ฉินเหิงใช้กระบี่ปัดมือจั้นอู๋จี๋อย่างแรง จั้นอู๋จี๋พลันรู้สึกเจ็บและชาไปทั้งแขน เขาตวัดสายตาดุดันมาที่ฉินเหิง แล้วตวาดเสียงเกรี้ยว “เจ้ากล้าทำร้ายข้าหรือ!”
ฉินเหิงมองหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงใกล้จะมาถึงแล้ว เจ้าฆ่านางตอนนี้ พวกเราก็ต้องตายกันหมด!”
สายตาของจั้นอู๋จี๋พลันสะดุดกึก แววบ้าคลั่งในดวงตาจางหายไปอย่างรวดเร็ว มองดูร่างกายที่สั่นเทาเพราะการไออย่างรุนแรงของนาง เขาขมวดคิ้วแล้วแค่นหัวเราะเย็นชา “เกือบหลงกลเจ้าเข้าแล้วสิ! นึกไม่ถึงว่าเจ้าถึงขั้นยอมตายเพื่อตงฟางเจ๋อ ยอมทิ้งได้แม้กระทั่งชีวิตของเด็กในท้อง! บางที…นี่อาจเป็นความรู้สึกที่แท้จริงของหยางเสวียนในตอนนั้นก็ได้…”
เขารังแกคนถึงขนาดนี้ ซูหลีรู้สึกเพียงน่าขันยิ่งนัก นางมองแขนเสื้อสีน้ำตาลเข้มที่แคบและรัดกุมของจั้นอู๋จี๋ ในใจเต็มไปด้วยคำถามมากมาย นักรบที่ผ่านสงครามนองเลือดมานับครั้งไม่ถ้วนอย่างจั้นอู๋จี๋ มีนิสัยชอบเสื้อผ้าที่มีกลิ่นหอมตั้งแต่เมื่อใดกัน? โดยเฉพาะในเวลาอย่างนี้ เขายังมีแก่ใจใส่ใจเรื่องพวกนี้อีกหรือ? ไม่สิ จะต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ กลิ่นหอมฉุนขนาดนี้ มีความเป็นไปได้เดียวคือใช้กลบกลิ่นที่ไม่อยากให้นางรู้เท่านั้น
มันคืออะไรกันแน่?
ขณะที่ซูหลีกำลังใช้ความคิด ก็มีชี่แท้ถูกถ่ายเทเข้ามาในร่างกายจากข้างหลังเงียบๆ ร่างกายอันหนาวเหน็บของนางพลันอบอุ่นขึ้นมาก อาการแน่นหน้าอกก็ดีขึ้นไม่น้อย มีเพียงมือซ้ายที่ยังคงแข็งกระด้างอยู่ นางหันกลับไปมองฉินเหิงด้วยความประหลาดใจ ฉินเหิงกลับถอยห่างออกไปสองก้าวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็ชำเลืองมองไปทางตีนภูเขา “มากันแล้ว”
จั้นอู๋จี๋ทำหน้าขึงขัง “พานางไป”
ชายชุดดำสองคนพาตัวซูหลีไปที่หน้าสระน้ำ สกัดจุดลมปราณนาง ทำให้นางขยับเขยื้อนไม่ได้ กระบี่คมสองเล่มพาดคอนางจากด้านซ้ายและด้านขวา ตำแหน่งที่นางยืนอยู่เป็นจุดเดียวที่สามารถมองเห็นเส้นทางขึ้นเขาจากปากหุบเขาได้
ทางเข้าอันคับแคบเปรียบเสมือนเส้นแบ่งเขตแดน ข้างในหุบเขา เหล่าชายชุดดำกระจายตัวอยู่รอบสระน้ำแข็งอย่างแน่นหนา นอกหุบเขา คนของสำนักเฉินเหมินกระจายตัวอยู่รอบทางขึ้นเขา
จั้นอู๋จี๋กล่าวว่า “มีแค่คนที่ข้าบอกเท่านั้นที่ปล่อยให้ขึ้นมาบนเขาได้ คนอื่นๆ ที่เหลือ จับตาดูไว้ให้ดี!”
ฉินเหิงไม่ได้รับคำ เขาหมุนกายเดินไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ จั้นอู๋จี๋พลันรู้สึกไม่วางใจ จึงเอ่ยเตือนว่า “ฉินเหิง เจ้าอย่าคิดจะเล่นลูกไม้กับข้า ถึงแม้เจ้าจะช่วยชีวิตลูกของพวกเขาไปได้แล้ว แต่พี่ชายกับพี่สะใภ้ของเจ้ายังอยู่ในกำมือข้า!”
