหาดทรายข้างหน้าอย่างเงียบๆ เขาถึงขั้นคิดเกินจริง ว่าถ้าเดินอย่างนี้ต่อไป ถ้าลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นเธอมันจะดีสักแค่ไหน

 

 

เขาเดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ อย่างเงียบๆ แบบนี้ พอลืมตาขึ้นมาก็พบว่ามาถึงท่าเรืออีกฝั่งหนึ่งแล้ว เขาเห็นฝั่งนั้นของท่าเรือเหมือนจะมีคนหาปลาอยู่คนหนึ่ง คล้ายกับกำลังมองไปรอบๆ ทะเล ไม่รู้ว่ากำลังมองอะไรอยู่

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนเดินเข้าไปใกล้เขา “ท่านผู้อาวุโส ดึกขนาดนี้แล้วท่านกำลังมองอะไรอยู่เหรอ” ฮั่วฉินเยี่ยนถามไปอย่างนั้น เขาแค่รู้สึกว่าคนหาปลาคนนั้นดูเหมือนจะกำลังหาคนอยู่เช่นกัน

 

 

“เมื่อตอนบ่ายวันนี้ข้าไปส่งแม่หนูคนหนึ่งที่เกาะเล็กฝั่งนั้น แต่ข้ารับส่งแขกอยู่ที่นี่ตลอดทั้งบ่ายแล้ว ดูเหมือนว่าจะยังไม่เห็นแม่หนูคนนั้นกลับมาจากเกาะนั้นเลยน่ะสิ ก็เลยยืนดูอยู่ที่นี่อย่างเป็นห่วงอยู่บ้าง” น้ำเสียงของคนหาปลาฉายแววกังวลอยู่เล็กน้อย

 

 

“แม่หนู?” ฮั่วฉินเยี่ยนเบิกตากว้าง พลางเอ่ยถาม “หญิงสาวแบบไหนหรือ อายุสักประมาณยี่สิบกว่าๆ ได้หรือไม่”

 

 

เมื่อคนหาปลาเห็นท่าทางเช่นนี้ของฮั่วฉินเยี่ยนจึงเอ่ยถาม “หรือว่าพ่อหนุ่มรู้จักแม่หนูคนนั้นเหรอ” เขาก้มหน้าหวนคิดสักพัก แล้วตอบกลับไป “อืม…น่าจะประมาณยี่สิบกว่าๆ ละมั้ง เยาว์วัยมาก ผมสีดำยาว ตาโตๆ แถมหน้าตายังสวยด้วยนะ”

 

 

ผมยาวสีดำ…ตาโต…

 

 

ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นเวินหลานฉีแน่!

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนคล้ายจะมองเห็นความหวัง จึงคว้าไหล่ของคนหาปลาเขย่าไปมา พร้อมเอ่ยพูด “หญิงสาวคนนั้นไปที่ไหนเหรอ”

 

 

พอคนหาปลาเห็นปฏิกิริยาตอบรับรุนแรงขนาดนั้นของฮั่วฉินเยี่ยน คิดว่าเขาน่าจะรู้จักผู้หญิงคนนั้นเป็นแน่ จึงตอบเขากลับไปว่า “เธออยากให้ข้าพาเธอไปเกาะเล็กๆ ฝั่งนั้น ตอนเธอลงจากเรือข้ายังกำชับเธออีก ว่าต้องออกจากเกาะนี้ก่อนเวลาสี่ทุ่ม แต่เห็นว่าตอนนั้นเธอเหมือนจะตาแดงๆ ท่าทางก็ดูล่องลอยเหลือเกิน เลยไม่รู้ว่าเธอได้ยินหรือเปล่าน่ะสิ…นี่ก็เลยสี่ทุ่มมาแล้ว ข้าเพิ่งนึกได้ว่าตอนบรรทุกแขกเมื่อช่วงบ่าย ยังไม่เห็นแม่หนูคนนั้นกลับมาเลย ถึงได้เป็นห่วงขึ้นมา…”

 

 

พอคนหาปลาพูดจบ ก็ชี้ไปทางเกาะเล็กฝั่งนั้น หากแต่ตอนนี้มืดจนมองสรรพสิ่งบนเกาะนั้นไม่ชัดเลยสักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนเลย ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เวินหลานฉีคงไม่ได้อยู่บนเกาะนั้นแล้วล่ะ

