บทที่ 416 มโนธรรม แม้รู้ว่าผิดก็จำต้องทำ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 416 มโนธรรม แม้รู้ว่าผิดก็จำต้องทำ
สนมเอกเซี่ยนั้นไม่ใช่เฟิ่งชิงเฉิน แม้แต่ฮองเฮาก็ต้องไว้หน้านางอยู่สามส่วน แล้วองค์หญิงอันผิงจะกล้าล่วงเกินนางได้อย่างไร เมื่อถูกสนมเอกเซี่ยตำหนิ องค์หญิงอันผิงก็ได้แต่ยืนอยู่กับที่อย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กัดริมฝีปากด้วยความน้อยอกน้อยใจ

ฮองเฮาแสดงสีหน้าไม่พอพระทัยพร้อมเจตนาตำหนิชัดเจน เฟิ่งชิงเฉินคิดว่าสนมเอกเซี่ยจะหยุดมือลงตรงนี้ แต่คิดไม่ว่าสนมเอกเซี่ยจะตบโต๊ะและเอ่ยว่า “พวกเจ้าบังอาจนัก ทำงานกันประสาอะไร องค์หญิงมาถึงแล้วยังไม่มารายงานข้าอีก”

ถ้วยที่อยู่บนโต๊ะสั่นสะเทือนจนน้ำชากระฉอกออกมา บรรยากาศในตำหนักตึงเครียด นางกำนัลที่อยู่ด้านหลังของสนมเอกเซี่ยคุกเข่าลงดังตุ้บ “ขออภัยเพคะ เหนียงเหนียง”

“ขออภัย? เจ้าจะให้ข้าให้อภัยพวกเจ้าได้อย่างไร องค์หญิงมาแล้วแต่พวกเจ้ากลับไม่มารายงานข้า พวกเจ้าอยากจะลองดีกับข้างั้นหรือ รู้ไว้ด้วยว่าเรื่องที่องค์หญิงไม่ได้มาคารวะข้านั้นถือเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าหากข่าวแพร่ออกไปจะทำให้องค์หญิงเสียชื่อเสียง องค์หญิงกำลังจะแต่งงานกับเป่ยหลิง ถ้าหากว่าจักรพรรดิแห่งเป่ยหลิงรู้เข้าแล้วล่ะก็ ให้พวกเจ้าตายเป็นร้อยรอบก็ยังไม่พอ”

มองเผินๆ แล้วเหมือนเป็นการตำหนินางกำนัลของตนเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วคือการทำให้ฮองเฮาอึดอัดใจและทำให้องค์หญิงอันผิงเสียหน้าต่างหาก

ใบหน้างดงามขององค์หญิงอันผิงแดงก่ำสลับซีดขาว นางยืนอยู่กับที่โดยไม่ขยับเขยื้อนอยู่เป็นเวลานาน ในตอนนี้หากนางคารวะนั้นก็หมายความว่านางยอมอ่อนข้อให้

เฟิ่งชิงเฉินชื่นชมอย่างสุดหัวใจ สตรีในตำหนักสามารถฆ่าคนได้โดยที่ไม่ต้องมีเลือดออก เพียงแต่เฟิ่งชิงเฉินนั้นไม่เข้าใจว่าสนมเอกเซี่ยตั้งใจจะทำให้ฮองเฮาและองค์หญิงอันผิงต้องขุ่นเคืองใจตายเลยหรือ

สตรีที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในวังหลังก็คือฮองเฮา ผู้ที่มีทรัพยากรในมือมากที่สุดก็คือฮองเฮาเช่นกัน สนมเอกเซี่ยนั้นมีตระกูลเซี่ยหนุนหลังและมีทายาทของจักรพรรดิอยู่ในครรภ์ แต่ก็เป็นดังที่องค์หญิงอันผิงว่า เด็กในท้องจะเป็นองค์ชายหรือองค์หญิงก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ แต่ต่อให้เป็นองค์ชายแล้วอย่างไร เขาจะได้เติบโตขึ้นมาหรือไม่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง

แน่นอนว่าปัญหาเหล่านี้หาใช่สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินต้องกังวล ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่มีทางทำให้ตนเองตกอยู่ในฐานะอย่างฮองเฮาหรือสนมเอกเซี่ยแน่นอน เพราะมันเหนื่อยเกินไป

