ภาคที่ 4 ตอนที่ 112 ต่างฝ่ายต่างคว้าสิ่งที่ต้องการพอดี

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ในห้องของคุณหนูจวินเสียงร้องโอ้ยเสียงหนึ่งดังออกมา

 

 

พี่ชายที่ถูกฟางเฉิงอวี่คิดว่าหน้าหนาคนนั้นกำลังคว้าประตูอยู่

 

 

“เจ้าปิดประตูคิดจะทำอะไร?”เขาเอ่ยเสียงเบาอย่างระแวง

 

 

คุณหนูจวินที่ปิดประตูมองเขาอย่างคลางแคลง

 

 

“ท่านไม่ใช่มีคำพูดจะพูดกับข้าหรือ?” นางเอ่ยถาม

 

 

“ข้ากับเจ้ามีคำใดต้องพูด?” จูจั้นถลึงตา

 

 

“ถ้าอย่างนั้นท่านเข้ามาทำอะไร?”คุณหนูจวินขมวดคิ้ว

 

 

จูจั้นตอนนี้ถึงได้สติกลับมา ตบประตูยืนตัวตรงหัวเราะ

 

 

“ส่งผลกับความสัมพันธ์ลึกซึ้งของพวกเจ้าพี่น้องแล้วใช่หรือไม่?” เขาเลิกคิ้วเอ่ย “รู้แล้วสิว่าฐานะนี่ไม่สะดวก?”

 

 

คุณหนูจวินตอนนี้ถึงคิดตามความหมายของเขาทัน ยกมือก็ตบหัวเขาหนึ่งที

 

 

               “เช้าจรดเย็นท่านคิดเรื่องจริงจังบ้างรึไม่ฮึ?” นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

 

 

จูจั้นร้องอีกหนกระโดดหลบ คุณหนูจวินสะบัดมือเดินออกไปแล้ว

 

 

“ไป ไป ไป ออกไป” นางว่า

 

 

กลัวแล้วสิ ร้อนใจแล้วสิ จูจั้นแค่นเสียงเหอะทีหนึ่ง ส่ายอาดๆ ดึงเก้าอี้ออกมานั่ง

 

 

“ปูเตียง” เขาว่า “ข้าจะนอนแล้ว”

 

 

คุณหนูจวินนั่งลงบนเตียง

 

 

“มาสิ ท่านกล้ามาข้าก็กล้านอน” นางว่า

 

 

ช่าง ช่างคำใดก็กล้าพูด จูจั้นถลึงตา สบถทีหนึ่งลุกขึ้นก้าวยาวๆ เดินออกไป

 

 

“ไม่กล้า โม้อะไร”

 

 

หลังร่างเสียงเหอะของคุณหนูจวินลอยมา

 

 

จูจั้นหมุนตัวฉับเดินตึงตังไม่กี่ก้าวมาถึงข้างเตียง

 

 

“นอนก็นอน ข้าทำไมจะไม่กล้า? ดูสิใครไม่กล้า” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินมองเขาพลางยื่นมือทำท่าเชิญ

 

 

จูจั้นมือวางลงข้างเตียง มองผ้าผ่มไหมปักหรูหรา สัมผัสฟูกนุ่มนิ่มที่ไม่รู้ปูอยู่กี่ชั้นใต้ฝ่ามือ ในจมูกกลิ่นหอมพิสุทธิ์อบอวล

 

 

นี่ช่างเป็นเตียงที่ทำให้คนนอนลงไปแล้วไม่อยากลุกขึ้นมาจริงๆ

 

 

แต่สำหรับเขาแล้วกลับเหมือนกระดานตะปู ชักช้าไม่กล้านั่งลงไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนอน

 

 

“นอนไม่นอนเล่า?” คุณหนูจวินเอ่ยถามอีกครั้ง

 

 

จูจั้นตบเตียงลุกขึ้นยืนตัวตรง

 

 

“อย่าคิดใช้อุบายยั่วแม่ทัพเช่นนี้กับข้า” เขาอ่ย “ข้าไม่มีทางติดกับหรอก เจ้าอย่าได้คิดสมหวัง”

 

 

พูดจบก็หมุนตัวก้าวยาววิ่งออกไป คราวนี้ไม่รั้งหยุดสันนิด พริบตาก็ออกจากประตุห้องหายไปแล้ว

 

 

คุณหนูจวินตอนนี้ถึงหัวเราะ หงายร่างนอนลงบนเตียงกางมือออก

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

“พี่ชาย?”

 

 

จูจั้นที่เพิ่งเดินออกจากห้องถูกเสียงที่ฉับพลันดังขึ้นทำตกใจสะดุ้งโหยง

 

 

“พวกเจ้าพี่น้องสองคนชอบแกล้งคนให้ตกใจใช่หรือไม่?” เขามองฟางเฉิงอวี่ที่ยืนอยู่ในเงามืดใต้ต้นไม้ในลานแล้วขมวดคิ้ว “เจ้าทำไมยังไม่นอน? หลบอยู่ที่นี่ทำอะไร?”

