ตอนที่ 221 หม่นหมองไร้ราศี 

 

 

 

 

 

“เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าจำได้ว่ายังมีดอกโบตั๋นเหลืออยู่สองดอก สีขาวแซมแดง เช่นนั้นก็นำมาปักผมเสียเป็นอย่างไร” อวี้อาเหราเสนอความคิด 

 

 

“จริงด้วยเจ้าค่ะ!” ดวงตาของเจาเอ๋อร์เป็นประกาย ก่อนจะรีบไปหยิบดอกโบตั๋นสองดอกนั้นมา 

 

 

ดอกไม้มีขนาดเท่าฝ่ามือของเด็ก อวี้อาเหราปักดอกไม้เอาไว้คนละแห่ง เมื่อส่องคันฉ่องอีกครั้งก็เห็นว่าตัวนางมีชีวิตชีวาขึ้นมาก ดูราวกับสาวงามที่ผุดขึ้นมาจากพุ่มดอกไม้ เจาเอ๋อร์จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชมออกมาด้วยความตกตะลึง “คุณหนูงดงามจริงๆ เจ้าค่ะ!” 

 

 

“เอาเถิด เวลาผ่านก็ล่วงเลยมาไม่น้อยแล้ว พวกเรารีบไปขึ้นรถม้าเข้าวังกัน” อวี้อาเหราพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ 

 

 

ในยามที่นางหมุนกายออกไปด้านนอกนั้น อวี้อาเหราก็ร้องเรียกเอาไว้เสียก่อน “เจ้าไปรายงานอนุรองกับเสด็จพ่อหน่อย ว่าประเดี๋ยวข้าจะตามไป” 

 

 

“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์รีบไปในทันที 

 

 

เวลาที่ยิ่งกระชั้นชิดมากขึ้น คาดว่ายามนี้หลิงอ๋องและอนุรองก็คงรอจนร้อนรนแล้วกระมัง  

 

 

จนกระทั่งอวี้อาเหาจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยแล้ว นางก็เดินออกไปทางประตู พบว่าหลิงอ๋องและคนอื่นๆ ก็ได้รออยู่ที่หน้าประตูอยู่นานแล้ว ยามที่เห็นนางสวมเสื้อผ้าชุดนั้นแล้วเดินเข้ามาด้วยสายตาเปล่งประกาย เขาก็มองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง “เจ้า…เจ้า…” 

 

 

“ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อเพคะ” อวี้อาเหรายิ้มแล้วก้มตัวทำความเคารพ 

 

 

อนุรองชะงักไป 

 

 

อวี้จื่อเยียนเมื่อเห็นเสื้อผ้าของอวี้อาเหราแล้วก็ย้อนกลับมาดูของตัวเอง นางสั่งตัดชุดร้านเสื้อซั่งอวิ๋นที่มีชื่อเสียงของเมืองเฟิ่งเฉิงล่วงหน้าตั้งหลายวัน เป็นชุดกระโปรงยาวสีม่วง ทั้งรูปแบบและการตัดเย็บมาจากช่างที่มีฝีมือดีที่สุด แต่หากมองจากสายตาของคนภายนอกแล้ว ชุดของนางถึงแม้จะดูสวย แต่เมื่อเทียบกับชุดของอวี้อาเหราแล้วก็ดูหม่นหมองลงไปไม่น้อย 

 

 

นี่ก็ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะรูปแบบของชุดนางก็ยังไม่ทันสมัยเท่าของอวี้อาเหรา ที่เพียงมองก็รู้สึกราวกับเปล่งประกายขึ้นตรงหน้าเสียแล้ว 

 

 

สีหน้าของนางยิ่งไม่น่าดูมากยิ่งขึ้น นางก็เกลียดเสียอยากจะเอากรรไกรมาตัดเสื้อของอวี้อาเหราทิ้งให้หมด! 

 

 

อวี้อาเหราเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับยิ้มน้อยๆ หันหน้าไปยิ้มให้อนุรองและอวี้จื่อเยียน “เป็นความผิดของข้าเอง ปล่อยให้อนุรองกับพี่สาวต้องรอนานแล้ว” 

 

 

“ไม่เป็นไร” หลิงอ๋องโบกมือ จ้องมองใบหน้าของนางด้วยความเหม่อลอย 

 

 

นางก็ช่างเหมือนพระชายาในยามเยาว์วัยยิ่งนัก หรืออาจจะพูดได้ว่าเหมือนราวกับเป็นคนเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น! 

