ตอนที่ 449 คว้าคน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 449 คว้าคน

หลี่จินโต้วใคร่ครวญที่จะพึ่งพิงฟู่เสี่ยวกวน เพื่อทำให้ธรณีประตูของตระกูลหลี่สว่างไสวยิ่งขึ้น

แต่สิ่งที่เขามิเคยคิดมาก่อนก็คือ ฟู่เสี่ยวกวนคิดจะขุดรากของตระกูลหลี่อย่างคาดมิถึง !

ในวันรุ่งขึ้น ท้องของหยูเวิ่นหวินป่องออกมาเล็กน้อย นางขึ้นรถม้าหนึ่งคันและตรงไปยังวังหลวง และได้สนทนากันกับฮองเฮาซั่งอยู่ในวังเตี๋ยอี๋…

“เขาคือบุตรเขยของเสด็จแม่ ขอเพียงแค่คนคนเดียวมิได้หรือ เสด็จแม่ให้มิได้เยี่ยงนั้นหรือ เขาเคยเอ่ยปากกล่าวกับเสด็จแม่หรือไม่ และข้าสัญญากับเขาแล้วว่าจะพาตัวหลี่จินโต้วมาให้ได้ หากมิตกปากรับคำ ข้า…ข้าจะอยู่ที่นี่ด้วย ! ”

ฮองเฮาซั่งอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เหตุใดบุตรสาวจึงหมุนข้อศอกเร็วถึงเพียงนี้กัน ?

หลี่จินโต้วเป็นหลงจู๊ใหญ่ของธนาคารเป่าหลง ธนาคารเป่าหลงมีหน้าที่รับผิดชอบในการออกตั๋วเงิน บุคคลสำคัญเยี่ยงนี้ เจ้ากลับกล่าวออกมาว่าต้องการในทันที… นี่มิใช่ว่าต้องการชีวิตข้าแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

แต่ทันใดนั้นหยูเวิ่นหวินก็ลูบท้องแล้วกล่าวพึมพำว่า “บุตรของข้า เจ้าดูเสด็จยายของเจ้าเถอะ ตระหนี่มากนักใช่หรือไม่ เจ้ากล่าวสิว่าภายภาคหน้าจะยังกลับมาหาพระนางอีกหรือไม่…เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ มิกลับมาเยี่ยงนั้นหรือ อ่า…แม่ทราบแล้ว”

“…… ! ”

ท้ายที่สุดนางก็ชนะไปโดยปริยาย พร้อมกับจ้องมองฮองเฮาซั่งด้วยความยินดี “เสด็จแม่ยังเป็นผู้ที่รักหม่อมฉันที่สุด ภายภาคหน้าหม่อมฉันจะพาหลานกลับมาเข้าเฝ้าอย่างแน่นอนเพคะ ! ”

หยูเวิ่นหวินบรรเลงเพลงแห่งชัยชนะและกลับจวนไปอย่างมีความสุข เป็นคราแรกที่ฮองเฮาซั่งครุ่นคิดด้วยความเศร้าใจอยู่ 1 ชั่วยามเต็ม ๆ ต่อจากนั้น นางจึงให้คนไปเชิญองค์หญิงใหญ่มา

“ดังนั้นบุตรเขยของเจ้าต้องการขุดกำแพงของเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“มิใช่ว่าต้องการ แต่ขุดไปแล้วต่างหากเล่า” สีหน้าของฮองเฮาซั่งปลงตกอย่างถึงที่สุด นางต้มชาหนึ่งกา เหลือบสายตามองใบหน้าตกใจขององค์หญิงใหญ่ แล้วกล่าวว่า “เจ้าเด็กนั่นมิกล้ามาขอกับข้าด้วยตนเอง กลับให้เวิ่นหวินมา… สตรีเติบใหญ่มิอาจอยู่ต่อได้ เพิ่งแต่งงานออกไปเพียงมิกี่วันเท่านั้น คาดมิถึงว่าจะกล้าข่มขู่ข้า แล้วข้าจะไปสามารถทำอันใดได้กัน ? ”

องค์หญิงใหญ่หัวเราะร่า ยิ้มราวกับดอกไม้บาน จนไร้เศษเสี้ยวภาพลักษณ์ขององค์หญิงใหญ่ผู้น่าเกรงขาม

“เป็นเรื่องยากนักที่จะได้เห็นเจ้าเสียเปรียบ ข้าคิดว่าเจ้าจะสงบนิ่งมิว่าจะพบเจอเรื่องอันใดเสียอีก เดิมทียังคงเป็นช่วงเวลาที่เกี่ยวพันกัน กล่าวมาเถอะ หลงจู๊ใหญ่แห่งธนาคารเป่าหลงหายไปแล้ว เจ้าจะให้ผู้ใดไปทำหน้าที่แทนเขา ? ”

“ตอนนี้ข้ายังมิได้คิดถึงการคัดเลือกคน”

“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเยี่ยงไรกัน ? ”

ฮองเฮาซั่งรินน้ำชาให้กับองค์หญิงใหญ่ “ข้ากำลังคิด ว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนถึงต้องการสร้างธนาคารซื่อทงขึ้นมากัน ? ”