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนทอดถอนใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยตอนนี้ก็รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน แต่ทันใดนั้นก็ต้องขมวดคิ้วฉับ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าในคำพูดคนหาปลาเมื่อกี้นั้น ได้เน้นย้ำเรื่องเวลา…

 

 

“ท่านผู้อาวุโส ทำไมท่านถึงบอกว่าต้องออกจากเกาะนั้นก่อนสี่ทุ่มล่ะ”

 

 

“เพราะหลังจากเลยสี่ทุ่มไปแล้ว อุณหภูมิของน้ำทะเลที่นี่จะลดต่ำจนติดลบน่ะสิ! โดยเฉพาะเกาะเล็กกลางทะเลนั้น พออุณหภูมิของน้ำทะเลรอบเกาะลดลง อุณหภูมิของเกาะก็จะลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว ถ้าพักอยู่ที่นั่นทั้งคืน เกรงว่าจะถูกแช่แข็งแน่นอนน่ะสิ”

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนเงยหน้ามองไปยังเกาะนั้น ถ้าเป็นจริงดังคนหาปลาว่าละก็ งั้นเวินหลานฉีคงไม่เกิดเรื่องอันตรายต่อชีวิตหรอกเหรอ!

 

 

ยังไม่ทันรอให้เขากล้ำกลืนอารมณ์เหล่านี้ได้ คนหาปลาก็เอ่ยพูดขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

“แต่ถ้าเธออยู่ที่เกาะนั้นก็ยังดี แม้ว่าอุณหภูมิจะลดต่ำลง แต่ต้นไม้บนเกาะนั้นยังมีเยอะอยู่ คงไม่ถูกแช่แข็งหรอก ข้าแค่กังวลว่าเธอจะไม่ได้อยู่บนเกาะนั้นน่ะสิ…”

 

 

“ท่านไม่ได้บอกว่าเธอไปที่เกาะนั้นหรอกเหรอ” ฮั่วฉินเยี่ยนถามอย่างสงสัย

 

 

“ใช่ เธอไปที่เกาะนั้น แต่ข้างเกาะนั้นมีแนวหินโสโครกที่จัดไว้ให้คนเข้าชมเยอะมากน่ะสิ เลยมักจะมีคนปีนขึ้นไปบนหินโสโครกเหล่านั้น แล้วมัวแต่อ้อยอิ่งจนลืมกลับมาบ่อยเหมือนกัน”

 

 

“หินโสโครกนั้น…หินโสโครกนั้นมันทำไมเหรอ” ฮั่วฉินเยี่ยนไม่เข้าใจความหมายที่คนหาปลาพูด

 

 

“พอเลยเวลาสี่ทุ่มน้ำทะเลรอบเกาะนั้นจะท่วมขึ้นมา ถึงน้ำจะท่วมไม่ถึงเกาะ แต่ก็มากพอจะพ้นแนวหินโสโครกนั่นน่ะสิ!”

 

 

ใจของฮั่วฉินเยี่ยนที่เพิ่งจะหมดห่วง กลับเป็นห่วงขึ้นมาหนักขึ้นกว่าเดิม…พอเขาคิดถึงความเป็นไปได้แบบนี้แล้ว คิดว่าเวินหลานฉีต้องเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ แล้ว ก็ยิ่งกระวนกระวายใจเข้าไปใหญ่

 

 

เขาแทบอยากจะไปอยู่ข้างกายเธอเสียตอนนี้ด้วยซ้ำ!

 

 

เรือ! แค่มีเรือก็ไปหาเธอได้แล้ว!

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนมองไปรอบๆ อย่างกระสับกระส่าย เมื่อเห็นเรือสำราญตรงท่าเรือล้วนเก็บเข้าโกดังไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่เรือโกลนลำหนึ่งจอดอยู่ริมฝั่งอย่างโดดเดี่ยว ฮั่วฉินเยี่ยนจึงวิ่งตรงดิ่งไปยังเรือน้อยลำนั้น ได้ยินเสียงของคนหาปลาตะโกนดังไล่หลังมาอย่างร้อนใจ

 

 

“พ่อหนุ่มอย่าไปเลยนะ พ่อหนุ่มไปตอนนี้ น้ำทะเลก็ท่วมโขดหินโสโครกรอบๆ นั้นหมดแล้ว มันจะเกยตื้นเอาเสียได้ พ่อหนุ่มจะไม่รอดชีวิตนะ!”

