DC บทที่ 314: คุณธรรม

 

เพื่อให้สมกับความโกรธจากความผิดหวัง ผู้อาวุโสจงตรงเข้าไปยังประตูห้องของซูหยางและเตรียมที่จะเคาะ อย่างไรก็ตามเขาก็ได้ทำการยับยั้งความโกรธไว้ได้ในวินาทีสุดท้ายและยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางที่ชะงักค้าง

 

“ท่านผู้อาวุโส…” โหลวหลานจีส่ายหน้าขณะถอนใจ

 

“ซูหยาง เจ้ามีแขก ปราชญ์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์มาที่นี่เพื่อพบกับเจ้า”

 

แม้ว่าเธอจะยอมให้ซูหยางฝึกวิชาของเขาจนจบ โหลวหลานจีก็ต้องตัดสินใจเริ่มเคาะประตูห้องของเขา ในเมื่อเธอไม่ต้องการที่จะล่วงเกินปราชญ์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นี้ซึ่งเพียงลำพังตัวเขาคนเดียวก็น่ากลัวกว่านิกายล้านอสรพิษทั้งนิกาย

 

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ประตูก็เปิดออก และหญิงสาวสวยสองคนก็เดินออกมาจากห้องของซูหยางด้วยเสื้อผ้าหลวมรุ่มร่ามและผิวที่เป็นประกาย

 

“…”

 

ผู้อาวุโสจงกรามตกค้างเมื่อเขาเห็นหญิงสาวทั้งสองคนนี้

 

“หญิงสาวพวกนี้เห็นอะไรในผู้ชายประเภทนี้กัน” เขาถอนใจ

 

“ผู้อาวุโสจง ข้ามิคิดว่าเราจักพบกันอีกครั้งเร็วปานนี้” ซูหยางปรากฏตัวขึ้นหลังจากนั้น

 

“เข้ามาข้างในสิ”

 

ผู้อาวุโสจงไม่ได้พูดอะไรและเดินตามเขาเข้าไปในห้องซึ่งอ้อยอิ่งไปด้วยปราณหยินและกลิ่นหอมหวานจากสองหญิงสาวเมื่อกี้นี้

 

ครั้นเมื่อประตูปิด ผู้อาวุโสจงก็พูดขึ้น “ข้าคิดว่าเจ้าพูดเล่นเมื่อพูดว่าเจ้ามาจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่อนิจจาข้าหารู้สักนิด ช่างไร้ยางอายเสียจริง”

 

“ไร้ยางอายรึ ไร้ยางอายตรงไหนที่กกกอดสาวสวยในฐานะผู้ชาย” ซูหยางตอบด้วยเสียงเรียบเฉย

 

“ไม่มีสิ่งที่ต้องอับอายในการกระทำเช่นนั้น แต่เมื่อคิดว่าจอมกระบี่เช่นเจ้าถึงกับสัมผัสเด็กสาวเหล่านี้โดยมิสนใจสนใจโลกเลย อย่าให้ข้าพบว่าเจ้ากดขี่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้วยฐานะของเจ้าจริงเพื่อเติมเต็มสันดานที่เต็มไปด้วยตัณหาของเจ้า ข้าจักจัดการโดยเร็วต่อให้เด็กสาวพวกนั้นร้องขอข้าให้หยุดก็ตาม”

 

หลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นซูหยางก็หรี่ตามองไปยังผู้อาวุโสจงและกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้ากล้ากล่าวหาข้าว่ากดขี่เด็กสาวเหล่านี้ให้ร่วมฝึกวิชากับข้ารึ ถ้ามิใช่เพื่อหญิงสาวเหล่านี้ ข้าคงต้องฆ่าเจ้าไปสักสิบครั้งแล้วตอนนี้”

 

จิตสังหารพลันปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง จนทำให้ผู้อาวุโสจงถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ

 

ซูหยางพลันกล่าวต่อว่า “จะมีปัญหาอะไรถ้าพวกเธออายุยี่สิบปีหรือสองร้อยปี ช่วงอายุเล็กน้อยปานนี้ พวกเธอก็ยังคงมิมีอะไรไปมากกว่าเด็กเล็กๆในสายตาของข้า ตราบเท่าที่พวกเธอเป็นหญิงและพวกเธอยอมรับข้า ข้าจักโอบกอดเธอโดยมิเห็นต้องอับอาย”

 

แม้ว่านั่นอาจจะแตกต่างอยู่สำหรับผู้อาวุโสจงซึ่งมีชีวิตอยู่เพียงแค่สามร้อยปี เพราะว่าซูหยางได้มีชีวิตมานานกว่าหมื่นปีในฐานะเซียน จึงไม่มีความแตกต่างในช่วงอายุที่เล็กน้อยแค่นั้นในใจเขา ตามจริงถ้าเขาต้องพิจารณาอายุของพวกเธอสำหรับการฝึกฝีมือของเขา เช่นนั้นกระทั่งผู้ที่สูงอายุที่สุดในโลกนี้ก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยในสายตาของเขา

 

ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะเพิ่มพลังการฝึกปรือของตัวเขาและกลับสู่สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร ดังนั้นหากว่าเขาไม่แตะต้องหญิงสาวเหล่านี้เขาก็จะไม่มีตัวเลือกอื่นอีก จึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมเขาจึงลังเลที่จะร่วมฝึกกับศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเมื่อเขาได้รับความทรงจำคืนในครั้งแรก

 

