ภาคใต้ฟ้ากว้างใหญ่ บทที่ 57 มารในใจเขา

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

หนาว หนาวไปถึงกระดูก ราวกับร่างกายใกล้จะกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว

ร่างกายของซูหลีสั่นเทา นางลืมตามองรอบตัว หิมะโปรยปรายทั่วท้องฟ้า โลกทั้งใบราวกับมีเพียงแค่สีนี้สีเดียว

“ตื่นแล้วหรือ?” ซูหลียังไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด เสียงเหี้ยมเกรียมของจั้นอู๋จี๋ก็ดังมาจากข้างหลัง “ได้เวลาพอดี”

ซูหลีจ้องหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา ไม่พูดอะไร นางขยับมือและเท้าเงียบๆ พบว่าแขนขาทั้งสี่ข้างแข็งกระด้าง ขยับเขยื้อนลำบาก เพราะกำลังภายในยังไม่ฟื้นกลับมา จึงไม่สามารถใช้วรยุทธ์ได้ ยามนี้ท้องของนางโตกว่าหนึ่งเดือนก่อนมาก ไม่รู้เพราะสัมผัสได้ถึงความเหน็บหนาวทางร่างกายหรืออย่างไร เด็กในท้องจึงดิ้นอยู่ตลอดเวลา นั่นทำให้ซูหลีสบายใจขึ้นมาก อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าเด็กยังคงเติบโตอยู่ในร่างกายนาง

นางลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก หันไปเห็นฮั่วเสี่ยวหมานที่นอนอยู่บนพื้นหิมะข้างหลังนาง แน่นิ่งไม่ขยับ ก็อดตกใจไม่ได้ รีบตบแก้มฮั่วเสี่ยวหมาน แล้วขานเรียกเบาๆ “พี่สะใภ้ ตื่นเร็วเข้า!”

ฮั่วเสี่ยวหมานค่อยๆ ลืมตา นางมองซูหลีด้วยสายตาเลื่อนลอยไร้จุดหมายครู่หนึ่ง ไม่นานก็ค่อยๆ ได้สติ รีบกุมมือซูหลี แล้วถามด้วยความแตกตื่น “พวกเราอยู่ที่ไหนกัน?”

ครั้นเห็นนางไม่เป็นอะไร ซูหลีจึงวางใจ นางกวาดมองรอบกาย แล้ววิเคราะห์อย่างละเอียด ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยน้ำแข็งและหิมะที่สะสมอยู่บนพื้น อากาศหนาวเหน็บเสียดแทงกระดูก ไกลออกไปมองเห็นยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ กำลังส่องแสงสีขาวแยงตาอยู่ภายใต้แสงตะวัน เห็นได้ชัดว่าเป็นภูเขาสูงลูกหนึ่ง แต่กลับเหมือนอยู่ต่ำลงไปใต้เท้านาง นางตกตะลึง หันไปมองปากหุบเขาอันคับแคบ แล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “ยอดเขาเสวี่ยหลง ในเมืองเหลียวเฉิงแห่งแคว้นเปี้ยน”

ถูกจับตัวมาหนึ่งเดือนครึ่ง ขณะสติเลือนรางก็ถูกพาตัวออกมาไกลนับพันลี้ ครั้นลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลับใจเย็นได้ถึงเพียงนี้ จั้นอู๋จี๋กระดกคิ้วแล้วกล่าวว่า “ควบคุมตนเองได้ดี ความจำก็ไม่เลว”

ซูหลีหันไปหัวเราะ สายตากลับเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง “กองทัพของตงฟางเจ๋อปักหลักอยู่ที่เมืองเหลียวเฉิงอยู่แล้ว จั้นอู๋จี๋ เจ้ากล้าพาข้ามาที่นี่ เป็นการรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”

ทั้งที่ตกอยู่ในฐานะตัวประกัน สภาพก็ดูไม่ได้ ทว่าราศีของประมุขกลับยังคงไม่ลดลงแม้แต่น้อย และน้ำเสียงดูแคลนของนาง ก็เหมือนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยสักนิด

สีหน้าจั้นอู๋จี๋เย็นชา พลันประชิดตัวนางด้วยสายตาโหดเหี้ยม บีบคอนาง แล้วบอกว่า “ดูเหมือนตลอดเส้นทางมานี้ ข้าคงเกรงใจเจ้ามากไป จนกระทั่งถึงยามนี้ เจ้าก็ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ของตนเองอีก!”

