ภาคใต้ฟ้ากว้างใหญ่ บทที่ 56 หักหลัง

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

สายตาของจั้นอู๋จี๋แปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบ เขาหันไปมองข้างหลังนางทันที

ซูหลียังไม่ทันหันกลับไป ก็ถูกคนสกัดจุดลมปราณจากข้างหลังก่อน ขณะเดียวกันก็รู้สึกเย็นวาบที่ลำคอ นางถูกคนจ่อคอด้วยกระบี่ แล้วดึงตัวถอยห่างไปหนึ่งจั้ง

สถานการณ์พลันพลิกผัน ทุกคนตกตะลึง

เจียงหยวนตวาดอย่างเกรี้ยวโกรธ “ฉินเหิง! เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!”

เดิมทีเป็นฝ่ายได้เปรียบ กุมสถานการณ์ทุกอย่างไว้ในกำมือ ทว่าทุกอย่างพลิกผัน กลับกลายเป็นตัวประกันภายใต้คมกระบี่ ซูหลีพลันรู้สึกหัวใจหนักอึ้งเหมือนถูกถ่วงเอาไว้ด้วยก้อนหิน ครั้งนี้นางเอาตนเองมาเสี่ยงอันตราย ระแวดระวังทุกอย่าง แต่นึกไม่ถึงว่าหมากตัวสุดท้ายของจั้นอู๋จี๋ กลับเป็นหนึ่งในสี่ทูตที่นางเชื่อใจมากที่สุด!

กู้เซี่ยงเทียนชี้กระบี่ไปที่ฉินเหิงด้วยความตกใจระคนเดือดดาล เขาตะคอกเสียงเข้ม “ปล่อยฝ่าบาทเดี๋ยวนี้!”

ฉินเหิงสายตาไม่วอกแวก จ้องมองพื้นทรายอันว่างเปล่าเบื้องหน้า แล้วตะโกนเสียงแหบว่า “อย่าเข้ามา!” มือของเขาสั่นเทาเล็กน้อย คมกระบี่จี้ไปที่ลำคอบาง หยดเลือดที่ไหลออกมาทำให้เหล่าเงาร่างที่คิดจะประชิดเข้ามาต่างชะงักหยุด

เจียงหยวนแทบไม่อยากเชื่อสายตา “ฉินเหิง! เจ้า!” เขาพูดอะไรไม่ออก นัยน์ตาที่เยือกเย็นสุขุมและเย็นชามาโดยตลอด ยามนี้กลับปรากฏแววเดือดดาลอย่างหาดูได้ยาก สหายที่เคยร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมากลับแปรพักตร์ในยามออกศึก! เพราะอะไรกัน?

คำถามมากมายผุดขึ้นมาในสมองของเจียงหยวน แต่เขากลับหาเหตุผลมาอธิบายให้ตนเองไม่ได้ ย้อนนึกไปถึงสำนักเฉินเหมินในอดีต ทุกคนมีชีวิตอยู่ในกำมือของอสูรในขุมนรก แม้แต่เซี่ยงหลีที่เคยมีชีวิตเรืองรอง และมีฉายาคุณชายมากรัก ก็ยังต้องปิดบังตัวตนที่แท้จริงต่อชาวโลก พวกเขาล้วนเป็นนักฆ่าที่ไม่อาจเปิดเผยตัวตนต่อผู้ใดได้! ถูกคนบงการชีวิต ไม่มีอิสระ เมื่อซูหลีปรากฏตัว นางก็เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้พวกเขามีอิสระที่จะเลือกเส้นทางชีวิตและอนาคตของตนเอง

หลายปีมานี้ ทั้งสี่ทูตจากที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ต่างคนต่างทำภารกิจของตนเอง จนต่อมากลายเป็นสหายที่รู้ใจกัน ฝากฝังชีวิตและพึ่งพาซึ่งกันและกัน เพราะพวกเขามีศรัทธาเป็นหนึ่งเดียวกัน และศรัทธานั้นก็คือซูหลี ผู้ซึ่งนำทางพวกเขาไปสู่แสงสว่างมาโดยตลอด!

เขาจ้องหน้าฉินเหิงด้วยสายตาโกรธขึ้ง ฉินเหิงกลับทำหน้าเด็ดเดี่ยว หลุบตาต่ำ เจียงหยวนขมวดคิ้ว พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ เขากัดฟันแล้วก้าวไปข้างหน้า ฉินเหิงกุมตัวซูหลีแน่นอย่างระแวดระวัง

เจียงหยวนกล่าวเสียงขรึม “เจ้า! คิดทรยศมานานแล้วหรือ?!”

สายตาของฉินเหิงสั่นระริก เขาไม่ตอบคำถาม แต่มือที่จับกระบี่ กลับสั่นเทาเล็กน้อย

ซูหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กลุ่มคนชุดดำที่ขัดขวางเจียงหยวนในครั้งนั้น เป็นฝีมือเจ้าหรือ?”