 

 

ฟางเฉิงอวี่เดินออกมา

 

 

“ทำพี่ชายตกใจแล้วหรือ?” เขาเอ่ยด้วยท่าทางขอโทษขอโพย “ร่างกายข้าไม่ดี จิ่วหลิงให้ข้าออกกำลังกายมากหน่อย ข้าชินกับการออกกำลังกายตอนกลางคืนแล้ว”

 

 

จริงหรือหลอก? แม้เจ้าหนูนี่มักทำท่าเป็นเด็กหนุ่มบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แต่ใจเจ้าเล่ห์กว่าใคร

 

 

ไม่ต้องพูดถึงที่พบกันก่อนหน้านี้ที่หรู่หนาน แค่พูดถึงตอนนี้เรื้องมากมายล้วนเป็นเขาทำอยู่เบื้องหลัง เด็กน้อยไร้เดียงสา ใครเชื่อคนนั้นก็ไร้เดียงสาแล้ว

 

 

จูจั้นหัวเราะ เดินเข้ามาโอบหัวไหล่เขา

 

 

“สหายน้อย เจ้าชอบพี่สาวของเจ้าใช่หรือไม่?” เขาทำหน้าจริงจังเอ่ยถาม

 

 

“ใช่แล้ว” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยตอบ

 

 

ไม่มีลังเลสักนิด ไม่มีขัดเขินลนลานแม้แต่น้อย เหมือนกับเป็นคำที่สมเหตุสมผลยิ่ง ทั้งยังเป็นคำที่รอจะตอบอยู่ตลอดเวลา

 

 

ไม่เสียทีเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ ไม่สำรวม ไม่เรียบร้อยเช่นนี้

 

 

จูจั้นกลับสำลักนิดหนึ่ง

 

 

บางทีเพราะสำลักครั้งนี้ ทำให้เขาคิดไม่รอบคอบอยู่บ้าง หลังจากนั้นจึงเอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้หลังจากนี้เขานึกขึ้นมาก็เสียใจอย่างยิ่ง

 

 

“สหายน้อย ข้าไม่ชอบนาง ในเมื่อเจ้าชอบก็ไปยุ่งกับนางเข้า เช่นนี้เจ้าและข้าต่างสมหวัง ส่วนนางก็ไม่ต้องถูกพันธนาการไว้เพราะยึดติด นี่เป็นเรื่องที่ดีต่อเจ้า ดีต่อข้า ดีต่อทุกคนอย่างแท้จริง” เขาเอ่ย “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

 

 

“ตกลง” ฟางเฉิงอวี่พยักหน้าอย่างตั้งใจ

 

 

……………………………………….

 

 

ยามท้องฟ้าสว่างจ้า ในโรงหมอจิ่วหลิงก็ครึกครื้นขึ้นมา

 

 

“เหล่านี้ล้วนต้องขนไปหรือ?” เฉินชีมองของขวัญหนึ่งคันรถเต็มๆ ก็กัดลิ้นเอ่ย

 

 

“ใช่แล้ว ไม่รู้จะพอหรือไม่” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยท่าทางวิตกอยู่บ้าง

 

 

“นายน้อย ข้าเฉินชีอยู่ที่เมืองหลวงหลายปีนี้ยังไม่คยมอบของขวัญมากเท่านี้เลย” เฉินชียิ้มเอ่ย

 

 

ฟางเฉิงอวี่ก็ยิ้มด้วย

 

 

“อย่างไรก็ไปจวนเฉิงกั๋วกงไหม” เขาเอ่ย “จิ่วหลิงนาง…”

 

 

“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง” จูจั้นเอ่ยขัดเขา “พวกเราติดหนี้นาง เจ้าขนไปหนึ่งคันรถ แม่ข้าก็จะขนสองคันรถกลับมาให้เจ้า”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ขานรับอย่างว่าง่าย

 

 

“ก็ได้” เขาพยักหน้าเอ่ย

 

 

ฟางเฉิงอวี่มองจูจั้นเดินเข้าไปแล้วถึงเขยิบมาข้างกายคุณหนูจวิน

 

 

“ที่จริงข้าไม่ใช่เพื่อเรื่องนี้หรอก” เขากดเสียงเบาเอ่ย “ข้าแค่เพื่อให้หน้าจิ่วหลิง”

 

 

คุณหนูจวินเม้มปาก

 

 

“อวดว่าเจ้ามีเงินมากหรือ?” นางเอ่ยเสียงเบา

 

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะคิกคัก

 

 

“อวดว่าจิ่วหลิงมีเงินมากต่างหาก” เขาเอ่ยตอบ

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า

 

 

จูจั้นหันหลังกลับมา เบ้ปากมองดู นี่ช่างเป็นสองคนที่เป็นปลาข้องเดียวกันนักเชียว

 

 

เมื่อคณะของคุณหนูจวินมาถึงจวนเฉิงกั๋วกง จวนเฉิงกั๋วกงก็เปิดประตูหลักต้อนรับ เฉิงกั๋วกงสามีภรรยาต้อนรับฟางเฉิงอวี่เยี่ยงแขก ไม่ได้ทำเหมือนคนรุ่นหลังที่เกิดทีหลัง