“แค่นางกำนัลเพียงไม่กี่คนเท่านั้น น้องกุ้ยเฟยกำลังตั้งครรภ์อยู่ ต้องรักษาสุขภาพให้ดี” การกัดไม่ปล่อยของสนมเอกเซี่ยทำให้ฮองเฮาไม่พอใจอย่างมาก บนใบหน้าของฮองเฮามีรอยยิ้มแข็งกระด้าง แต่เป็นเพราะผู้ที่ทำผิดก่อนในครั้งนี้คือองค์หญิงอันผิง นางจึงทำได้เพียงแต่ยิ้มเท่านั้น

“ขอบพระทัยที่ฮองเฮาทรงห่วงใยเพคะ สองวันมานี้ร่างกายของน้องรู้สึกไม่ค่อยสบายจริงๆ ที่ท่านว่ามาก็ถูก น้องต้องดูแลร่างกายให้ดี เช่นนั้นก็ไม่รบกวนท่านแล้ว น้องจะพาชิงเฉินออกไป ให้ชิงเฉินตรวจดูชีพจรให้น้องสักหน่อย ส่วนการประลองของชิงเฉินกับซูหว่านแห่งหนานหลิงในห้าวันหลังจากนี้ น้องเชื่อว่ามีฮองเฮาอยู่ด้วย ชิงเฉินจะต้องไม่แพ้อย่างแน่นอน”

ทันทีที่สนมเอกเซี่ยบอกว่าจะไป นางกำนัลที่อยู่ด้านหลังก็รีบมาช่วยประคองนางให้ลุกขึ้นในทันที ท่าทางเช่นนั้นราวกับว่าสนมเอกเซี่ยเป็นเหมือนเต้าหู้ที่ต้องทะนุถนอมอย่างระมัดระวัง แน่นอนว่าหากสนมเอกเซี่ยนั้นเป็นเต้าหู้ก็คงจะเป็นเต้าหู้ที่แพงที่สุดในใต้หล้า เพราะในครรภ์ของนางคือพระโอรสของจักรพรรดิ

“ชิงเฉิน ไปกันเถอะ” สนมเอกเซี่ยยิ้มให้เฟิ่งชิงเฉินอย่างงดงาม แต่กลับทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกขนลุก

“เพคะ ฮองเฮาเหนียงเหนียง องค์หญิง ชิงเฉินทูลลา” เฟิ่งชิงเฉินประสานมือคำนับ นางไม่ได้ดีใจมากมายนักที่ได้ออกจากตำหนักของฮองเฮารวดเร็วเช่นนี้ นางรู้ดีว่าสนมเอกเซี่ยเป็นคนที่จะไม่ยอมทำเรื่องยุ่งยากหากไม่มีผลประโยชน์

ด้วยท้องที่ใหญ่โตเช่นนี้ เดินจากตำหนักจาวเยี่ยนมาถึงตำหนักของฮองเฮา ย่อมไม่ใช่เพราะว่าสนมเอกเซี่ยทำเพื่อช่วยนางออกมา นางไม่ได้มีเกียรติมากถึงเพียงนั้น

แน่นอนว่าสนมเอกเซี่ยแต่เดิมก็ไม่ใช่ผู้ที่ทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน ทันทีที่มาถึงตำหนักจาวเยี่ยน สนมเอกเซี่ยก็สั่งให้คนอื่นๆ ออกไปจนเหลือเพียงนางกำนัลคนสนิทของนางแล้วจึงเอ่ยถึงจุดประสงค์ของนางออกมา

นางต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินตรวจดูเพศของทารกในท้องของนาง

“เหนียงเหนียง หมอหลวงน่าจะได้เคยบอกท่านไปแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ตกใจ อย่าว่าแต่สมัยโบราณที่บุรุษเหนือกว่าสตรี ในยุคปัจจุบันก็มีพ่อแม่หลายรายที่ดั้นด้นคิดหาวิธีรู้เพศของลูกในท้องและถ้าหากเป็นผู้หญิงก็จะทำแท้งตั้งแต่แรกๆ

การอยากมีลูกผู้ชายมากกว่าลูกผู้หญิงมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ในสมัยโบราณนั้นจะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงกว่า สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่นางอยู่ตอนเด็กก็มีทารกหญิงมากกว่า