ฉินเหิงชะงักเท้า เขาไม่ได้หันกลับมา แผ่นหลังอันแข็งแกร่งหยัดยืนอยู่หน้าหุบเขา คล้ายกำลังพยายามข่มกลั้นอะไรบางอย่าง เขากำกระบี่หยกชิงหลงในมือแน่น
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็คลายมือออก เดินตรงไปยังเส้นทางบนเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ จากนั้นก็กำชับให้คนของเฉินเหมินปล่อยคนขึ้นมาบนภูเขาตามคำสั่ง
จั้นอู๋จี๋แสยะยิ้มอย่างย่ามใจ ไม่มีใครหลุดพ้นไปจากการควบคุมของเขาได้!
ที่แท้ฉินเหิงทรยศเพราะครอบครัวถูกจับเป็นตัวประกันนี่เอง เด็กที่เขาเก็บมาเลี้ยงก็ไม่ใช่ลูกบุญธรรมของเขา แต่เป็นลูกสาวของพี่ชายเขา! ซูหลีลอบสะท้อนใจเล็กน้อย นางหันไปมองหน้าจั้นอู๋จี๋ ยิ้มเย็นชาแล้วกล่าวว่า “ได้ยินว่าในอดีตเพื่อปกป้องแผ่นดินหวั่น แม่ทัพหานเซิงยอมตายแต่ไม่ยอมถอย สู้จนร่างแหลกลาญ เป็นขุนนางที่จงรักภักดียิ่ง หานอี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเจ้า เขายอมเสี่ยงชีวิต และทำงานหนักเพื่อเจ้ามากว่าครึ่งค่อนชีวิต เพื่อควบคุมฉินเหิง เจ้ากลับเอาชีวิตของครอบครัวเขามาขู่! กระทำเรื่องเลือดเย็นไร้ความปรานีถึงเพียงนี้ ไม่กลัวว่าเหล่าเด็กกำพร้าแคว้นหวั่นที่ติดตามเจ้ามานานหลายปีจะผิดหวังหรือ?!”
จั้นอู๋จี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ในฐานะทายาทรุ่นหลังของขุนนางแคว้นหวั่น ฉินเหิงถูกช่วยชีวิตออกมาจากเมือง แล้วเปลี่ยนชื่อแซ่ แต่กลับบังอาจคิดจะถอนตัวออกจากกองทัพหวนคืน เดิมทีก็สมควรตายแล้ว! ข้าไม่ฆ่าเขาก็ถือเป็นความเมตตา นึกไม่ถึงเขากลับกล้าเกลี้ยกล่อมหานอี้ให้ทรยศข้า แล้วข้าจะปล่อยเขาไปได้อย่างไร? หากมิใช่เห็นแก่ที่เขายังมีประโยชน์ แม้ข้าจะสังหารพวกเขาทั้งครอบครัว ก็ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว!”
คนผู้นี้ถูกความแค้นกัดกินสติสัมปชัญญะนานแล้ว เขาไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนอะไรทั้งสิ้น! ซูหลีมองหน้าเขา ได้แต่เงียบ พูดอะไรไม่ออก
ยามนี้เอง คนกลุ่มหนึ่งได้เดินขึ้นเขามาจนถึงข้างบนแล้ว
จากที่จั้นอู๋จี๋กล่าวไว้ในจดหมาย ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย ลู่เจี่ยนไป๋ และเสิ่นเจี้ยนอันนำทัพขุนนางแคว้นติ้งตั้งแต่ขั้นสามขึ้นไปทั้งหมดเดินทางมาอย่างพร้อมหน้า แม้แต่เซี่ยอวิ๋นเซวียนก็ตามมาด้วย
ครั้นขึ้นมาถึงยอดเขา แล้วเห็นฮ่องเต้หญิงถูกคนเอากระบี่พาดคอ ทุกคนพลันหน้าเปลี่ยนสี ขุนนางหลายคนพุ่งตัวเข้ามาอย่างกล้าหาญ แต่กลับถูกชายชุดดำยกกระบี่ขึ้นขวางทาง ทั่วทั้งภูเขาเต็มไปด้วยคนของจั้นอู๋จี๋ แต่ละคนท่าทางโหดเหี้ยมป่าเถื่อน เลือดเย็นไร้ความปรานี ต่างล้อมพวกเขาไว้อย่างแน่นหนา แม้ว่าด้านล่างจะมีกองทัพทหารอันแข็งแกร่งของแคว้นติ้งติดตามมาด้วย แต่พวกเขาก็ยังคงอกสั่นขวัญแขวนไปกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยไอสังหารข้างบนนี้
หลังจากที่เป็นห่วงมาหนึ่งเดือนกว่า ในที่สุดก็ได้เห็นหน้าซูหลี ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยไม่สนใจกระบี่คมที่พาดขวางตรงหน้า ตะโกนอย่างร้อนใจ “ฝ่าบาท!”
