บทที่ 1674+1675

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1674 อย่าได้เอาแต่ใจ…

“หลานจิ้งอี๋เป็นน้องสาวของจิ้งเคอ ยามจิ้งเคอยังมีชีวิตเป็นห่วงเป็นใยนางที่สุด ข้ารับปากจิ้งเคอไว้ว่าจะดูแลน้องๆ ของนางไปทั่วชีวิต” ตี้ฝูอีกล่าวอย่างเยือกเย็น “กู้ซีจิ่ว เจ้ากำจัดความคิดมุ่งร้ายที่มีต่อพวกเขาไปเสียจะดีที่สุด!”

สีหน้ากู้ซีจิ่วซีดเผือด ทว่ามุมปากกลับหยักยิ้มบางๆ “ไม่มีผู้ใดที่ปองร้ายสหายของข้าแล้วยังรอดกลับไปในสภาพสมบูรณ์ได้ หากว่าข้ามุ่งร้ายนางจะเป็นอย่างไรเล่า?”

ตี้ฝูอีหันหลังให้ “เช่นนั้นข้าก็จะมุ่งร้ายต่อสหายทุกคนของเจ้าเช่นกัน!”

เขาไม่สนใจเธออีก ตรงเข้าไปตรวจสอบหาเบาะแสร่องรอยในป่า

กู้ซีจิ่วยืนอยู่ที่เดิม นิ้วมือสั่นไหวเล็กน้อย

หากว่าเขาพูดจาข่มขู่ และมุ่งร้ายต่อเธอ บางทีเธออาจจะยอมแลกก็ได้! ด้วยอยากเห็นว่าเขาจะทำอะไรเธอได้ สังหารเธอ? กักบริเวณ? หรือจะขังไว้ในเขตหวงห้าม? เธอล้วนไม่แยแสทั้งสิ้น!

แต่ถ้าหากเขามุ่งร้ายต่อสหายของเธอ…

เขาเป็นคนที่กล้าพูดก็กล้าทำ!

แล้วเธอจะทำอย่างไรได้อีกเล่า?

ความเอาแต่ใจของเธอชักนำความเดือดร้อนมาให้หลงซือเย่แล้วครั้งหนึ่ง ทำให้พลังยุทธ์เขาถดถอยลงไปมาก แม้แต่ตำแหน่งสานุศิษย์สวรรค์ก็รักษาไว้ไม่ได้ หรือว่ายังต้องการจะสร้างความเดือดร้อนให้พวกเขาอีก?

ดังนั้นเธอไม่อาจล้างแค้นหลานจิ้งอี๋ได้ ต่อให้จิ้งจอกน้อยสิ้นชีพอยู่ที่นี่ เธอก็ไม่อาจเอาตัวหลานจิ้งอี๋มาล้างแค้นได้…

โกรธเคืองหรือว่าโศกเศร้า หรืออาจเป็นความไร้กำลังจะช่วยเหลือตัวเธอก็อธิบายไม่ได้เช่นกัน

โลหิตในทรวงพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง เธอสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง สะกดความฝาดเฝื่อนที่พุ่งขึ้นมาในคอลงไป

กู้ซีจิ่ว อย่าโกรธ อย่าเศร้า หากว่าคนแปลกหน้าคนหนึ่งข่มขู่เธอเพื่อความปลอดภัยของน้องสาวคนรักเขา นี่เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง เธอคิดว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าไปเสียก็พอแล้ว

เธอปรับอารมณ์ของตัวเองเล็กน้อย ทำให้ตัวเองสงบลง

ขณะที่เธอกำลังจะตรวจสอบป่าเหมยดูเช่นเดียวกัน ยันต์ถ่ายทอดเสียงตรงหว่างเอวก็เรืองแสงขึ้นมา เป็นเยี่ยนเฉิน เขาก็ร้อนใจยิ่งนักเช่นกัน กำลังรอข่าวจากเธออยู่

ตลอดการเดินทางนี้ของกู้ซีจิ่ว ทุกครั้งตอนที่โผล่ขึ้นมาหายใจบนผิวดิน ล้วนต้องติดต่อหาเยี่ยนเฉิน บอกกล่าวทิศทาง ดังนั้นพวกเยี่ยนเฉินจึงเดินทางตามหลังมาตลอด

ในเมื่อยืนยันแล้วว่าดงเหมยแห่งนี้ประหลาดยิ่งนัก กู้ซีจิ่วจึงติดต่อหาสหายเหล่านั้นของเธอ ให้พวกเขาที่อยู่ในละแวกนี้มาเป็นกำลังสนับสนุนให้

เมื่อเธอจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นตี้ฝูอียืนอยู่ไม่ไกลจากเธอ คล้ายกำลังรออยู่

เธอไม่มองเขาอีก หันหลังคิดจะไปตรวจสอบบริเวณอื่น

“ที่นี่อันตรายยิ่งนัก เจ้าตามมากับข้า” ตี้ฝูอีก้าวเข้ามา

“ไม่จำเป็น! แยกกันหาเถอะ จะได้เร็วหน่อย” กู้ซีจิ่วสะบัดหน้าเดินไป

ตี้ฝูอียุดแขนเสื้อของเธอไว้ “อย่าเอาแต่ใจ…”

เกิดเสียงดัง ‘แควก!’ แขนเสื้อกู้ซีจิ่วขาดเป็นสองส่วน เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าว หัวเราะหยันคราหนึ่ง “ตี้ฝูอี ท่านกลายเป็นยายเฒ่าจอมจู้จี้เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?! ดงเหมยกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ยังคงต้องแยกกันค้นหาถึงจะเร็วขึ้นหน่อย!”