ซูหลีหายใจลำบาก แต่กลับไม่ลนลาน ยิ่งสถานการณ์เลวร้าย นางยิ่งต้องประคองสติเข้าไว้ “เป็นเพราะข้าไม่คาดคิด และไม่ได้ระวังคนใกล้ตัว ถึงได้พลาดท่าให้เจ้า ศึกครั้งนี้ เริ่มแรกข้าเป็นฝ่ายแพ้ แต่บทสรุปสุดท้ายเจ้าอาจไม่ใช่ผู้ชนะ! อย่างน้อย ข้าก็ทำให้เจ้าแสดงตนสำเร็จแล้ว เจ้าไม่มีโอกาสหลบซ่อนเพื่อบงการแผนชั่วอยู่เบื้องหลังอีกต่อไปแล้ว”

นางยอมรับความพ่ายแพ้อย่างองอาจผ่าเผย ไม่ตำหนิคนที่ทรยศนางสักคำ จั้นอู๋จี๋ประหลาดใจ อดเลื่อมใสในตัวนางไม่ได้ ฉินเหิงที่อยู่ไม่ไกลก้มหน้าต่ำ ได้แต่กำหมัดแน่นอย่างพูดอะไรไม่ออก

จั้นอู๋จี๋ยิ้มอย่างชั่วร้าย แล้วกล่าวว่า “มีเจ้าอยู่ในกำมือข้า ข้ายังจะต้องหลบซ่อนไปไยอีก ส่วนบทสรุปของศึกครั้งนี้ ผ่านพ้นวันนี้ไปก็จะรู้เองว่าใครจะเป็นฝ่ายแพ้ชนะ แต่ก่อนหน้านั้น เจ้าต้องทำความเข้าใจเรื่องหนึ่งก่อน เจ้าจะอยู่หรือตาย ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของข้า”

ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยวชั่วร้าย นิ้วมือกลับค่อยๆ กำเข้าหากัน ลำคอยาวระหงในฝ่ามือใหญ่ที่ราวกับจะหักได้ทุกเมื่อ ยิ่งกระตุ้นความป่าเถื่อนและความโหดเหี้ยมในใจเขา เขาจ้องหน้าซูหลีนิ่งๆ เห็นดวงหน้านางแดงก่ำมากขึ้นเรื่อยๆ สายตากลับยังคงมีแต่แววเย้ยหยัน ไร้ซึ่งความกริ่งเกรง สายตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เสี้ยววินาทีหนึ่ง เขาอยากจะบีบคอนางให้ตายจริงๆ แล้วดูว่าตงฟางเจ๋อจะมีสภาพเป็นเช่นไร!

ฮั่วเสี่ยวหมานตกใจหน้าเปลี่ยนสี รีบพุ่งตัวเข้ามาตะโกนเสียงดัง “เจ้าปล่อยฉางเล่อเดี๋ยวนี้นะ! เจ้าปล่อยนางเดี๋ยวนี้!”

ครั้นเห็นว่าดึงมือเขาไม่ออก ฮั่วเสี่ยวหมานร้อนใจจึงก้มหน้ากัดมือเขาเต็มแรง

จั้นอู๋จี๋นึกไม่ถึงว่านางจะทำอย่างนี้ เขาปล่อยซูหลี แล้วสะบัดฮั่วเสี่ยวหมานออกไป ฮั่วเสี่ยวหมานปลิวออกไปดุจว่าวที่เชือกขาด ร่างบางกระแทกเข้าที่ข้างหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งในหุบเขา กระอักเลือดออกมาคำใหญ่

ซูหลีหน้าเปลี่ยนสี ตะโกนเรียกด้วยความตกใจ “พี่สะใภ้!”

นางพยายามจะลุกขึ้นไปหาฮั่วเสี่ยวหมาน แต่กลับถูกจั้นอู๋จี๋ดึงไว้ ซูหลีขัดขืนไม่ไหว ร่างกายอันหนักอึ้งทำให้นางไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน ทำได้เพียงเงยหน้ามองเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จั้นอู๋จี๋ หากเจ้าอยากจะฆ่าข้า ย่อมง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ แต่เจ้ากล้าไหมเล่า?”

ตลอดเส้นทาง เขาทำทุกวิถีทางเพื่อจะพานางออกจากแคว้นติ้งมาที่เมืองเหลียวเฉิง ไม่ได้เพื่อจะฆ่านางเฉยๆ อย่างแน่นอน เมืองเหลียวเฉิงมีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด เข้าได้แต่ออกไม่ได้ เขากล้าพานางมาที่นี่ จะต้องมีจุดประสงค์อื่นเป็นแน่

ซูหลีจ้องตาเขาแน่นิ่ง จั้นอู๋จี๋พลันตึงเครียดอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ เขาผลักนางลงบนพื้นอย่างแรง แล้วก้มมองลงมา “ข้าจะฆ่าเจ้าแน่! ไม่ช้าก็เร็ว”