กระบี่ของฉินเหิงกระตุกไปนิดหนึ่ง

ซูหลีแสยะยิ้มเยือกเย็น “ดีเหลือเกิน ข้ามอบเฉินเหมินให้เจ้าดูแล แต่เจ้ากลับใช้มันมาเล่นงานข้า! เพราะอะไรกันแน่?”

ฉินเหิงไม่พูดอะไร อารมณ์สับสนพาดผ่านนัยน์ตาที่หลุบต่ำของเขา กระบี่ในมือสั่นไหวเบาๆ ราวกับว่ามันหนักมาก จนแทบจับไม่อยู่

สายตาของจั้นอู๋จี๋ไหวระริก เขาก้าวเท้าเข้ามา ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าเองก็อย่าตำหนิเขาเลย เขาทำอย่างนี้ไม่ใช่การหักหลัง แต่เป็นการภักดีต่อประเทศชาติของตนเองต่างหาก!”

ซูหลีเบิกตากว้าง ในใจนางทั้งตกตะลึงทั้งสับสน ได้ยินเพียงเจียงหยวนกล่าวด้วยความพรึงเพริด “ฉินเหิงเป็นคนแคว้นหวั่นหรือ?! เป็นไปไม่ได้ แขนของเขาไม่มีสัญลักษณ์อะไรนี่!”

รู้จักกันมานานหลายปี ไม่ว่าจะเป็นลายสักรูปปลา หรืออักษรคำว่า ‘หวนคืน’ ที่เมื่อโดนน้ำแล้วจะปรากฏ เขาไม่เคยเห็นเลยสักอย่าง!

จั้นอู๋จี๋ยิ้มเยาะ “ในอดีต ไม่ใช่เด็กทุกคนที่ท่านน้าเยวี่ยหยางส่งออกจากเมืองจะมีรอยสักกันหมด!”

“เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนแคว้นหวั่น?” พลันนั้น เจียงหยวนจำได้ว่าฉินเหิงมีหยกที่เป็นของบรรพบุรุษของเขาอยู่ชิ้นหนึ่ง ที่ไม่ค่อยแสดงให้ใครเห็น เจียงหยวนเองก็เคยเห็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เขาอดกล่าวด้วยความตกตะลึงไม่ได้ “หยกชิ้นนั้นงั้นหรือ?!”

สายตาของฉินเหิงวูบไหว เขาเบือนหน้าไปเล็กน้อย ไม่กล้าสบตาเจียงหยวน

เจียงหยวนพลันนึกเสียใจ เขาเคยคิดว่าคนที่มีหยกบรรพบุรุษเช่นนั้น จะต้องมีชาติกำเนิดที่ไม่ธรรมดาแน่นอน แต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นทายาทของคนแคว้นหวั่น!

ซูหลีพลันถาม “หานอี้เป็นอะไรกับเจ้า?”

จั้นอู๋จี๋หัวเราะเสียงดัง “เจ้าช่างเป็นคนฉลาดรอบคอบนัก ข้าจะบอกความจริงให้เจ้ารู้ ฉินเหิงก็คือลูกชายคนที่สองของแม่ทัพหานเซิง แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่และจงรักภักดีของแคว้นหวั่นเรา หานอี้ที่เจ้าออกหมายจับ ก็คือพี่ชายสายเลือดเดียวกันของเขา! การที่เขาจะจับตัวเจ้า ก็ไม่ใช่เรื่องผิด”

ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง! มิน่าเล่านางสั่งให้เขาไปสืบเบาะแสของหานอี้หลายเดือนแล้วก็ยังไร้ร่องรอย ที่แท้หานอี้ก็เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขา! คาดว่าการลักพาตัวหานอี้ไป ก็เป็นฝีมือของเขาเช่นกัน

ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงใจเย็น “ลักลอบเข้าไปในบ้านของเซี่ยอวิ๋นเซวียนกลางดึก และช่วงชิงภาพร่างที่สนามในคลังแสง ล้วนเป็นฝีมือของเจ้า?”

ฉินเหิงก้มหน้า ยังคงไม่ยอมพูดอะไร

ซูหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงแช่มช้า “สมแล้วที่เป็นคนสำคัญของข้า หลายปีมานี้แสดงละครตบตาได้แนบเนียนเพียงนี้ ข้ากลับดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อย”

คมกระบี่ที่จี้ลำคอบางพลันสะดุดไปนิด ฉินเหิงหุบปากไม่ยอมพูดอะไร เหลือบเห็นแขนเสื้อของเจียงหยวนขยับเล็กน้อย สายตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นเข้มขรึม รีบล้วงขวดกระเบื้องสีขาวออกมาจากอกเสื้อ

