บทที่ 551 วิหารเทพสังหาร

บัญชามังกรเดือด

บัญชามังกรเดือด บทที่ 551 วิหารเทพสังหาร

เมื่อเห็นว่าถงเหรินเป็นเสมือนเสือใกล้ตายอย่างไรอย่างนั้น พลังชีวิตพลันหายไปอย่างรวดเร็ว

จ้าวจิ่วรี่และหวังเยว่ไม่ได้จู่โจมต่อ

พวกเขาเองก็ลำบากใจเล็กน้อย

ไม่ต้องเอ่ยว่าสองรุมหนึ่ง คนหนึ่งนั้นโจมตีมือเปล่า ส่วนพวกเขานั้นใช้อาวุธ

เป็นการเอาชนะคู่ต่อสู้ไม่ได้อาศัยความกล้าหาญหรือสติปัญญาจริงๆ!

หากไม่ใช่เพราะการต่อสู้ครั้งนี้สำคัญเป็นอย่างมาก พวกเขาก็ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้

“ฆ่าพวกแก!”

“ฉันจะฆ่าพวกแก…” ถงเหรินเดินโซซัดโซเซ แต่ทว่ายังคงเปี่ยมล้มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้

ปากของเขาคำรามด้วยความโกรธ ยังคงเดินเข้ามาหาจ้าวจิ่วรี่และหวังเยว่โดยไม่หยุดนิ่ง

ภาพฉากนี้ทำให้ผู้ชมหลายร้อยคนต่างตะลึงงัน พวกเขาเฝ้ามองด้วยความเงียบ โดยเฉพาะคนในยุทธภพเหล่านั้น โดยที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ รู้สึกได้ถึงความเคารพต่อถงเหริน

สำหรับถงเหรินแล้ว ราวกับว่าตราบใดที่การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้น ความตายเท่านั้นถึงจะจบการต่อสู้ได้

ฉินเทียนขมวดคิ้วและมองไปทางลิเหลียง เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ถ้าคุณไม่บอกให้เขาหยุด เขาก็จะไม่กล้าหยุดใช่หรือไม่?”

ลิเหลียงยิ้มและกล่าว “ใช่”

“เป็นไงบ้าง ลูกน้องของฉัน ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ?”

ฉินเทียนเอ่ยอย่างเยือกเย็น “เขาแพ้แล้ว”

“ต่อไปก็ถึงตาของคุณแล้วใช่ไหม?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของลิเหลียงค่อยๆจางหายไป จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบ “ถอยออกไปซะ”

“ครับ คุณชาย!”

สิ่งที่ฉินเทียนพูดนั้นถูกต้อง ตราบใดที่ลิเหลียงไม่สั่งให้เขาหยุด ถงเหรินก็ไม่กล้าที่จะหยุดลงมือ แม้ว่าเลือดจะไหลจนหยดสุดท้ายก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด

แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขานั้นไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว

เมื่อได้ยินคำพูดของลิเหลียง เขาจ้องมองไปทางฉินเทียนราวกับซาบซึ้งอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นกลับไปยังข้างกายลิเหลียง

เขาทรุดตัวลงกับพื้นและสลบไป

ลิเหลียงไม่แม้แต่จะชายตาเหลียวแลถงเหรินเลยสักนิด ราวกับว่าเป็นเพียงเครื่องมือที่ไม่มีประโยชน์อะไร

ในที่สุดเขาก็ยืนขึ้น เดินไปยังจุดศูนย์กลางของเวทีเซวียนหยวน ยืนเอามือไพล่หลังด้วยท่าทีสบายๆ

กวาดสายตามองดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และเอ่ยด้วยเสียงเยือกเย็น “พวกนายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉัน”

“ไม่อยากตายก็หักแขนทั้งสองข้างของตัวเองทิ้งเสีย”

“ถือเสียว่าเป็นราคาของการทำร้ายผู้นำทัพของฉัน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนไม่ว่าจะอยู่บนเวทีหรือล่างเวทีต่างก็ตกตะลึง แม้ว่าก่อนหน้านี้จุยเฟิงจะเคยกล่าวไว้ ลิเหลียงเป็นยอดฝีมือที่หลบซ่อนตัว

แต่ทว่าจนกระทั่งตอนนี้ จากร่างกายของเขา ไม่สามารถมองเห็นได้ถึงท่าทีของยอดฝีมือเลยแม้แต่น้อย

ไม่ต้องพูดถึงคำว่ายอดฝีมือเลย ร่างกายของเขาผอมซูบ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงคุณชายผู้อ่อนแอ

คนเช่นนี้กล่าวว่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขางั้นเหรอ?

พละกำลังของดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ เมื่อสักครู่ก็ได้ประจักษ์แก่สายตาของทุกคนแล้ว

จ้าวจิ่วรี่และหวังเยว่จ้องมองลิเหลียงพวกเขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

หวังเยว่เอ่ยเย้ยหยัน “ฉันอยากเห็นนักว่าคนอย่างนายจะซ่อนตัวได้ล้ำลึกมากเพียงใด!”