“ตระกูลจง เราทั้งคู่เป็นผู้ฝึกวิชา บางสิ่งดังเช่นอายุเป็นเพียงแค่ตัวเลขวัดความฉลาดในโลกของเรา แน่นอนว่าข้ามิได้พูดว่าอายุของแต่ละคนไม่มีความสำคัญไปเสียทีเดียว แต่ตราบเท่าที่พวกเธอเป็นผู้ใหญ่แล้ว ใครจะสน จริงไหม”

 

ซูหยางโยนการกระทำแบบศิษย์อายุเยาว์ทิ้งไปและเริ่มทำเหมือนกับเป็นผู้อาวุโส สิ่งที่สร้างความงุนงงให้กับผู้อาวุโสจงเป็นอย่างมาก

 

“…”

 

ผู้อาวุโสจงนิ่งเงียบไปเป็นเวลาหลายนาที แม้ว่าเขาต้องการที่จะโต้แย้งการกล่าวอ้างของซูหยาง เขาก็ไม่อาจหาข้อผิดพลาดใดในคำพูดของซูหยางได้

 

แตกต่างจากสามัญชน ความสัมพันธ์กับอายุของแต่ละคนนั้นแตกต่างไปในสายตาของผู้ฝึกยุทธและนี่ยิ่งเป็นจริงมากยิ่งขึ้นกับผู้ที่มีชีวิตนานมากพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนที่มีชีวิตชั่วนิรันดร์

 

“อย่างไรก็ตามทำไมเจ้ามิเริ่มบอกข้าว่าทำไมเจ้าจึงมาที่นี่ อย่าบอกนะว่าที่เจ้ามาที่นี่ทั้งหมดนี้ก็เพียงแค่เพื่อเรียกข้าว่าไร้ยางอาย ใช่ไหม”

 

“เจ้า… เจ้าไปไหนมาหลังจากที่เราแยกทางกันที่ประตูทางเข้า” ผู้อาวุโสจงตัดสินใจที่จะเก็บความคิดเห็นของตนเองไว้และตั้งคำถามซูหยาง

 

“ข้าจะไปไหนได้ ข้าก็อยู่ในห้องนี้ตลอดเวลากับเด็กสาวทั้งสองนั่นอย่างแน่นอน” ซูหยางกล่าว

 

“เช่นนี้เขามิมีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนึกกระบี่นั่น” ผู้อาวุโสจงแอบขมวดคิ้ว

 

ถ้าสำนึกกระบี่นั่นไม่ใช่ของซูหยาง แล้วนั่นจะเป็นของใคร และทำไมเขาจึงรู้สึกคลับคล้ายกับสำนึกกระบี่ของซูหยาง

 

“เจ้ามั่นใจในเรื่องนี้รึ” ผู้อาวุโสจงกดดันเขาต่อ

 

“ถ้าเจ้ายังคงสงสัยข้า เช่นนั้นเจ้าสามารถถามสองสาวได้ว่าก่อนหน้านี้พวกเรากำลังทำอะไรกันนับตั้งแต่ที่พวกเรามาถึงที่แห่งนี้” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

ผู้อาวุโสจงส่ายหน้า

 

“ลืมมันไปเถอะ”

 

ไม่นานนักหลังจากนั้น ผู้อาวุโสจงก็เอาบางอย่างออกมาจากชุดคลุมและโยนมันให้ซูหยาง

 

“แผ่นหยกสื่อสารรึ ของใครกัน” ซูหยางถาม

 

“นายหญิงน้อย” ผู้อาวุโสจงตอบ

 

“แต่ข้าต้องขอเตือนเจ้าว่าถ้าเจ้ากล้ามีความคิดสนุกอะไรกับนายหญิงน้อย ทั้งตระกูลซีจักต้องล่าหัวเจ้า และข้าจะเป็นคนแรกที่มองหาเจ้า”

 

“น่ากลัวจัง..” ซูหยางพูดอย่างไม่ใส่ใจ

 

“ถ้ามีทั้งหมดแค่นี้ เช่นนี้เจ้าก็ไปได้ ข้ายังมีธุระที่ไม่เสร็จกับสองสาวนั่นซึ่งเจ้ามาขัดจังหวะ” เขาพูดต่อ

 

ผู้อาวุโสจงยืนขึ้นจากเก้าอี้ของเขาและกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าคงมีข่าวร้ายมาให้เจ้า เจ้าซีแห่งตระกูลซีได้เรียกตัวเจ้า ดังนั้นข้าจักต้องพาเจ้ากลับไปที่ตระกูลซีพร้อมกับข้าตอนนี้”

 

“เจ้าต้องการข้าให้ไปที่ตระกูลซีรึ หรือว่าเจ้ามิกลัวว่าข้าอาจจะทำอะไรกับนายหญิงน้อยขณะที่ข้าอยู่ที่นั่น” ซูหยางหัวเราะ

 

“ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องนายหญิงน้อย เจ้าสามารถลืมเรื่องออกไปจากตระกูลซีได้เลยชั่วนิรันดร์” ผู้อาวุโสจงมองดูเขาด้วยสีหน้าเปี่ยมอันตราย

 

ซูหยางเพียงแค่ยักไหล่ แม้ว่าเขายังไม่มีเจตนาที่จะแตะต้องซีซิงฟางตอนนี้ แต่เขาก็อยากรู้ถึงความก้าวหน้าของเธอกับวิชาที่เขาได้ให้เธอไว้ ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธที่จะไปยังตระกูลซี

 

“เช่นนั้นก็ดี นำทาง”