ซูหลีเห็นนางมีสีหน้ากังวลและร้อนรน ใบหน้าซูบผอม รู้ดีว่าช่วงนี้นางต้องลำบากมากแน่ๆ ก็รีบแย้มยิ้ม แล้วเอ่ยปลอบใจว่า “ข้าไม่เป็นไร”
หัวใจที่ราวกับแขวนไว้บนหน้าผาของเซี่ยอวิ๋นเซวียน ในที่สุดก็สงบลงได้บ้างแล้ว เขาหันไปมองศัตรูที่ยืนอยู่บนที่สูง สายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่สลักลึกถึงกระดูก กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “จั้นอู๋จี๋! เจ้าทำร้ายผู้คนไปมากมาย แล้วยังคิดจะทำอะไรอีก?!”
จั้นอู๋จี๋มองหน้าเซี่ยอวิ๋นเซวียนแวบหนึ่ง แล้วกระดกคิ้ว คล้ายกำลังครุ่นคิดว่าคนผู้นี้เป็นใคร ชายคนหนึ่งข้างหลังเขาเดินเข้ามาบอก เขาจึงหัวเราะ แล้วกล่าวว่า “ที่แท้ก็นายน้อยแห่งสำนักกระบี่เหล็กนี่เอง! มาได้เวลาพอดี ข้าได้เห็นอานุภาพของพิรุณโปรยปรายใหม่เป็นบุญตาแล้ว ไม่เสียชื่อที่เป็นทายาทของสำนักกระบี่เหล็ก ความสามารถของเจ้าไม่ด้อยไปกว่าเซี่ยหมิงหยางเลย หากเจ้ายอมทำงานกับข้า นับจากนี้ไป โลกนี้ก็จะเป็นของเจ้ากับข้า เป็นอย่างไร?”
แค่คิดว่าคนผู้นี้เป็นคนที่ทำให้ครอบครัวของเขาต้องตาย เซี่ยอวิ๋นเซวียนก็แทบอยากจะจับเขามาถลกหนังทั้งเป็น เขากล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น “ฝันไปเถิด! เจ้าทำให้สกุลเซี่ยต้องตายทั้งตระกูล ข้าจะทำงานรับใช้เจ้าที่เป็นศัตรูได้อย่างไรกัน?”
จั้นอู๋จี๋ทำหน้าตกตะลึง ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “จะพูดอย่างนั้นได้เช่นไร? ในอดีตตงฟางเจ๋อนำทหารไปบุกสังหารสกุลเซี่ยของเจ้า เจ้าต้องแค้นเขา แต่กลับหันไปช่วยเขาสร้างอาวุธวิเศษ ไม่กลัวว่าดวงวิญญาณของบิดาเจ้าที่อยู่ในปรโลกจะตายตาไม่หลับหรือ”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนเอ่ยเสียงลอดไรฟัน “การที่เจ้ามีชีวิตอยู่ต่างหาก ที่ทำให้บรรพบุรุษของข้านอนตายตาไม่หลับ จั้นอู๋จี๋ จับสตรีเป็นตัวประกันถือเป็นความสามารถประเภทใดกัน หากเจ้ามีความสามารถจริง ก็มาสู้กับข้าตัวต่อตัว!”
จั้นอู๋จี๋หัวเราะเสียงดัง “สู้ตัวต่อตัว?! ตลกสิ้นดี! ยามนี้เจ้า เจ้า แล้วก็เจ้า…” เขามองหน้าเหล่าคนตรงหน้าอย่างดูแคลน ยกมือชี้หน้าพวกเขาแต่ละคน แล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เป็นเพียงก้อนเนื้อบนเขียงของข้า หากข้าสั่งให้พวกเจ้าไปทางขวา พวกเจ้าก็ต้องไปทางขวา หากข้าสั่งให้พวกเจ้ากระโดดหน้าผา พวกเจ้าก็ต้องทำ หากข้าสั่งให้ทำอะไร พวกเจ้าคนใดบ้างที่กล้าขัดคำสั่ง?!”