“ชิงเฉิน พูดกับเจ้าตามตรง ข้าไม่เชื่อใจพวกหมอหลวงเหล่านั้น อีกทั้งหมอหลวงซุนก็ไม่เชี่ยวชาญเรื่องโรคสตรี ข้าเชื่อใจแต่เจ้าเท่านั้น” ก่อนหน้านี้ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ในตอนนี้เพิ่งพบว่าคำว่า “ชิงเฉิน” ของสนมเอกเซี่ยนั้นทำให้ทั้งสองดูใกล้ชิดกันมากขึ้น

“เหนียงเหนียง สำหรับชิงเฉินแล้ว คำว่าเชื่อใจของท่านมีน้ำหนักถึงหมื่นชั่ง ชิงเฉินรู้สึกหวั่นเกรง” เมื่ออยู่ต่อหน้าฮองเฮา เฟิ่งชิงเฉินต้องทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษโดยไม่จำเป็น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสนมเอกเซี่ย นางก็ทำตัวสบายๆ ขึ้น สนมเอกเซี่ยนั้นฉลาดกว่าฮองเฮามาก

สำหรับตระกูลเซี่ยนั้น เฟิ่งชิงเฉินนั้นถือว่าเป็นผู้ที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน นางไม่เคยคิดที่จะสร้างความผูกพันกับตระกูลเซี่ยหรือริเริ่มที่จะทำอะไรเพื่อตระกูลเซี่ยมาก่อน แต่คำพูดของสนมเอกเซี่ยนั้นได้ผูกนางเอาไว้บนเรือลำเดียวกันกับตระกูลเซี่ยไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม… เรื่องในวันนี้เห็นได้ชัดว่านางไม่สามารถปฏิเสธได้ง่ายๆ สนมเอกเซี่ยอุ้มท้องไปที่ตำหนักของฮองเฮาเพื่อช่วยนาง ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ลังเลที่จะล่วงเกินฮองเฮาและองค์หญิงอันผิงอีกด้วย แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไม่ต้องการให้ใครมาช่วยเหลือก็ตาม

“ชิงเฉิน ข้าเชื่อว่าเจ้าจะทำได้” หัวใจของสนมเอกเซี่ยนั้นเต้นรัว แต่มีคำพูดของซุนเจิ้งเต้าก่อนหน้านี้ นางจึงได้เชื่อ เชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินจะสามารถยืนยันเพศของลูกในท้องของนางได้

นางตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว สามารถตรวจดูเพศของลูกในท้องได้ก็จริง เพียงแต่… ถ้าหากว่าเป็นการตรวจเพศของลูกในท้องเพียงอย่างเดียวก็คงจะไม่มีอะไร แต่เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าหากสนมเอกเซี่ยรู้ว่าเป็นเพศชายก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าหากรู้ว่าเป็นเพศหญิง เด็กคนนี้คงจะไม่ได้คลอดออกมาอย่างแน่นอน

การตรวจดูเพศของทารกในยุคปัจจุบันนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ได้รับอนุญาต แต่จากมุมมองทางการแพทย์แล้ว การวินิจฉัยเพศของทารกนั้นไม่ใช่เรื่องขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมแต่อย่างใด พ่อแม่มีสิทธิ์ที่จะรู้เพศของลูกและการทำแบบนี้ยังสามารถเตรียมความพร้อมได้ก่อนล่วงหน้า เพราะลูกผู้ชายและผู้หญิงนั้นมีของที่จำเป็นต้องใช้แตกต่างกัน

สิ่งเดียวที่ไม่ควรทำนั่นก็คือการที่ได้รู้เพศของทารกในท้องแล้วตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม อย่างเช่น เมื่อรู้ว่าเป็นเพศหญิงก็ไปทำแท้ง

เห็นได้ชัดว่าสนมเอกเซี่ยก็มีความตั้งใจแบบนี้เช่นกัน ถ้าหากว่าทารกในท้องของสนมเอกเซี่ยเป็นเพศหญิงก็คงจะไม่ได้คลอดออกมาอย่างแน่นอนและเป็นสนมเอกเซี่ยเองที่ต้องการแบบนั้น

เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่ามีแพทย์แผนจีนที่เก่งกาจบางคนเพียงแค่จับชีพจรก็สามารถบอกได้ว่าทารกในท้องนั้นเป็นชายหรือหญิง เพียงแต่เรื่องนี้จะผิดพลาดได้ ถ้าหากว่าให้นางตรวจดูเพศของเด็ก นางก็สามารถระบุได้ แต่คุณธรรมในใจของนางกำลังประณามอยู่

หากเป็นเด็กผู้หญิง นางก็เป็นเหมือนกับฆาตกรทางอ้อม มือของนางนั้นเปื้อนเลือดมาไม่ใช่น้อย แต่ก็ไม่เคยเปื้อนเลือดของทารกไร้เดียงสา

มโนธรรมของนางจะไม่มีทางสงบลงได้!