นั่นเป็นยาแก้พิษที่เจียงหยวนทำขึ้นเองกับมือ ซูหลีกับทูตทั้งสี่มีกันคนละขวด ไม่ว่าจะเป็นพิษในอากาศชนิดใด หากอยู่ต่อหน้ายาแก้พิษขวดนี้ ก็จะไม่สามารถออกฤทธิ์ใดได้อีก เจียงหยวนชะงักหยุดทันที ของที่มีไว้เพื่อป้องกันศัตรู สุดท้ายกลับถูกใช้ป้องกันตัวเขาเอง เจียงหยวนกำหมัดแน่น นัยน์ตาที่ไม่เคยแยแสต่อสิ่งใด ยามนี้กลับเย็นชาดุจน้ำแข็งพันปี

ฉินเหิงไม่มองหน้าเขาอีก เพียงใช้ชีวิตซูหลีข่มขู่กู้เซี่ยงเทียนให้นำทัพทหารชุดเกราะออกไปจากที่นี่ กู้เซี่ยงเทียนเป็นห่วงความปลอดภัยของซูหลี ไม่กล้าขัดขืน แต่ก็ไม่กล้าถอยออกไปจริงๆ เขาสั่งให้กองทัพหทารค่อยๆ ถอยห่างออกไป พลางจ้องมองกระบี่ในมือฉินเหิงไม่ละสายตา

ซูหลีพยายามคลายจุดลมปราณ จนใจที่กำลังภายในยังไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม ซ้ำยังตั้งครรภ์อยู่ด้วย จึงไม่กล้าวู่วาม ทำได้เพียงประวิงเวลาด้วยการพูดเสียงขรึมว่า “จั้นอู๋จี๋ เจ้าหนีไม่รอดหรอก แม้จะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนชะตากรรมของเจ้าได้แล้ว”

จั้นอู๋จี๋แสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย แล้วกล่าวว่า “นั่นก็ยังไม่แน่ มีเจ้าอยู่ในกำมือ แม้ตงฟางเจ๋อจะร้ายกาจอีกเพียงใด ก็ไม่กล้าทำอะไรข้าหรอก”

“เช่นนั้นหรือ?” ซูหลียิ้มเย็น “ข้าไม่ได้โลกสวยอย่างเจ้า ยามนี้แคว้นเปี้ยนตกอยู่ในกำมือเขาแล้ว หากข้าตาย แคว้นติ้งก็จะกลายเป็นของเขา เมื่อถึงยามนั้นสามแคว้นรวมเป็นหนึ่ง โลกนี้กลายเป็นของเขา ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของเขาก็จะกลายเป็นจริง”

จั้นอู๋จี๋ได้ยินก็หัวเราะเสียงดัง เหมือนอ่านจุดประสงค์นางออกตั้งแต่แรกแล้ว เขายิ้มหยันแล้วกล่าวว่า “เจ้าประเมินค่าตนเองต่ำไปแล้ว หากเจ้าตายไปจริงๆ แม้ตงฟางเจ๋อจะได้ครองโลก ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี” เอ่ยจบเขาก็ไม่เสียเวลาอีก หันไปออกคำสั่งกับฉินเหิงว่า “ขึ้นรถ”

ฉินเหิงคุมตัวซูหลีให้ก้าวขึ้นรถม้า ฮั่วเสี่ยวหมานขานเรียกด้วยความร้อนใจ “ฉางเล่อ!”

“พานางกลับไป” ซูหลีตะโกนเสียงดัง แต่กลับสายไปเสียแล้ว เจียงหยวนยังไม่ทันทำอะไร ฮั่วเสี่ยวหมานก็วิ่งเข้ามาถึงรถม้า แล้วตะโกนเสียงดัง “พวกเจ้าจะพาฉางเล่อไปไม่ได้นะ!” นางยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค ก็ถูกชายชุดดำตีต้นคอจนสลบ แล้วจับโยนเข้าไปในรถ

ซูหลีหน้าเปลี่ยนสี ยังไม่ทันพูดอะไร ก็รู้สึกชาที่ต้นคอ ไม่นานก็หมดสติไป

ฮ่องเต้หญิงที่ตั้งครรภ์ทายาทของฮ่องเต้แคว้นเฉิงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย! คนของสองแคว้นใหญ่อกสั่นขวัญหาย สถานการณ์โกลาหลวุ่นวาย ไม่นานหลังจากนั้น สองแคว้นได้รับจดหมายจากจั้นอู๋จี๋ในเวลาเดียวกัน ในจดหมายกล่าวว่าต้องการให้ขุนนางขั้นสามขึ้นไปของทั้งสองแคว้นออกเดินทางไปยังเมืองเหลียวเฉิงของแคว้นเปี้ยนในวันก่อนวันปีใหม่ ไม่เช่นนั้นฮ่องเต้แคว้นติ้งกับเด็กในท้องของนางจะต้องตาย

ครั้นข่าวถูกส่งไปยังด่านหน้า ตงฟางเจ๋อเดือดดาลสุดขีด ตบโต๊ะหนังสือที่ทำจากไม้การบูรตรงหน้าจนแหลกเป็นชิ้นๆ ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากนี้ เขาจะทำเรื่องน่ากลัวอะไรได้บ้าง

………………………