ทุกคนได้ยินก็พลันหน้าถอดสี บางคนขี้ขลาดก็ตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม
จั้นอู๋จี๋มองหน้าพวกเขาทีละคน ก่อนจะชี้ไปที่ซูหลี “ยามนี้ฮ่องเต้หญิงของพวกเจ้าอยู่ในกำมือของข้า พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาขอสู้ตัวต่อตัวกับข้า?!”
เอ่ยถึงประโยคสุดท้าย ดวงตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบเย็นชา นิ้วทั้งห้ากางออกเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ กำเข้าหากัน ราวกับโลกทั้งใบได้ตกอยู่ในกำมือเขาแล้ว
ซูหลีอดไม่ได้ที่จะแค่นหัวเราะ แล้วกล่าวว่า “จั้นอู๋จี๋ ไม่เจอกันหลายปี เจ้ากลับกลายเป็นคนไร้เดียงสาเช่นนี้ไปเสียแล้ว คิดว่าจับตัวข้าไว้ แล้วจะได้ครองโลกทั้งใบงั้นหรือ?”
“ใช่ความคิดเพ้อฝันเกินจริงหรือไม่ อีกไม่นานเจ้าก็จะได้รู้เอง” จั้นอู๋จี๋แค่นเสียง ล้วงกริชคมเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วไล้ผ่านท้องของนางเบาๆ “หนึ่งเดือนมานี้ ทุกครั้งที่เห็นท้องเจ้า ข้าก็นึกถึงลูกของข้ากับหยางเสวียนที่ไม่มีโอกาสได้ลืมตาดูโลก นึกถึงเมื่อใดข้าก็ไม่อาจควบคุมความแค้นในใจได้ กลัวจริงๆ ว่าวันใดข้าจะไม่ระวังกรีดท้องเจ้า แล้วดูว่าสายเลือดชั่วของตงฟางเจ๋อหน้าตาเป็นเช่นไร”
แม้มีอาภรณ์หลายชั้นกั้นขวาง แต่ก็ยังคงสัมผัสได้ถึงไอเย็นจากคมกริชในมือเขา ซูหลีควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ หันหน้าหนีไม่มองเขา และพยายามใช้ชี่แท้ที่ฉินเหิงถ่ายเทมาให้นางค่อยๆ คลายจุดลมปราณ
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยตะโกนอย่างร้อนใจ “อย่าทำร้ายฝ่าบาท! เจ้าอยากได้สิ่งใด พวกเราค่อยๆ คุยกันก็ได้”
จั้นอู๋จี๋กล่าวอย่างดูแคลน “คุยหรือ? พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาคุยกับข้า? เมื่อขึ้นมาถึงยอดเขาลูกนี้แล้ว ทุกอย่างก็ล้วนขึ้นอยู่กับข้าหมดแล้ว”
เสิ่นเจี้ยนอันกวาดตามองชายชุดดำที่อยู่รอบตัว แล้วตวาดเตือนเสียงเกรี้ยว “อาศัยแค่คนพวกนี้ของเจ้าน่ะหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้างล่างมีทหารปักหลักอยู่กี่คน หากเจ้ากล้าแตะต้องฝ่าบาทแม้แต่ปลายผม ไม่ต้องรอให้กองทัพขึ้นเขามา ข้านี่แหละจะสับร่างเจ้าให้เป็นชิ้นๆ!”
“เจ้าขู่ข้างั้นหรือ?” จั้นอู๋จี๋ตวัดมองมาด้วยสายตาเย็นชา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตลอดชีวิตนี้ข้าเกลียดการถูกขู่มากที่สุด?”
เขาพลิกฝ่ามือ ยกกริชขึ้นมาจี้คอยาวระหงของซูหลี ทุกคนอดร้องด้วยความตกใจไม่ได้ แววย่ามใจพาดผ่านดวงตาของจั้นอู๋จี๋ เขาหัวเราะอย่างชั่วร้าย แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนั้น งั้นข้าก็จะกรีดหน้านางสักสองครั้ง ดูซิว่าเจ้าจะกล้าสับร่างข้าให้แหลกเป็นชิ้นๆ หรือไม่”
เขาจับหน้าซูหลีไว้แน่น ซูหลีขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงจ้องหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา ไม่พูดอะไรสักคำ คมกริชอันเย็นเยียบดุจน้ำแข็งสัมผัสแก้มขวาของนางอย่างรวดเร็ว เพียงออกแรงเล็กน้อยก็จะเฉือนเข้าเนื้อนางแล้ว
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ณ ทางเข้าหุบเขา เสียงตวาดด้วยความร้อนรนพลันดังขึ้น
…………………