“เป็นอะไร? มีปัญหาหรือ?” สนมเอกเซี่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะนางมีเรื่องให้ช่วย มีหรือจะสุภาพกับเฟิ่งชิงเฉิน

ในสายตาของสนมเอกเซี่ย เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนหนึ่งที่ต้องพึ่งพาตระกูลเซี่ย เมื่อนางได้ดี เฟิ่งชิงเฉินจึงจะได้ดีไปด้วย หากนางให้กำเนิดพระโอรส เฟิ่งชิงเฉินจะมิได้ผลประโยชน์เลยหรือ

“ไม่มีเพคะ” เฟิ่งชิงเฉินแอบถอนหายใจเบาๆ ถึงแม้คุณธรรมในใจของนางจะไม่สงบแต่ก็จำต้องทำ การเป็นหมอนั้นไม่สามารถทำเรื่องต่างๆ ตามความต้องการของตัวเองได้ มีหลายครั้งที่หมอทำได้เพียงแค่แนะนำผู้ป่วย เรื่องการตัดสินใจที่แท้จริงนั้นเป็นของผู้ป่วยหรือครอบครัวของผู้ป่วยเอง ถึงแม้ว่านางจะรู้ว่าทำแบบนี้ถึงจะดีที่สุดต่อผู้ป่วย แต่ถ้าหากครอบครัวของผู้ป่วยไม่เห็นด้วย นางก็ไม่สามารถทำอะไรได้

นอกจากนี้ผู้ที่เป็นมารดายังไม่สนใจ แล้วนางจะใส่ใจไปไย ถ้าหากว่าทารกในท้องของสนมเอกเซี่ยเป็นเด็กผู้หญิงจริง เมื่อคลอดออกมาก็คงถูกลิขิตให้ไม่เป็นที่รักของบิดามารดา สนมเอกเซี่ยเองก็คงไม่ปกป้องนางให้เติบโตขึ้นมาอย่างปลอดภัย

เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่านี่เป็นการสะกดจิตตนเอง แต่มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้นางสบายใจขึ้นมาได้บ้าง

สนมเอกเซี่ยพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ชิงเฉิน เจ้าดูสิว่ามีอะไรที่ต้องเตรียมไว้บ้าง ข้าจะให้คนไปเตรียมมาให้”

“ไม่จำเป็น เหนียงเหนียงเพียงแค่ต้องนอนลงที่เตียง ให้ชิงเฉินได้ตรวจชีพจรดูก็พอแล้ว” เฮ้อ เครื่องมือที่ล้ำสมัยในกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ ไม่นึกเลยว่าต้องมาใช้ตรวจทางสูติให้กับนางสนมของจักรพรรดิ ช่างสิ้นเปลืองเสียจริง

นางดูเหมือนนรีแพทย์มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามในยุคสมัยนี้มีเพียงแค่สตรีเท่านั้นที่ต้องใช้หมอหญิง เพราะว่าพวกนางไม่มีทางเลือก ผู้ป่วยของนางส่วนมากจึงมีแต่ผู้หญิง เช่นเดียวกับหวังจิ่นหลิงและหลานจิ่วชิง พวกเขาเองก็ไม่มีทางเลือก หรือไม่หมออื่นๆ หมดหนทางจึงได้เลือกนาง องค์ชายรองแห่งซีหลิง ซีหลิงเทียนอวี่ก็เช่นกัน

ผู้ที่สายตาเฉียบแหลมอย่างซุนเจิ้งเต้านั้น ใต้หล้านี้มีน้อยนัก

ในสายตาของคนบนโลกใบนี้ อาชีพหมอนั้นให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องของคุณสมบัติและประสบการณ์ แน่นอนว่าถ้าอายุยิ่งมากก็ยิ่งดี แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะสามารถรักษาโรคที่รักษาได้ยากหลายโรค แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนเลื่อมใสศรัทธา