“เจ้ากำลังโกรธเรื่องเมื่อครู่หรือ? ข้าไม่ได้เข้าข้างหลานจิ้งอี๋ ตลอดทางนี้ข้าตรวจสอบร่องรอยของนางแล้ว นางก็ถูกควบคุมเช่นกัน ที่ลักพาตัวหลานไว่หูมิใช่เจตนาของตัวนาง นาง…”

“เหอะๆ! ทราบแล้ว! วางใจเถิด ข้าไม่ปองร้ายนางหรอก!” กู้ซีจิ่วหัวเราะเบาๆ ตัดบทเขาเสีย ไม่คิดจะพูดกับเขาให้มากความอีก ใช้วิชาเคลื่อนย้ายจากไปทันที

เธอก็ชำนาญการแก้ค่ายกลเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกับเขาตลอด

เธอจำได้ว่าตอนอยู่ในยุคปัจจุบันก็เคยพบเห็นเรื่องเช่นนี้มาแล้ว ชายหญิงยุคปัจจุบันซื่อตรงใจกว้าง ต่อให้เลิกราเพราะคนรักทรยศนอกใจ ภายภาคหน้าก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ ถึงขั้นที่ไปมาหาสู่กันดั่งญาติพี่น้องได้

ตอนนั้นเธอก็รู้สึกว่าถูกต้องยิ่งนัก ยามนี้เมื่อนึกถึงขึ้นมากลับเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ!

เมื่อประสบพบพานการทรยศหักหลังแล้วยังเป็นเพื่อนกับอีกฝ่ายได้ จะต้องไม่เคยมีความรักลึกล้ำอย่างแท้จริงแน่นอน!

ก็เหมือนตัวเธอ ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจมองตี้ฝูอีเป็นสหายได้ ถ้าไม่ได้รักกัน เช่นนั้นก็ตัดขาดกันไปจนตายเสีย

———————————————————————-

บทที่ 1675 จิ้งจอกน้อยเป็นของเขา!

เธอในตอนนี้ยอมตัดขาดกันไปจนตายเสียยังดีกว่า ไม่ต้องพบเจอกันอีก

เธอส่ายหน้า ข่มอารมณ์ด้านลบทั้งหมดในจิตใจเหล่านั้นลงไป และเริ่มวิจัยป่าเหมยนี้

กู้ซีจิ่วทะยานขึ้นไปกลางอากาศ การมองลงมาจากด้านบนเห็นได้ชัดเจนยิ่งกว่า

มองเห็นเบื้องล่างมีคนก้าวย่างบนเส้นทางที่สลับคดเคี้ยวท่ามกลางป่าเหมยแดงฉาน

ป่าเหมยกว้างใหญ่ยิ่งนัก ดูไม่ค่อยเป็นระเบียบ แทบจะไม่แตกต่างจากป่าเหมยทั่วไป และมองไม่เห็นว่ามีค่ายกลอะไร

สายตาเธอร่อนลงบนเส้นทางกลางป่าเหมยที่คดเคี้ยวดังใยแมงมุมเหล่านั้น เส้นทางเหล่านี้มีใครบางคนเหยียบย่ำและมีใครบางคนเก็บกวาดออกไป โดยเฉพาะรอบนอก โดยปกติล้วนเก็บกวาดโดยมนุษย์

หัวใจของเธอพลันสั่นไหว!

ป่าเหมยกว้างใหญ่ไพศาล คนที่มาเชยชมดอกเหมยโดยส่วนมากจะชมบริเวณรอบๆ ของป่าเหมย ไม่มีทางบุกลึกเข้าไปในที่ห่างไกลได้ เช่นนั้น ส่วนลึกของป่าเหมยก็ไม่ควรจะมีเส้นทางที่ผู้คนเหยียบย่ำมากมายขนาดนี้…

อีกฝ่ายจงใจสร้างกลอุบาย หรือเส้นทางเหล่านี้มีความลับอะไร?