เขาหันไปส่งสายตาให้คนชุดดำ คนชุดดำรีบคุมตัวนางแล้วลากไปที่ริมสระน้ำแข็ง

ซูหลีถูกกดหน้าลงไปในสระน้ำ เพื่อปกป้องเด็กในท้อง นางพยายามยืดร่างกายท่อนบนขึ้น นิ้วมือกลับจมเข้าไปในน้ำ ความเย็นซึมจากปลายนิ้วลึกเข้าสู่หัวใจทันที นางพยายามควบคุมร่างกายตนเองไม่ให้สั่น

จั้นอู๋จี๋ค่อยๆ เดินมาหานาง ยืนชมสภาพน่าสมเพชของนางที่หาดูได้ยาก จากนั้นก็ถามอย่างมีเจตนาร้าย “จำที่นี่ได้หรือไม่?”

ซูหลีขมวดคิ้วแน่น ไม่ตอบคำถามเขา มือของนางเย็นจนค่อยๆ แข็งกระด้าง

จั้นอู๋จี้ย่อกายนั่งลง แล้วยิ้มอย่างมีเจตนาร้าย “ตอนนั้น เพื่อแก้พิษยาไร้รักในตัวเจ้า ตงฟางเจ๋อไม่สนใจพิษเย็นในร่างกายตนเอง ดำลงไปหายาวิเศษใต้สระน้ำแห่งนี้ด้วยตนเอง จนเกือบตายอยู่ที่นี่แล้ว ความรักของเขา ช่างน่าซาบซึ้งยิ่งนัก จิ๊ๆ แม้แต่ข้าก็ยังอดเลื่อมใสไม่ได้”

“เจ้าจะพูดอะไรกันแน่?” ซูหลีอดทนต่อความหนาวเหน็บที่กัดกินไปจนถึงกระดูก แล้วถามอย่างใจเย็น

จั้นอู๋จี๋หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแช่มช้าว่า “ตอนนั้นเพื่อเจ้า เขากลับมีชีวิตรอดกลับขึ้นมาจากก้นสระน้ำแห่งนี้ได้ แต่วันนี้หากเขาต้องการช่วยเจ้า กลับจำต้องตายอยู่ในสระน้ำอันหนาวเหน็บแห่งนี้! ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ ทิวทัศน์งดงาม น้ำสีเขียวมรกตใสกระจ่าง ไม่มีที่ใดเทียบได้ เป็นหลุมฝังศพที่ข้าตั้งใจเลือกให้พวกเจ้าอย่างดี! เจ้าชอบหรือไม่?”

สายตาของซูหลีไหวระริกเล็กน้อย ทว่าไม่นานก็กลับไปเป็นปกติ หากเพียงเพื่อเอาชีวิตรอด เขาไม่มีทางเลือกเมืองเหลียวเฉิง เขาจะต้องมาที่นี่เพื่อแก้แค้นอย่างแน่นอน

นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม “ตอนนั้นตงฟางเจ๋อใช้หยางเสวียนบังคับให้เจ้าปรากฏตัว แต่เจ้าเลือกเอาตัวรอด ทอดทิ้งหยางเสวียนกับลูกในท้องนางอย่างไม่แยแส! วันนี้ เจ้าคิดจะใช้วิธีเดียวกัน ทำให้ตงฟางเจ๋อกลายเป็นตัวเจ้าในอดีต! แต่น่าเสียดาย เจ้าไม่ใช่เขา เขาไม่มีวันกลายเป็นเหมือนเจ้า และข้า ก็ไม่ใช่หยางเสวียน! คิดจะใช้ข้าบังคับให้เขายอมตาย เจ้าไม่มีทางสมหวังแน่ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า เจ้าก็ฆ่าเขาไม่ได้”

“พูดได้ดี!” นางเข้าใจสถานการณ์ได้รวดเร็วเช่นนี้ จั้นอู๋จี๋อดชื่นชมไม่ได้ น้ำเสียงเย็นชาดุจดาบน้ำแข็ง สายตาจับจ้องดวงหน้าซูหลี ปรบมือแล้วหัวเราะพลางกล่าวว่า “ก็เพราะตงฟางเจ๋อไม่ใช่ข้า ฉะนั้นแผนของข้าจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอนอย่างไรเล่า! ข้าอาจจะฆ่าเขาไม่ได้ แต่เจ้าทำได้ เจ้าไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ชีวิตของเจ้า ก็เอาชีวิตเขาได้แล้ว!”