 

 

เมื่ออนุรองและอวี้จื่อเยียนเห็นหลิงอ๋องพูดดังนั้น แน่นอนว่าก็ไม่กล้ามีความเห็นเป็นอื่น อนุรองรีบยิ้มกว้างออกมาในทันที “เกรงว่าคุณหนูรองคงจะมีเรื่องอะไรสักอย่างที่ทำให้เสียเวลา พวกเราย่อมจะเข้าใจอยู่แล้ว” 

 

 

เดิมทียังคงคิดว่านางไม่มีเสื้อผ้าใส่เป็นแน่ คิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ใส่ไฟนางต่อหน้าหลิงอ๋อง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอวี้อาเหราจะสวมเสื้อผ้าตัวใหม่มา อีกทั้งยังงดงามถึงเพียงนี้ นี่ก็ช่างไม่เหมือนกับเสื้อผ้าจากร้านตัดเสื้อซั่งอวิ๋นเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าสวยงามกว่ามาก เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วนางก็มองไปยังลูกสาวของตัวเอง ทันใดนั้นใบหน้าก็ซีดเผือดไร้ราศี อดไม่ได้ที่จะแอบรู้สึกโมโหขึ้นมาในใจ 

 

 

แม้ว่าอวี้จื่อเยียนจะไม่พอใจนัก แต่นางก็ไม่กล้าที่จะแสดงออกมา โอกาสที่จะได้เข้าวังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หากนางยั่วโมโหอวี้อาเหราเข้า ไม่ต้องพูดเรื่องที่จะได้เข้าไปในงานเลี้ยงเลย แม้แต่ได้ก้าวเท้าเข้าวังนางก็คงไม่มีโอกาส 

 

 

“เหตุใดเจ้าถึงได้มาช้าเช่นนี้เล่า” หลิงอ๋องไม่โกรธ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงสาเหตุ 

 

 

อวี้อาเหรานิ่งเงียบไป ก่อนจะลอบส่งสายตาให้กับเจาเอ๋อร์ 

 

 

เจาเอ๋อร์รับรู้ความนัยที่นางต้องการจะสื่อ จึงรีบคุกเข่าลงแล้วกล่าวว่า “ขอท่านอ๋องทรงโปรดอภัยด้วยเพคะ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะบ่าวประมาทเลินเล่อ ไม่ได้ไปเตรียมชุดจากร้านซั่งอวิ๋นมาก่อน เพราะอย่างนั้นคุณหนูจึงไม่มีชุดใส่ออกงานเพคะ” 

 

 

“แล้วชุดเดิมไปไหนเสียเล่า” หลิงอ๋องสงสัย 

 

 

“ชุดของคุณหนูนั้นก่อนหน้านี้เก่าจนขาดแล้วขาดอีก รูปแบบก็ล้าสมัย หากสวมเข้าวังไปเกรงว่าจะขายหน้ามาถึงจวนหลิงอ๋องเพคะ ดังนั้นแล้ว…” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 222 ไม่รู้เรื่องอะไร 

 

 

 

 

 

“ดังนั้นอะไร”  

 

 

“ดังนั้นในสถานการณ์ที่ไร้ทางเลือกเช่นนี้ คุณหนูจึงต้องลงมือเย็บเสื้อผ้าขึ้นมาด้วยตัวเอง ก็คือที่คุณหนูสวมใส่อยู่บนร่างในขณะนี้เพคะ” เจาเอ๋อร์เอ่ยอย่างตะกุกตะกักจนกว่าจะพูดจบ 

 

 

หลิงอ๋องตกตะลึงขึ้นมาในทันใด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอวี้อาเหราอีกครั้ง “ชุดนี้เจ้าทำเองหรือ” 

 

 