เธอจ้องมองอีกช่วงระยะหนึ่ง รู้สึกรางๆ ว่าช่วงที่ทางเหล่านั้นมาบรรจบกันเหมือนเป็นรูปแบบค่ายกลอะไรสักอย่าง คล้ายกับใยแมงมุม…

ใจกลางใยแมงมุมมีต้นเหมยแดงที่น่าดึงดูดเป็นพิเศษต้นหนึ่ง ต้นเหมยแดงนี้ค่อนข้างประหลาด มองดูทิศทางของกิ่งก้านเหล่านั้นดุจแมงมุมยักษ์สีแดงสด อีกทั้งดอกเหมยด้านบนยังมีสีสันสดสวยกว่าต้นเหมยอื่นๆ

แน่นอนว่าต้นเหมยต้นนี้หลบซ่อนอยู่ท่ามกลางต้นเหมยจำนวนมาก กิ่งก้านของดอกเหมยทุกต้นล้วนไม่เหมือนกัน มีบางกิ่งที่เหมือนกับสัตว์อื่นๆ ดังนั้นต้นนี้จึงไม่สะดุดตา

หากไม่ใช่ว่ากู้ซีจิ่วเป็นคนช่างสังเกต ต่อให้มียอดฝีมือค่ายกลอะไรมาเห็นทั้งหมดนี้ก็มองไม่ออกว่าคืออะไร

บางทีกลไกอาจอยู่บนต้นไม้ต้นนั้น!

ในขณะที่เธอกำลังจะเคลื่อนไหว ยันต์ถ่ายทอดเสียงที่เอวก็เปล่งแสงขึ้นอีกครั้ง เป็นเยี่ยนเฉินที่ติดต่อมาสอบถามทิศทาง

กู้ซีจิ่วบอกทิศทางไป หลังจากนั้นไม่นานเยี่ยนเฉินกับหลานเยวี่ยก็ตามมา

กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงว่าหลานเยวี่ยก็จะเหน็ดเหนื่อยเดินทางไกลตามมาด้วยเช่นกัน เธอเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง

หลานเยวี่ยเป็นคนเฉลียวฉลาด เข้าใจความหมายที่สายตาของกู้ซีจิ่วสื่อออกมา จึงทอดถอนใจ “นางเป็นคู่หมั้นของข้า ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องช่วยนางออกมาให้ได้”

คู่หมั้นสองคำนี้ระคายหูของเยี่ยนเฉินอย่างเห็นได้ชัด ทว่ายามนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจแข่งขันกับหลานเยวี่ยว่าผู้ใดที่เหนือกว่า

เขาตัดสินใจแน่วแน่ ครั้งนี้หลังจากช่วยจิ้งจอกน้อยออกมาได้ ไม่ว่านางจะสูญเสียพรหมจรรย์ไปแล้วหรือไม่ เขาจะไม่ยอมเสียนางไปอีกแล้ว ต่อให้เขาต้องใช้วิธีการผูกมัดก็ต้องมัดนางไว้ข้างกายเขาให้ได้!

จิ้งจอกน้อยเป็นของเขา!

เขาจะไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมท้อถอยอีกต่อไป

นางเข้ากับพ่อแม่เขาไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็จะพานางร่อนเร่ไปทั่วหล้า ไม่กลับบ้านอีก

ส่วนเรื่องการแต่งงานของนางกับหลานเยวี่ย เขาจะคิดหาทางช่วยให้นางถอนหมั้น ถึงแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตนี้ก็ตาม!

กู้ซีจิ่วบอกสิ่งที่ตัวเองตรวจสอบพบกับพวกเขา เยี่ยนเฉินร้อนใจ เขามองต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น ขณะที่กำลังจะกระโดดขึ้นไปก็ถูกกู้ซีจิ่วดึงรั้งไว้ “ช้าก่อน!”

หลานเยวี่ยก็ทอดถอนใจ “พี่เยี่ยน เจ้าช่างไม่สงบจิตใจเอาเสียเลย หากต้นไม้นี้เป็นตาค่าย จะต้องมีกลไกที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน เจ้าบุ่มบ่ามบุกเข้าไปเช่นนี้ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรอกหรือ? ต่อให้เจ้ามีพลังยุทธ์สูงส่ง ไม่มีทางรนหาที่ตาย ทว่าก็ทำให้คนในค่ายกลไหวตัวได้ทัน อยากจะช่วยคนออกมาก็ยิ่งเป็นการยาก!”

เยี่ยนเฉินทอดถอนใจเบาๆ เขาก็รู้ตัวว่าเขาบุ่มบ่ามเกินไป เพียงแค่ร้อนใจไปเท่านั้นเอง…

ทว่าเขาไม่เคยเห็นค่ายกลใหญ่ขนาดนี้ ควรจะทลายอย่างไรดี?

สายตาเขามองไปที่หลานเยวี่ย “เจ้ามีวิธีการอย่างไร?”

หลานเยวี่ยหักกิ่งดอกเหมยสูดดมอย่างละเอียด แล้วจึงพูดออกมาเพียงแค่คำเดียว “รอ!”

“รอ? รออะไร?”

“หากที่นี่คือสถานที่คุมขัง ด้านในต้องมีคนเข้าออกอย่างแน่นอน รอให้คนด้านในออกมา พวกเราลอบทำร้ายให้สลบคนหนึ่งแล้วค่อยแฝงตัวเข้าไปก็ได้”

——————————————————————–