ตาเรียวขององค์หญิงใหญ่เหลือบมองขึ้นมา “แน่นอนว่าเพื่อเป็นการจัดตั้งอุตสาหกรรมซีซาน เพื่อให้เงินในมือของเขาหมุนเวียนได้เร็วขึ้น”

จักรพรรดินีซั่งขมวดคิ้วเล็กน้อย และส่ายหน้า “เกรงว่าจะมิได้ง่ายดายอย่างที่ท่านคิด เมื่อวานเจ้าเด็กนี่เข้าไปสนทนากับฝ่าบาทอยู่ในห้องทรงพระอักษรราวครึ่งค่อนวัน เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการค้าทั้งสิ้น ยามที่ฝ่าบาทกลับมาก็ได้ฟังจนปวดหัวไปหมด…”

ฮองเฮาซั่งโน้มกาย แล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าว่า เขาอยากจะจำหน่ายตั๋วเงินหรือไม่ ? ”

“เป็นไปมิได้…” องค์หญิงใหญ่ตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน “ตั๋วเงินเป็นตัวแทนของเงิน โดยอาศัยความน่าเชื่อถือรวมไปถึงทรัพยากรทางการเงินที่แข็งแกร่ง เขาอาศัยอะไรถึงคิดจะขอรับรองการจำหน่ายตั๋วเงิน ต่อให้อุตสาหกรรมซีซานจะมีมูลค่าเป็นสิบล้าน แต่ธนาคารเป่าหลงกลับเป็นการรับประกันของแคว้น ผู้คนในใต้หล้านี้เชื่อถือธนาคารเป่าหลง แต่ผู้คนในใต้หล้านี้มิมีทางที่จะเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมซีซานที่หลินเจียงนั้นได้”

ฮองเฮาซั่งครุ่นคิด นี่ก็ถือว่ามีเหตุผลอย่างหนึ่ง เยี่ยงนั้นที่ฟู่เสี่ยวกวนจะสร้างธนาคารซื่อทงและทั้งยังมาขโมยบุคคลที่สำคัญที่สุดของตนไปท้ายที่สุดแล้วเขาต้องการจะทำอันใดกันแน่ ?

……

……

ในยามที่ฮองเฮาซั่งและองค์หญิงใหญ่ครุ่นคิดอย่างหนัก ฟู่เสี่ยวกวนกำลังพาหลี่ฉายออกมาจากท้องพระโรงเฉิงเทียน และเดินไปทางตะวันออกของซวนหมิงเตี้ยน

“ตอนนี้เจ้าได้เป็นคนของกรมการค้าแล้ว และในตอนนี้ก็มีเพียงพวกเรา 2 คนเท่านั้น ดังนั้นเจ้าจึงเป็นผู้อาวุโสของกรมการค้า ความใจกล้าบนบ่านี้ต้องมีมากยิ่งขึ้น”

ในหัวของหลี่ฉายยังคงสับสนอยู่เล็กน้อย ในการประชุมเมื่อครู่ คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะโต้เถียงกับต่งคังผิงพ่อตาของเขา

ฟู่เสี่ยวกวนต้องการคน แต่ต่งคังผิงมิยินยอม ท้ายที่สุดฟู่เสี่ยวกวนจึงใส่ร้ายต่งคังผิง “ท่านต้องการขัดขวางนโยบายของฝ่าบาทเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เจ้าจะมาขุดหาคนใต้ธรณีประตูกรมคลังของข้าได้เยี่ยงไรกัน ? ”

“ข้ามิสน กรมการค้าเพิ่งจะก่อตั้ง มีภารกิจที่หนักหนายิ่ง และเวลายังมีเวลากระชั้นชิดอีกด้วย ท่านจะให้หรือมิให้แต่เยี่ยงไรก็ต้องให้ ! ”

“หากข้ามิให้เจ้าเล่า เจ้าจะทำเยี่ยงไร ? ”

“หากท่านมิให้ ข้าจะพาภรรยาและลูกไปพักที่บ้านของท่าน ! ”

ท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของพลเรือนและทหารที่มองมา ฟู่เสี่ยวกวนและต่งคังผิงคนผู้หนึ่งเริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่ จึงสะบัดหน้าหนีด้วยความโมโห

สุดท้ายฝ่าบาทก็ได้เอื้อนเอ่ยออกมา บางทีพระองค์คงรับความสนุกมามากพอแล้ว เพราะฝ่าบาทได้ตรัสอย่างมีความสุขว่า

“เอาล่ะ ๆ ก็แค่คนผู้เดียว ข้าตัดสินเอง หลี่ฉาย จากนี้ไปเจ้าคือคนของกรมการค้า เสนาบดีต่งเอ๋ย นโยบายนี้เป็นนโยบายของแคว้น ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้นำ และเนื่องจากข้าได้กล่าวไปแล้วว่าให้เขาเลือกเอาคนจากกรมต่าง ๆ เอง และตอนนี้ก็ได้เลือกเอาคนในกรมคลังของเจ้าไป เจ้าควรจะรู้สึกมีเกียรติสิถึงจะถูก”