 

 

แต่ทว่าฮั่วฉินเยี่ยนสนใจเสียที่ไหน ตอนนี้เขาคิดเพียงแค่ว่าจะไปอยู่ข้างกายเวินหลานฉี ต่อให้ต้องตาย เขาก็ต้องไปอยู่เป็นเพื่อนเธอ

 

 

ไม่! เขาจะไม่ยอมให้เธอเกิดเรื่องอะไรเด็ดขาด!

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนกระโดดขึ้นเรือ แล้วแจวเรือออกไป

 

 

ตอนนั้นสถานการณ์ทางเวินหลานฉียิ่งอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ แนวโน้มของน้ำทะเลดูเหมือนจะไม่หยุดเลยสักนิด ยังคงเพิ่มสูงขึ้นเป็นระลอกๆ จนตอนนี้เธอไม่สามารถนั่งอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีกแล้ว จุดสูงสุดของหินโสโครกที่เธออยู่นั้นจุได้แค่เธอยืนเท่านั้น

 

 

น้ำทะเลเริ่มจมเท้าของเธอแล้ว

 

 

หรือว่า…ต้องจบชีวิตของตัวเองอยู่ที่นี่แล้วจริงๆ

 

 

เธอเคยคิดจะหลบหนีเสียที่ไหน แต่ตอนเธอลองคิดจะเดินไปเกาะนั้น กลับพบว่าระดับความลึกของน้ำทะเลรอบเกาะนั้นลึกเกินกว่าเธอจินตนาการไว้

 

 

ตอนแรกเธอคิดว่าต่อให้น้ำเพิ่มสูงขึ้น มากสุดก็คงสักหนึ่งเมตร แต่พอเธอลองเอาเท้ายื่นออกไป ก็ต้องหดเท้ากลับมาตามสัญชาตญาณ น้ำทะเลนั้นคงไม่หยุดแค่หนึ่งเมตรเด็ดขาด!

 

 

เวินหลานฉีออกแรงโยนหินลงไปอย่างระมัดระวัง…แต่เธอกลับไม่ได้ยินเสียงชนของวัตถุเลยสักนิด…

 

 

ถ้าน้ำที่จมหินโสโครกนี้ตื้นมาก เธอน่าจะได้ยินเสียงสิถึงจะถูก!

 

 

เธอดีใจที่เมื่อกี้ตนไม่ได้บุ่มบ่ามก้าวเท้าออกไป ไม่อย่างนั้นเธอคงจะเป็นหินจมลงไปในทะเลอย่างไร้ร่องรอย โดยไม่เหลือแม้แต่ความหวังอีก

 

 

เวินหลานฉีมองน้ำทะเลค่อยๆ จมข้อเท้าตัวเองช้าๆ …ช้าๆ … หนาวเข้ากระดูกจนเธอหนาวสั่น

 

 

แน่นอนว่าไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว วิธีที่จะลองได้ก็ลองไปหมดแล้ว

 

 

เดิน ก็เดินไม่ได้โดยสิ้นเชิง

 

 

ว่ายน้ำ? อุณหภูมิขนาดนี้ ไม่ต้องรอให้เธอว่ายถึงหรอก กำลังกายน่าจะไม่พอแล้วจมลงไปมากกว่า…

 

 

เวลากลางคืนเกาะกลางทะเลก็เหมือนเงามืดขนาดใหญ่ปกคลุมเธอ ราวกับเรียกหาความสิ้นหวัง นับเป็นครั้งแรกที่เวินหลานฉีรู้สึก ว่าระยะห่างระหว่างความตายนั้นใกล้ขนาดนี้

 

 

หรือว่าเธอต้องมองตัวเองจมลงไปในน้ำทะเลทีละนิดๆ อย่างนี้ เริ่มแรกคือเท้า ต่อไปก็ขา จากนั้นก็เอว ท่อนบน แล้วสุดท้ายก็หัวงั้นเหรอ…

 

 

แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ไม่สู้ตัวเองถือโอกาสในตอนนี้ตัดจบมันไปเลยเสียดีกว่า เธอหัวเราะทั้งสายตาเปล่าเปลี่ยว แบบนี้…ก็ถือเป็นทางเลือกที่ไม่เลว

 

 

ขณะที่เธอเตรียมจะก้าวเท้าลงไปในน้ำทะเล ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยสีดำตรงหน้า เพื่อจบชีวิตตัวเองนั้น อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหนึ่งไกลหน่อย หากแต่กลับชัดเจน

 

 

“อย่า!”