คนหนุ่มสาวที่น้อยประสบการณ์จะทำเรื่องใดก็ไม่มั่นคง แต่กลับกันแล้วหากว่าเป็นนาง นางก็คงไม่อาจเชื่อได้ว่าสตรีวัยเยาว์ที่อายุเพียงสิบห้าปีจะมีฝีมือแพทย์อันยอดเยี่ยม บวกกับนางรักษาภาวะมีบุตรยากของฮูหยินรองเซี่ยได้และทำให้คู่แม่ลูกฮูหยินของหนิงกั๋วกงซื่อจื่อปลอดภัย ชื่อเสียงเรื่องการรักษาโรคสตรีของนางจึงได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว

สนมเอกเซี่ยพยักหน้าและโบกมือเรียกนางกำนัลให้ประคองนางไปที่เตียง เรื่องความสามารถของเฟิ่งชิงเฉินนั้นก็สามารถทำให้นางยอมรับแล้วส่วนหนึ่ง ท่าทางมั่นใจ มั่นคงและสงบ ทำให้เห็นได้ว่านางเป็นคนที่มีความสามารถ

นอกจากนี้นางยังไม่กลัวว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมีแผนอะไร ต่อให้มีเสด็จอาเก้าคอยปกป้องอยู่แล้วอย่างไรเล่า หากตระกูลเซี่ยเอาจริง การสังหารเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ส่วนเรื่องการแก้แค้นของเสด็จอาเก้าหลังจากนั้นน่ะหรือ?

คนก็ตายไปแล้ว เขาก็ทำได้เพียงแค่ระบายความโกรธออกมาเท่านั้น เลือดเพียงเล็กน้อยจากตระกูลเซี่ยก็จะสามารถทำให้เสด็จอาเก้าพอใจได้ อย่างน้อยสนมเอกเซี่ยก็คิดเช่นนั้น ส่วนการแก้แค้นของเสด็จอาเก้าน่ากลัวมากเพียงใดคงจะมีเพียงแต่ฝ่ายตรวจการไม่กี่คนที่ทำให้เสด็จอาเก้าโกรธจึงจะรู้

“เหนียงเหนียง โปรดอนุญาตให้ข้าได้ล้างมือก่อน” หลังจากที่สนมเอกเซี่ยได้เอนตัวนอนแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็อาศัยโอกาสนี้เปิดใช้กระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ

นางไม่ใช่นรีแพทย์จริงๆ แม้แต่ในช่วงที่ฝึกงานนางก็ไม่เคยได้อยู่ที่แผนกนรีเวช เพราะอาจารย์ของนางบอกเอาไว้ว่ามือของนางนั้นเหมาะกับการถือมีดผ่าตัด แผนกศัลยศาสตร์ต่างหากที่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับนาง

การตรวจจับชีพจรของเฟิ่งชิงเฉินนั้นแม่นยำมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าการวินิจฉัยของกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะจะไม่มีข้อผิดพลาดเลยก็ตาม แต่คนเราก็ต้องหาทางถอยไว้ให้ตนเองเสมอ ถ้าหากว่าวันใดกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะเกิดเสียขึ้นมา การตรวจชีพจรเป็นก็ยังดีกว่าการทำอะไรไม่เป็นเลย รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม การผสมผสานของการแพทย์แผนจีนและตะวันตกจึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด

หลังจากเวลาหนึ่งถ้วยชา เฟิ่งชิงเฉินก็เก็บมือกลับไปและไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ก้มหน้าครุ่นคิด สนมเอกเซี่ยเดิมเป็นคนสงบมาก แต่เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินมีสีหน้าหนักอึ้ง อยู่ๆ นางก็รู้สึกกงวลไปหมด นางให้นางกำนัลช่วยพยุงลุกขึ้นนั่งและอยากจะเอ่ยถามออกไปอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็อดทนไว้

หมอหลวงที่เคยได้ตรวจดูไปแล้วต่างก็บอกว่านางกำลังตั้งครรภ์องค์ชายอยู่และเด็กก็แข็งแรงดี เพียงแต่ว่านางรู้สึกไม่สบายใจและนางไม่ไว้วางใจหมอหลวง จึงคิดให้เฟิ่งชิงเฉินมาตรวจดูให้ แต่เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินมีท่าทางแบบนี้ เด็กในท้องของนางเกรงว่า……

สนมเอกเซี่ยลูบท้องน้อยๆ ด้วยมือขวา ในดวงตามีประกายเย็นวาบ ไม่มีแม้แต่ประกายตาของคนเป็นแม่ที่สตรีมีครรภ์ควรจะมี…