ต่งคังผิงลอบคิดในใจว่ามีเกียรติกับผีสิ “นี่ก็ถึงเวลาสิ้นปีแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่กรมคลังจะยุ่งมากที่สุด มันมิง่ายเลยกว่าที่ข้าจะได้ชื่อหลางฝ่ายขวาของกรมคลังมา เพิ่งจะเดือนกว่า ๆ ก็ดันมาโดนเจ้าเด็กนี่เด็ดลูกท้อไปเสียแล้ว ตอนนี้จะไปหาชื่อหลางฝ่ายขวาที่เหมาะสมได้จากที่ใดกันพ่ะย่ะค่ะ และรายงานปีนี้ของกรมคลัง… ฝ่าบาทโปรดรอก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกมีความสุข เขาในตอนนี้มิอยากแตะกับโชคมิดีของต่งคังผิงแล้ว จึงรีบเอ่ยขอตัวกับฝ่าบาท เหตุผลเพราะกรมการค้า ต้องเตรียมการอีกเล็กน้อย

ดังนั้นเขาจึงลากหลี่ฉายวิ่งออกมา เหลือไว้เพียงบรรยากาศคุกรุ่นที่ยังไม่จางหายไป

“ท่านฟู่ นี่คือสำนักงานของพวกเราเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหันมองไปรอบ ๆ ตำหนักด้วยความงุนงง… ท่ามกลางวัชพืชที่แห้งแล้ง ตำหนักอันทรุดโทรมจนยากที่จะบ่งบอกสีเดิมได้ตั้งอยู่ที่นี่อย่างโดดเดี่ยวมาเนิ่นนาน

“ให้ตายเถอะ… พวกเรามาผิดที่หรือไม่ ? เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าที่นี่เหมือนกันกับตำหนักเย็นมิมีผิดเพี้ยน ! ”

“ท่านฟู่ นี่…มิใช่ตำหนักเย็นขอรับ ท่านดูสิ ป้ายแผ่นนั้นยังอยู่ สามารถแยกแยะได้ว่าที่นี่คือซวนหมิงเตี้ยนที่ท่านกล่าวถึง”

“ฝ่าบาทโกงข้า ! ”

หลี่ฉายสะดุ้งตกใจขึ้นมาทันพลัน รู้สึกเห็นอกเห็นใจฟู่เสี่ยวกวนเล็กน้อย เขากล่าวว่า “มิใช่ฝ่าบาทโกงท่าน แต่สำนักงานที่มีอยู่ในเขตวังหลวงต่างก็เต็มแล้ว จึงมิมีตำหนักเหลือให้กับกรมการค้า… มิเช่นนั้น พวกเราทำความสะอาดที่นี่ดีหรือไม่ ? ”

คนผู้นี้เลี้ยงง่ายเสียเหลือเกิน !

แต่ย่อมมิใช่กับข้า !

“ทำความสะอาดกับผีสิ หากต้องทำความสะอาดก็ต้องเป็นฝ่าบาทที่จะต้องส่งคนมาทำ อย่าได้หลงลืมว่าพวกเราคือกรมการค้าที่แข็งแกร่งที่สุดในราชวงศ์หยู จะมาเสียหน้ามิได้เป็นอันขาด ไป ! ”

“ไปที่ใดขอรับ ? ”

“ขอคำอธิบายจากฝ่าบาท ! ”

หลี่ฉายตกตะลึง ลอบคิดว่าเจ้าคือบุตรเขยของฝ่าบาท เจ้าต้องการคำอธิบายก็ย่อมได้ แต่ให้ตายข้าก็มิกล้าไป !

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจอันใดมากนัก เขาคว้าหลี่ฉาย และหันกลับเดินออกไปในทันที เดินออกไปได้เพียง 3 ก้าว ก็ได้พบกับกลุ่มคนขนาดใหญ่กำลังเดินมาทางนี้

ผู้ที่เดินนำหน้ามาคือเสนาบดีกรมอุตสาหกรรม…ปี้ตง

ปี้ตงกุมหมัดคำนับมาแต่ไกล เมื่อเข้ามาใกล้ก็ได้เอ่ยกล่าวอย่างรีบร้อนว่า “ข้าน้อยเพิ่งได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาท ก่อนหน้านั้นต้องรื้อและสร้างซวนหมิงเตี้ยนขึ้นมาใหม่เสียก่อน ท่านฟู่มิต้องรีบร้อน อย่าได้รีบร้อนไปเลยขอรับ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเท้าสะเอว และเอ่ยถามว่า “ให้เวลาข้ามา ! ”

“หนึ่งเดือนกว่า”

“มิได้ 10 วัน เกินไปแม้แต่วันเดียวข้าจะร้องทุกข์เรื่องของเจ้าต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาท ! ”

เมื่อกล่าวข่มขู่ออกไปเสร็จ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้พาหลี่ฉายเดินออกไปทันที เหลือทิ้งไว้เพียงปี้ตงผู้บริสุทธิ์ที่สับสนอยู่ท่ามกลางสายลมเย็น…