ขณะพูด เขาก็เก็บมีดพระจันทร์เสี้ยว ก้าวเท้ายาวตรงไปหาลิเหลียง คิดจะจับกุมลิเหลียงด้วยมือเปล่า

“อย่า!”

ครั้นเห็นเช่นนี้ ฉินเทียนรู้สึกว่าท่าไม่ดีแล้ว อดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงออกมา

อย่างไรก็ตาม หวังเยว่ประเมินศัตรูต่ำไป เขากระตือรือร้นและพุ่งเข้าหาลิเหลียงที่อยู่ด้านหน้า มือคู่หนึ่งที่เหมือนตะขอเหล็กคว้าไหล่ของลิเหลียงไว้

ลิเหลียงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ปล่อยให้มือของหวังเยว่จับไหล่ทั้งสองข้างของเขาไว้อย่างนั้น ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มแปลกประหลาด

“คุกเข่าลงซะ!”

ภายในใจของหวังเยว่มีความสุขมาก เขาประสบความสำเร็จด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว เขาเอ่ยหนึ่งคราจากนั้นก็ออกแรงทันที

ท่ามกลางความประทับใจของเขา ครานี้ไม่ต้องเอ่ยว่าลิเหลียงนั้นเป็นเพียงคุณชายผู้อ่อนแอคนหนึ่ง ต่อให้เป็นวัวก็ยังต้องยอมจำนนคุกเข่า

ผู้ใดจะล่วงรู้ได้ ลิเหลียงนั้นกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย

ขณะนี้หวังเยว่สัมผัสได้ว่าท่าจะไม่ดีแล้ว สิ่งที่เขาคว้าด้วยมือทั้งสองข้างดูเหมือนจะไม่ใช่ไหล่ของมนุษย์ แต่ทว่าเป็นเสมือนลูกบอลหนังที่อัดแน่นไปด้วยอากาศ

ครั้นนึกถึงเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นกับถงเหริน สีหน้าของหวังเยว่พลันเปลี่ยนไป

ลิเหลียงยังคงยิ้มและยังคงยืนนิ่งงัน แต่ทว่าหวังเยว่รู้สึกประหลาดใจที่พบว่าร่างกายของเขาใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

นี่คือเรื่องจริงเหรอ?

มันต้องเป็นภาพลวงตาแน่นอน!

เขากัดฟันแน่น เขายังต้องการที่จะออกแรงต่อไป จะต้องสามารถจัดการลิเหลียงได้อย่างแน่นอน

ขณะนี้ ลิเหลียงหัวเราะออกมาในทันใด “นายไปตายได้แล้ว”

จากนั้นปล่อยหมัดออกมาทันที

ในขณะนี้ มือทั้งสองข้างของหวังเยว่อ้าออกและวางอยู่บนไหล่ของลิเหลียง ช่วงบริเวณหน้าอกนั้นไร้สิ่งป้องกันใด

เสียงปังดังขึ้น ลิเหลียงปล่อยหมัดกระแทกเข้าสู่หน้าอกของเขา

“อ๊าก!”

เสียงกรีดร้องดังขึ้น ทำให้ผู้คนทั่วทั้งหุบเขาตกตะลึงอย่างอดไม่ได้

เห็นเพียงหวังเยว่กระอักเลือดและลอยกระเด็นออกไป หลังจากลอยออกไปไกลจากเวทีเซวียนหยวนประมาณหลายสิบเมตร ร่างกายของเขาก็กระแทกลงบนพื้นหินอย่างรุนแรง

“พี่หวัง!”

“เหล่าหวัง!”

ด้านล่างเวที เทวดาเจ็ดดาวมีปฏิกิริยาตอบสนอง จากนั้นรีบพุ่งไปหาด้วยท่าทีหวาดกลัว

“เหล่าหวัง คุณเป็นอย่างไรบ้าง?”

“อดทนไว้!” จี้ตูประคองหวังเยว่เข้ามาอยู่ภายในอ้อมกอด ต้องการจะป้อนยาให้แก่เขา

หวังเยว่อ้าปาก ส่งเสียงเพียงหนึ่งคำ จากนั้นกระอักเลือดอีกสองสามครั้ง

เขามองดูใบหน้าคุ้นเคยที่อยู่รอบตัวเขา จากนั้นเขายิ้ม “เป็นฉันที่ประมาทเอง…”

“คาดไม่ถึงเลยว่าฉันหวังเยว่ผู้ที่ฉลาดเฉลียว กลับต้องมาตายเพราะความประมาท…”

เมื่อเอ่ยจบ คอของเขาเอียงเล็กน้อยจากนั้นก็สิ้นลมหายใจ

“พี่หวัง!”

“เหล่าหวัง!”