 

 

“เกียรติยศวันนี้เวลานี้ นายน้อยฟางท่านเป็นส่วนสำคัญของสำคัญ” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “หากไม่มีท่าน แม่ทัพทั้งหลายแม้มีใจสังหารศัตรูก็ไร้กำลังพลิกฟ้า ผู้ลี้ภัยทั้งหลายก็ไม่อาจหนีออกมามีชีวิตรอดได้”

 

 

เผชิญกับคำชมเช่นนี้ ฟางเฉิงอวี่กลับไม่ได้ประหม่าแล้วก็ไม่ได้ดีใจประหนึ่งคลุ้มคลั่ง มีเพียงความยินดีติดจะขัดเขินเท่านั้น เหมาะสมพอดี

 

 

“จิ่วหลิงสอนข้า” เขายืนอยู่ข้างกายคุณหนูจวินตลอด เอ่ยขึ้นอย่างเอียงอาย

 

 

เขาเอาคุณหนูจวินวางไว้หน้าสุดตลอดเวลา ได้ยินว่าชีวิตของเด็กคนนี้คุณหนูจวินปกป้องไว้ เพียงแต่คนที่ตอบแทนได้ถึงขั้นนี้ก็หายากอย่างที่สุดเช่นกัน

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มอ่อนโยน

 

 

“สอนได้ดี เรียนได้ดี” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

“ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ” นายหญิงอวี้ก็อดไม่ได้เอ่ยขึ้นด้วย ดวงตาเต็มไปด้วยความยินดี “ข้าคิดเสมอว่าอยากให้กำเนิดเด็กที่ว่าง่ายรู้ความเช่นนี้สักคน”

 

 

คุณหนูจวินคนเดียวก็พอแล้ว ยังมาอีกคนอีก แล้วยังว่าง่ายรู้ความอีก พวกเนื้อไม่ตรงปกทั้งนั้น

 

 

จูจั้นกระแอมทีหนึ่ง

 

 

“แม่ ข้าไม่ว่าง่ายรู้ความอย่างไร?” เขาเอ่ยเสียงเบา “ท่านพูดโกหกเพื่อชมผู้อื่นไม่ได้นา ไม่จริงใจเลย”

 

 

นายหญิงอวี้ถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง

 

 

“ยังไม่ไปดูอาหารว่าเตรียมเรียบร้อยหรือยังอีก? ยืนหัวโด่อยู่ที่นี่ทำอะไร” นางเอ่ยขึ้น

 

 

อย่างไรอยู่ในบ้านเขาก็มีชะตาทำงานเป็นคนรับใช้ จูจั้นผายมือพึมพำสองประโยคก็ออกไปแล้ว

 

 

ครั้งนี้รื่นเริงยิ่งกว่างานเลี้ยงครั้งนั้นที่ต้อนรับน้าเซียว ฟางเฉิงอวี่แม้เขินอายว่าง่ายไม่พูดมาก แต่ทุกครั้งที่พูดมักทำให้คนหัวใจเบิกบานความโกรธมลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายหญิงอวี้ยิ่งชอบอกชอบใจนัก เอ่ยรั้งฟางเฉิงอวี่ให้อยู่ที่บ้านซ้ำแล้วซ้ำอีก

 

 

“อยู่ที่ไหนก็ไม่สำคัญ” เฉิงกั๋วกงเอ่ยขัดพวกนาง วางชามตะเกียบในมือลง “ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือเข้าเฝ้าพระราชทานรางวัล”

 

 

“กล้าทำมากเท่าใด พวกเราย่อมกล้ารับชื่อเสียงมากเท่านั้น” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

ฟางเฉิงอวี่ไม่พูดจา เพียงพยักหน้าตาม

 

 

“เข้าเฝ้าพระราชทานรางวัลย่อมไม่มีอันใด ดูหลังเข้าเฝ้าพระราชทานรางวัลเถอะ” จูจั้นเอ่ย “อยากฉกฉวยย่อมต้องให้ก่อน”

 

 

“สิ่งที่ควรคว้าไม่อาจเพราะกลัวเสียไปจึงไม่คว้า อย่างไรก็ต้องคว้าไว้” เฉิงกั๋วกงเอ่ย จากนั้นมองคุณหนูจวิน “ดังนั้นข้าคิดจะขอความชอบให้คุณหนูจวิน”

 

 

ขอความชอบให้คุณหนูจวิน?

 

 

ฐานะของคุณหนูจวินตอนนี้คือลูกสะใภ้ของเฉิงกั๋วกง ครอบครัวเดียวกันย่อมไม่แบ่งแยกความดีความชอบ ความดีความชอบของเฉิงกั๋วกงก็คือของคุณหนูจวิน หากต้องแบ่ง นั่นย่อมไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันแล้ว

 

 

ดวงตาจูจั้นเปล่งกระกาย นั่งตัวตรงทันที

 

 

คุณหนูจวินขมวดคิ้ว

 

 

“เช่นนี้ไม่ดีกระมัง” นางเอ่ยขึ้นมา

 

 

………………………