ในที่สุดสีหน้าซูหลีก็แปรเปลี่ยนไป จั้นอู๋จี๋หัวเราะเสียงดัง ท่ามกลางเสียงหัวเราะย่ามใจของเขา ซูหลีรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว แทบจะจินตนาการได้ถึงเหตุการณ์อันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น

ครั้นมองเห็นความกังวลและความโกรธเกรี้ยวที่ปิดไม่มิดของนาง จั้นอู๋จี๋ก็อารมณ์ดีขึ้นมาก เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ แล้วแสยะยิ้มชั่วร้ายราวกับปีศาจ ก่อนจะพูดต่อว่า “เจ้าจะได้เห็นเขาตายไปต่อหน้าต่อตา! ทุกคน จะทำได้เพียงมองดูเขาตายไปต่อหน้าต่อตาเท่านั้น!”

ครั้นนึกถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาพลันรู้สึกเบิกบานใจ ราวกับศัตรูที่เขาเกลียดแค้นที่สุดได้ตายไปแล้ว ความปรารถนาทั้งหมดของเขาได้ลุล่วงแล้ว ประกายดีใจและแววกระหายเลือดพาดผ่านดวงตาของเขา

นัยน์ตาซูหลีหดเล็กลง พูดอะไรไม่ออก บนท้องฟ้าที่ไกลออกไป พยับเมฆลอยบดบังดวงตะวัน ท้องฟ้าเริ่มมืดมน ราวกับเป็นลางร้ายอย่างหนึ่ง ร่างกายของซูหลีเหน็บชาไปครึ่งท่อน นางทนไม่ไหวอีกต่อไป ร่างกายสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม

“ในที่สุดเจ้าก็เริ่มกลัวแล้ว” จั้นอู๋จี๋จ้องหน้านางอย่างย่ามใจ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้ากำลังคิดว่า…ขออย่าให้ตงฟางเจ๋อปรากฏตัวเลย?”

ซูหลีหอบหายใจ พยายามปกป้องท้องที่โตอย่างยากลำบาก นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เห็นดวงตาคมปลาบดุจมีดดาบของเขา พลันมีประกายแห่งความหวังพาดผ่านไปอย่างรวดเร็วจนแทบสังเกตไม่เห็น นางพลันหัวเราะออกมา

จั้นอู๋จี๋ขมวดคิ้วอย่างตกตะลึง “เจ้าหัวเราะอะไร?”

ซูหลีพยายามผลักชายชุดดำข้างหลังออก แล้วใช้มือซ้ายที่แข็งกระด้างไปแล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง มองหน้าเขา จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “เจ้าอยากได้ยินคำตอบแบบไหนจากปากข้างั้นหรือ?”

อาจเพราะสายตานางดูเสียดสีและถากถางชัดเจนเกินไป ทำให้เขากระจ่างในทันทีว่า นางมองเห็นบาดแผลที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจเขาแล้ว บาดแผลที่เขายังไม่อาจเผชิญหน้ากับมันได้ ใบหน้าของเขาพลันตึงเครียดทันที

ซูหลียิ้มหยัน “เจ้าอยากได้ยินข้ออ้างที่ฟังดูสมเหตุสมผล เพื่อปลอบประโลมการกระทำของเจ้าในอดีตจากปากข้าเช่นนั้นหรือ? น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่หยางเสวียน แม้ว่าในอดีต หยางเสวียนจะหวังว่าเจ้าจะไม่ไปช่วยนางจริงๆ แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเรื่องจริงที่เจ้าทิ้งพวกนางสองแม่ลูกไป เดิมทีนางอาจไม่ต้องตาย แต่เป็นเจ้าที่ทำให้นางตาย…”

“หุบปาก!” ราวกับถูกมีดแหลมกรีดซ้ำที่แผลเดิม จั้นอู๋จี๋ทั้งอับอายจนพานโกรธ เขาบีบคอนางอีกครั้งด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล เสียงของซูหลีเงียบหายไปทันที

ซูหลีพูดไม่ออก ใบหน้ากลับสะท้อนแววถากถางชัดเจน จั้นอู๋จี๋เองก็ใช่ว่าจะไร้จุดอ่อน การตายของหยางเสวียน คือมารในใจที่เขาไม่อาจข้ามผ่านไปได้ ซูหลีอดทนต่อความเจ็บปวด พยายามดึงมือของเขา ปลายเล็บจิกเข้าไปในเนื้อของเขา กลิ่นจางๆ กลิ่นหนึ่งลอยโชยออกมาจากแขนเสื้อของเขา ซ่อนอยู่ภายใต้กลิ่นหอมฉุนอันรุนแรง กลิ่นนั้นจางจนแทบไม่อาจสัมผัสได้ ซูหลีชะงักเล็กน้อย นางยังไม่ทันแยกแยะอย่างละเอียด ฉินเหิงก็รีบโฉบเข้ามา ใช้ด้ามกระบี่ปัดมือของจั้นอู๋จี๋ออก แล้วประคองซูหลีให้ถอยหนีไปหลายก้าว

…………………………