 

 

เวินหลานฉีหันหน้ากลับไป เห็นว่าในทะเลคล้ายจะมีเรือเล็กลำหนึ่ง พายโคลงเคลงเข้ามาอย่างไม่มั่นคง คนบนเรือนั้น…

 

 

“อาเยี่ยน?” เวินหลานฉีลองเรียกกลับไปเสียงหนึ่ง

 

 

“ฉีฉีอย่า! ผมกำลังไปหา คุณอดทนอีกหน่อยนะ! ผมกำลังจะไปหา!” ฮั่วฉินเยี่ยนเพิ่งจะไล่ดูละแวกเกาะ ก็เห็นว่าเวินหลานฉียืนตระหง่านโดดเดี่ยวอยู่บนหินโสโครก และกำลังจะโถมตัวลงสู่ทะเล

 

 

เกรงว่าหากเขามาช้ากว่านี้อีกสักนาที เขาคงไม่ได้เห็นหญิงสาวสุดที่รักของเขาอีกต่อไปแล้ว แค่คิดถึงตรงนี้ ฮั่วฉินเยี่ยนก็รู้สึกนึกกลัวในภายหลังอยู่บ้าง

 

 

อาเยี่ยน…เขาหาที่นี่เจอได้อย่างไร เขารู้ได้อย่างไรว่าเธออยู่ที่นี่

 

 

เมื่อเห็นท่าทางเขาน่าจะมาเพียงคนเดียว ชายฝั่งทะเลนี้มีหินโสโครกเยอะมากขนาดนี้ เขาไม่กลัวเกยตื้นตายหรือไง

 

 

ในที่สุดฮั่วฉินเยี่ยนก็มาถึงบริเวณใกล้เคียงกับเวินหลานฉีอยู่ เขาไม่กล้าพายไปข้างหน้ามากกว่านี้ เพราะเขาสัมผัสได้ถึงเงาตะคุ่มๆ และท้องเรือสัมผัสเข้ากับแนวหินโสโครกแล้ว หากเข้าไปใกล้กว่านี้อีกนิด เกรงว่าคงต้องเกยตื้นแล้ว

 

 

“ฉีฉี คุณฟังผมนะ ที่นี่ข้างล่างนี้มีหินโสโครกมากมาย ผมเข้าไปไม่ได้ คุณฟังผมนะ ก้าวมาข้างหน้าอีกสองก้าวแล้วกระโดดขึ้นมา! แล้วเราจะไปจากที่นี่ด้วยกัน!” ฮั่วฉินเยี่ยนบังคับตัวเองให้แสร้งทำน้ำเสียงใจเย็น ตอนคุยกับเวินหลานฉี

 

 

เพราะเขากลัวว่าหากอารมณ์ของตัวเองตื่นตระหนกขึ้นมา เวินหลานฉีก็จะกลัวตามไปด้วย

 

 

หากแต่เวินหลานฉีกลับไม่ก้าวมาอย่างว่าง่ายดังเขาคิดคาดการณ์เอาไว้ กลับกันเธอกลับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างเงียบๆ แล้วหลบมือที่ยื่นออกไปของเขา

 

 

“ฮั่วฉินเยี่ยน! คุณถือสิทธิ์อะไรคิดว่าฉันเวินหลานฉีต้องยอมทำตามผู้นำอย่างคุณ! วันนี้ต่อให้ฉันต้องตาย ก็จะไม่ยอมไปกับคุณเด็ดขาด!” พอเวินหลานฉีนึกถึงคลิป และเรื่องสกปรกโสมมที่เขาทำเหล่านั้นแล้ว เธอก็อดคลื่นเหียนอยากจะอาเจียนไม่ไหว

 

 

นึกถึงร่างกายซึ่งแตะต้องเธอทั้งวันทั้งคืน แต่สุดท้ายก็ปฏิบัติกับผู้หญิงคนอื่นแบบนี้เช่นกัน เธออดตัวสั่นเทิ้มไม่ได้ ภาพเหล่านั้นคล้ายกับใบมีดทิ่มแทงลงมาตรงจุดอ่อนนุ่มที่สุดในก้นบึ้งหัวใจเธอหลายครั้งหลายครา จนเลือดไหลเป็นสายน้ำ

 

 

เธอผิดหวังต่อเขาอย่างถึงที่สุด ตอนนี้เวินหลานฉีแทบไม่ฟังคำอธิบายใดๆ ของฮั่วฉินเยี่ยนโดยสิ้นเชิง และเธอเองก็ไม่อยากฟังเช่นกัน