ภาคที่ 4 ตอนที่ 113 ถือว่าตอบแทนความดีความชอบของเจ้า

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ที่นางว่าไม่ดีหมายถึงการกระทำนี้ของเฉิงกั๋วกงเป็นการข้ามแม่น้ำรื้อสะพานหรือ?

 

 

บรรยากาศเปลี่ยนกลายเป็นกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง

 

 

ฟางเฉิงอวี่ก็พยักหน้าย้ำๆ ตามคุณหนูจวิน ทำท่าไม่สะดวกใจ

 

 

“เจ้าคิดอะไร อย่าไม่เห็นความหวังดีของผู้อื่นสิ” จูจั้นเอ่ยทันที “เจ้าคิดว่ามีชื่อภรรยาท่านชายมีอะไรดี? นั่นคือความยุ่งยาก นี่พ่อข้าทำเพื่อเจ้า สตรีชอบใช้อารมณ์”

 

 

“ท่านคิดไปเองแล้ว บุรุษ” คุณหนูจวินมองเขาทีหนึ่งเอ่ยขึ้น

 

 

ท้าทาย! จูจั้นถลึงตา

 

 

คุณหนูจวินไม่สนใจเขาแล้วมองไปหาเฉิงกั๋วกง

 

 

“ตอนนี้เวลานี้ไม่เหมาะ” นางเอ่ย “ไม่เป็นประโยชน์กับท่านกั๋วกง”

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้ม

 

 

“ทำสิ่งใดไม่อาจตัดสินด้วยมีหรือไม่มีประโยชน์” เขาเอ่ย

 

 

“ท่านทำเช่นนี้ แบ่งความชอบครึ่งหนึ่งหรือกระทั่งมากยิ่งกว่าแก่ข้า ท่านกั๋วกง ท่านน่าจะรู้เช่นกันว่าวันนี้คนมากมายไม่ยินดีเห็นความชอบเวลานี้อยู่ที่ตัว” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

“ใช่แล้ว ถ่อเรือตามน้ำเช่นนี้ยิ่งทำง่าย” เฉิงกั๋วกงอมยิ้มเอ่ย

 

 

เหมือนเช่นรับบัญชาเข้าเมืองหลวง เดิมเขาไม่มาได้ แต่คำนวนแล้วว่าราชสำนักด้านนี้รีบร้อนจะกล่อมเขามา ไม่ว่าเงื่อนไขอันใดล้วนรับปาก ดังนั้นเพื่อแบ่งทหารตั้งกองทัพให้กองทหารชิงซาน เพื่อพระราชทานรางวัลให้พวกเซี่ยหย่งกับหยางจิ่งจึงเลือกกลับเมืองหลวง

 

 

ตอนนี้รู้ว่าเพราะเรื่องไหวอ๋องทำให้ฮ่องเต้พิโรธ ฮ่องเต้หวั่นเกรงความดีความชอบรวมถึงชื่อเสียงในหมู่ประชาชนของเขา อยากลดความดีความชอบ ลดชื่อเสียงของเขา ดังนั้นเวลานี้เสนอมอบความดีความชอบให้คุณหนูจวิน ฮ่องเต้ต้องไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน ตรงกันข้ามต้องการเท่าไรก็ให้เท่านั้น

 

 

“ท่านกั๋วกง ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้าได้ความชอบนี้มีประโยชน์สู้ท่านไม่ได้”

 

 

ฟางเฉิงอวี่พยักหน้าตามอีกหนทันที ใช่แล้ว ใช่แล้ว

 

 

จูจั้นไม่พูดจา กำตะเกียบไม่รู้คิดอะไรอยู่

 

 

“ของของเจ้าก็คือของเจ้า ไม่ว่ามีหรือไม่มีประโยชน์” เฉิงกั๋วกงเอ่ยขึ้นปรามคุณหนูจวินไม่ให้พูดต่อ “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า สิ่งเหล่านี้ที่เจ้าพูดข้าล้วนเคยขบคิดแล้ว แต่ข้าคิดเสมอว่าไม่มีใครป้องกันโจรพันวัน ป้องกันก็กันไม่อยู่ หากเพราะพะวงบางอย่างจึงไม่ไปทำเรื่องที่อยากทำ ชีวิตคนก็น่าเบื่ออยู่บ้าง”

 

 

คุณหนูจวินอยากหัวเราะนิดๆ

 

 

แม่ทัพคนหนึ่งทำท่าปลงประหนึ่งปัญญาชนนักประพันธ์ แต่ก็ขมขื่นและอิจฉาอย่างประหลาดนิดๆ ด้วย

 

 

“ดังนั้นท่านกั๋วกง ท่านกลับเมืองหลวงมาก็เพราะท่านอยากกลับมาดูสักหน่อย ท่านไปวังไหวอ๋องก็เพราะท่านอยากไปดูวังไหวอ๋องสักหน่อย” นางเอ่ย “ท่านอยากมอบชื่อเสียงที่ควรได้ให้ข้าก็เพราะอยากให้ทุกคนรู้ความดีความชอบของข้า”