เทวดาเจ็ดดาวร้องไห้เสียงดังระงมด้วยความโศกเศร้า น้ำตาหลั่งรินเป็นสายเลือด

พวกเขาคิดอยากจะพุ่งตัวขึ้นไป คิดหาทางแก้แค้นเอาคืนลิเหลียง แต่ทว่าเมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นและเห็นลิเหลียงที่อยู่บนเวทีเซวียนหยวน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

ขณะนี้ บนเวทีเกิดความโกลาหลอลหม่าน

ลิฉุน เจี่ยงเถียนเถียน หลิวชิงเหยา ผู้หญิงทั้งสามคนเหมือนเสมือนนกตัวน้อยที่กำลังตื่นตกใจ หลบหนีด้วยความหวาดกลัว

เจี่ยงเส้า หยางหยวนชิ่ง หม่าจั๋วชุน หลินตง เหยียนซิว หลินหลง จ้าวเทียนเผิงและอานกั๋ว ทุกคนต่างลุกขึ้นยืน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงและหวาดผวา

จ้าวจิ่วรี่จับจี้ซิงไว้แน่น เอ่ยอย่างประหม่า “คุณชายน้อย อย่าได้หุนหันพลันแล่น อย่าได้ด่วนทําสิ่งใดลงไปด้วยความโกรธเลย!”

ลิเหลียงเปลี่ยนร่างแล้ว!

เห็นเพียงแต่เดิมทีเขานั้นสูงไม่ถึง180เซนติเมตรอีกทั้งร่างกายยังผอมบาง ในขณะนี้ ดูเหมือนว่าจะพองตัวด้วยอากาศ ร่างกายขยายจนสูงมากกว่า200เซนติเมตร

เสื้อบนร่างกายของเขาขาดวิ่น ผิวหนังที่แต่เดิมนั้นบอบบางและมีเนื้อหนัง ตอนนี้เป็นเสมือนก้อนหินแตกลาย

ภายในมีเส้นแถบสีแดงปูดนูนออกมา เหมือนไส้เดือนอัปลักษณ์อย่างไรอย่างนั้น โดดเด่นสะดุดตา

เพียงแค่เห็นเส้นเลือดเหล่านี้ อดไม่ได้ที่จะทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงเลือดที่สูบฉีดอยู่ภายในและพลุ่งพล่านอย่างบ้าคลั่ง

ราวกับว่าบนแผ่นดินนี้ มีพละกำลังที่ใช้อย่างไรก็ไม่สิ้นสุด ต้องการหาสถานที่ปลดปล่อย

และเมื่อได้ปลดปล่อยออกมาแล้ว หากไม่ใช่แผ่นดินถล่มก็อาจจะเป็นสึนามิ

“นี่คือทักษะการต่อสู้ประเภทไหนกัน?”

จี้ซิงยังคงตาแดงก่ำ ต้องการที่จะพุ่งเข้าไปล้างแค้นให้กับหวังเยว่ เมื่อได้เห็นภาพฉากนี้ เขาจ้องมองอย่างตะลึงงัน

“ฆ่าพวกแกแล้วก็จะได้เลื่อนสถานะเป็นสิบแปดเทพสังหาร”

“พวกเด็กน้อยไม่รู้เรื่องใด รับความตายไปเสีย!”

“ฮะฮ่า!”

ดวงตาของลิเหลียงแดงก่ำ เขาส่งเสียงร้องราวกับสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ ก้าวเท้าเข้าไปหาจี้ซิงและจ้าวจิ่วรี่

จี้ซิงและจ้าวจิ่วรี่ กำลังรู้สึกสยดสยองจนลืมที่จะหลบเลี่ยง

อีกอย่าง เมื่อได้เผชิญหน้ากับการกลายร่างเช่นนี้ พวกเขารู้สึกว่าหลบไปก็ไร้ซึ่งที่ซ่อน

ในช่วงเวลาสำคัญ ร่างหนึ่งพลันปรากฏตรงหน้าและขวางกั้นพวกเขาไว้

ใบหน้าของฉินเทียนเยือกเย็นและสงบนิ่ง นัยน์ตาคู่นั้นนิ่งสงบไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งตรงหน้า

เขาจ้องมองลิเหลียงและเอ่ยคำพูด“วิหารเทพสังหาร”

ครั้นได้ยินคำว่า “วิหารเทพสังหาร” ลิเหลียงที่สูญสิ้นสติไป พลันได้สติขึ้นมาเพียงเล็กน้อย

เขาจ้องมองฉินเทียน หัวเราะด้วยเสียงเย้ยหยัน “เด็กโง่เง่า ยังไม่คุกเข่าลงอีกหรือ!”

“ตราบใดที่พวกแกยอมจำนนและเชื่อฟังฉัน ฉันจะมอบชื่อเสียงความมั่งคั่งร่ำรวยที่คาดไม่ถึงให้แก่พวกแก!”

“หากกล้าต่อต้านขัดขืน จงตายอย่างไร้ที่กลบฝังเสีย!”

ขณะที่เขาพูด เขาก็กระทืบเท้าอย่างรุนแรง

เสียงกริ๊กดังขึ้น เวทีเซวียนหยวนพลันเป็นรอยแยก