 

 

เฉิงกั๋วกงพยักหน้าอย่างอ่อนโยน

 

 

“ได้” คุณหนูจวินยิ้มพลางพยักหน้า ลุกขึ้นคำนับ “ท่านกั๋วกงกล้าให้ ข้าย่อมกล้ารับ”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ก็เผยดวงหน้ายิ้มแย้มพยักหน้าตามอีกครั้ง

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้มแล้ว

 

 

“ถ้าเช่นนั้นคุยกันเรียบร้อยแล้วสินะ?” นางเอ่ยขึ้น

 

 

“คุยกันเรียบร้อยแล้ว” เฉิงกั๋วกงตอบ

 

 

นายหญิงอวี้ยกจอกสุรา

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ดื่มสักจอกเถอะ” นางเอ่ยขึ้นมา

 

 

นอกจากจูจั้น เฉิงกั๋วกง คุณหนูจวินและฟางเฉิงอวี่ล้วนยิ้มแย้ม ทุกคนล้วนยกจอกสุราขึ้น บ้างสุราบ้างชาดื่มคำเดียวหมด

 

 

ทานอาหารเสร็จสามีภรรยาเฉิงกั๋วกงก็พักผ่อน ให้จูจั้นรับรองฟางเฉิงอวี่เล่นอยู่ในจวน

 

 

“เจ้าไปเล่นเองก่อน”

 

 

จูจั้นเอ่ยกับฟางเฉิงอวี่

 

 

ฟางเฉิงอวี่น้อยใจอยู่บ้างมองเขา แล้วมองคุณหนูจวินอีกหน

 

 

“ได้ พี่ชาย” เขาก้มหน้าลงเอ่ย

 

 

ไม่รอคุณหนูจวินขมวดคิ้วเอ่ยวาจา จูจั้นก็โอบหัวไหล่เขาก่อน

 

 

“คราวนี้ไม่ต้องเล่นละคร” เขากดเสียงเบาเอ่ยริมหู “พวกเราสองฝ่ายจะเป็นอิสระเดี๋ยวนี้แล้ว ข้าจะพูดกับนางให้ชัดเจน”

 

 

ฟางเฉิงอวี่บนหน้าแย้มรอยยิ้ม

 

 

“ได้” เขาหัวเราะคิกคักมองคุณหนูจวินแล้วเอ่ยขึ้น “จิ่วหลิง ข้าไปเดินรอบๆ ก่อน ทิวทัศน์จวนกั่วกงไม่เลวยิ่ง”

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า มองฟางเฉิงอวี่ตามหญิงรับใช้สาวใช้เดินออกไป

 

 

“เจ้ากับเขาพูดพึมพำอะไรกัน?” นางเอ่ยขึ้น “อย่าพาเฉิงอวี่เสียคนเชียว เขากับท่านไม่เหมือนกัน”

 

 

จูจั้นแค่นเสียงทีหนึ่ง

 

 

“เจ้าวางใจเถอะ เจ้าหนูนี่ไม่ต้องพาก็เสียคน” เขาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินสบถ

 

 

“พูดเรื่องจริงจัง” นางเอ่ย

 

 

“เจ้าสิถึงพูดไร้สาระ” จูจั้นโต้

 

 

คุณหนูจวินกลอกตาทีหนึ่งหมุนตัวจะจากไป จูจั้นรีบตาม

 

 

“เฮ้” เขาเอ่ยขึ้นข้างหลัง “เจ้าคิดตกเช่นนี้ได้ ทำข้าประหลาดใจจริงๆ”

 

 

คุณหนูจวินทำเสียงหืมทีหนึ่ง

 

 

“อะไร?” นางเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

 

 

“เจ้าเจอหน้าผาแล้วรั้งม้า ถอดใจจากความรู้สึกที่ไม่เกิดผล รู้ชัดว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ” จูจั้นเอ่ย “ไม่คลั่งไคล้ตื๊อข้าอีก”

 

 

คุณหนูจวินหันหน้ามองเขา

 

 

“ถุย” นางเอ่ยขึ้นมา

 

 

“เอาล่ะเอาล่ะ ข้าไม่พูดแล้ว” จูจั้นผายมือเอ่ย “ในใจข้าเข้าใจก็พอแล้ว”

 

 

คุณหนูจวินมองเขาทั้งฉิวทั้งขัน

 

 

“ในเมื่อใจท่านเข้าใจ ถ้าเช่นนั้นจะชดเชยให้ข้าอย่างไร?” นางเอ่ยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

 

 

จูจั้นมองนางอย่างระแวงแล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

 

 

“ขายศิลป์ไม่ขายตัว” เขาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินอดยิ้มไม่ได้

 

 

 เจ้าหมอนี่อยากขอบคุณความเป็นห่วงเป็นใยที่นางมีต่อบิดาของเขาชัดๆ กลับปากแข็งไม่ยอมพูดดีๆ

 

 

สายตาของนางมองไปเรื่อยทีหนึ่ง ฉับพลันก็ตะลึงเล็กน้อย

 

 

กำแพงจวนไม่ไกลที่อยู่ในสายตาก็คือกำแพงที่นางเคยปีน ต้นไม้ใหญ่นอกกำแพงจวนเขียวชอุ่ม

 

 

“ท่าน ในบ้านมีรูสุนัขด้วยรึ?” นางพลันเอ่ยถาม

 

 

หัวข้อสนทนานี่แปลกประหลาด จูจั้นขมวดคิ้วมองนาง

 

 

“นี่ พูดจริงจังทำตัวจริงจังหน่อย เจ้าอย่าจงใจหยามข้า” เขาเอ่ย “ข้าไม่มีทางมุดรูสุนัขอีกแน่”

 

 

อีก?

 

 

คุณหนูจวินสนใจคำนี้เข้า

 

 

“พูดเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ท่านเคยมุดมาก่อนหรือ?” นางยิ้มถาม

 

 

จูจั้นมองกำแพงจวนด้านนั้น สีหน้ายิ้มร่าไม่มีเก็บกลั้นอยู่บ้างเมื่อแรกเริ่มบึ้งตึงลงบ้างแล้ว

 

 

“เกี่ยวอะไรกับเจ้า” เขาเอ่ย

 

 

จูจั้นพูดจาน่าสนใจนัก หลายวันนี้คุณหนูจวินเข้าใจแล้ว เขาคนนี้ทั้งวันดูเหมือนพูดจาเหลวไหลไม่มีคำพูดจริงจังสักประโยค ทว่าก็ประหลาดยิ่งที่ไม่พูดโกหกด้วย ยอมปฏิเสธด้วยความเงียบ ไม่ยอมพูดว่าไม่ใช่หรือไม่สักคำ

 

 

ตัวอย่างเช่นตอนนี้ เขาไม่อยากให้คนรู้ว่าตนเคยมุดรูสุนัข แต่ก็ไม่คิดปฏิเสธ จึงเอ่ยถ้อยคำทำนองที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง[1]ที่ไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ออกมา

 

 

เพราะเหตุใดเขาจึงไม่อยากปฏิเสธ คล้ายปฏิเสธปุบเรื่องนี้ก็จะไม่คงอยู่อีกแล้ว มุดรูสุนัขก็ไม่ใช่เรื่องน่าภาคภูมิใจอะไรนี่ นอกเสียจากมีความหมายพิเศษอะไร?

 

 

คุณหนูจวินมองกำแพงสูง คล้ายคิดถึงเด็กผู้หญิงตัวน้อยคนหนึ่งที่กัดฟันกระโดดจากต้นไม้ขึ้นมา

 

 

เสียงตุบทีหนึ่ง

 

 

เสียงไม่ดัง ไม่มีทางถูกองครักษ์ที่ลาดตระเวนได้ยิน แต่เสียงก็ไม่เบา ทำให้คนผู้หนึ่งใต้กำแพงตกใจสะดุ้งโหยง

 

 

“มีมือสังหาร!” เสียงบุรุษโก่งคอตะโกนไม่น่าฟังอย่างยิ่ง

 

 

เสียงตะโกนทำเด็กหญิงตกใจเกือบร่วงลงมา นางไม่ทันมองชัดว่าผู้ใดซุ่มหมอบอยู่ใต้กำแพง ก็เห็นผู้คุ้มกันนับไม่ถ้วนรุมมารอบด้าน จากนั้นนางก็ถูกตีร่วงจากกำแพง ระหว่างที่ฟ้าดินพลิกกลับก็เห็นเพียงข้างกำแพงมีคนล้มลุกคลุกคลานกระโดดไปอยู่หลังร่างผู้คุ้มกันที่แห่มา เงาร่างพร่ามัวเลือนราง มองอย่างไรก็มองไม่ชัด

 

 

“ข้าหามือสังหารพบ!”

 

 

“ข้าจับมือสังหารได้!”

 

 

ข้างหูมีเสียงตะโกนโก่งคอเป็นไก่โต้งนี่ ท่าทางรีบร้อนอยากแย่งความชอบ

 

 

เสียงนี้ถูกเสียงด่าทอของเหล่าผู้คุ้มกันกลบไปอย่างรวดเร็วยิ่ง คนก็ล้อมเข้ามาด้วย

 

 

“ข้าคือหลิงจิ่ว ข้าเป็นศิษย์ของอาจารย์จาง…”

 

 

คุณหนูจวินมองเด็กผู้หญิงที่ถูกตีร่วงจากกำแพงคุกเข่าตะโกนอยู่บนพื้น ปากนางก็เอ่ยพึมพำ

 

 

หลิงจิ่ว

 

 

นางมองไปหาจูจั้น

 

 

“ที่แท้ท่านเคยมุดรูสุนัขจริงๆ ด้วย” นางเอ่ย

 

 

………………………