“เพคะ” อวี้อาเหราพยักหน้ารับเงียบๆ “เสื้อผ้าชุดนี้เป็นชุดที่ลูกนำเสื้อผ้าเก่าๆ มาปรับใหม่จริงๆ เพคะ ฝีมือไม่ประณีตนัก ก็ไม่ควรใส่ออกงานเลยจริงๆ แต่เพราะว่าลูกไม่อยากให้คนมาดูถูกจวนอ๋องของเรา และไม่อาจไปที่ร้านซั่งอวิ๋นเพื่อสั่งทำอีกชุดได้ เช่นนั้นจึงต้องลงมือทำด้วยตัวเองแล้ว ขอให้เสด็จพ่อทรงอภัยให้ลูกด้วยเพคะ” 

 

 

“อภัยอะไรกัน” หลิงอ๋องไม่พอใจ “เจ้าเป็นธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋อง เหตุใดแม้แต่ชุดดีๆ สักชุดถึงไม่มีเลยเล่า เจ้าบ่าวพวกนี้มัวทำอะไรกันอยู่!” 

 

 

“เสด็จพ่อ ทรงอย่าโทษคนเหล่านั้นเลยเพคะ พวกเขาเพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น มิเช่นนั้นคงไม่เลินเล่อเช่นนี้เป็นแน่” อวี้อาเหราเอ่ยชี้นำจนทำให้หลิงอ๋องต้องหรี่ตาลง ก่อนจะหันไปทางอนุรอง “หลายปีมานี้เจ้าเป็นคนจัดการเรื่องราวภายในจวน แต่เจ้ากลับทำกับอาเหราเช่นนี้หรือ” 

 

 

“ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะด้วยเพคะ!” อนุรองคุกเข่าลงในทันที แล้วก้มหน้าลงกล่าวว่า “หม่อมฉันดูแลคุณหนูรองอย่างดีมาโดยตลอด เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากพระชายาจากไปพวกสุนัขรับใช้เหล่านั้นจะกล้ารังแกคุณหนูรอง แม้ว่าหม่อมฉันจะไม่ได้เป็นต้นเหตุ แต่อย่างไรเสียก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้ เมื่อเห็นคุณหนูรองต้องทนลำบากถึงเพียงนี้ หม่อมฉันก็รู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนักเพคะ” 

 

 

“เจ้าไม่รู้เรื่องหรือ” หลิงอ๋องไม่ค่อยอยากจะเชื่อถือเท่าไรนัก แต่เมื่อคำนึงถึงเด็กที่อยู่ในท้องนางแล้วน้ำเสียงก็พลันอ่อนลง “เจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด กำลังท้องอยู่ อย่าได้คุกเข่าเลย” 

 

 

“หม่อมฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ เพคะ มิเช่นนั้นหม่อมฉันจะปล่อยให้คุณหนูรองถูกรังแกได้อย่างไรกันเพคะ” อนุรองน้ำตาไหลนองหน้าด้วยความระทม ราวกับทรมานเพราะความรู้สึกผิดกระนั้น จนทำให้หลิงอ๋องที่มองอยู่นั้นเกิดใจอ่อนขึ้นมา แต่ใบหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนสี 

 

 

“เสด็จพ่อ พวกเรารีบเข้าวังกันเถิดเพคะ มิเช่นนั้นแล้วหากฝ่าบาททรงพิโรธขึ้นมา ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรับผิดชอบได้นะเพคะ” อวี้จื่อเยียนเอ่ยเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ 

 

 

“อืม ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้กลับมาแล้วค่อยว่าก็แล้วกัน” หลิงอ๋องพยักหน้าลง แล้วขึ้นรถม้าไปก่อน 

 

 

“ตามข้ามาเถิด” อวี้อาเหราแอบปรายตามองสองแม่ลูก แล้วจึงค่อยขึ้นไปบนรถม้า 

 

 

เมื่อคนทั้งหมดขึ้นมากันจนครบแล้ว รถม้าจึงออกเดินทางไปยังวังหลวง 

 

 

หลังจากที่ลงจากรถม้าแล้ว หลิงอ๋องก็ออกคำสั่งว่า “อาเหรา เจ้าพาอนุรองกับเยียนเอ๋อร์เข้าวังเถิด งานเลี้ยงจัดขึ้นที่สวนบุปผาหลวงทางด้านนั้น พ่อจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อน อีกสักครู่จึงค่อยตามไป เจ้าคอยดูแลให้ดี โดยเฉพาะเด็กในท้องของอนุรอง” 

 

 

“เพคะ ลูกทราบแล้วเพคะ” แม้ปากของอวี้อาเหราจะตอบรับ ทว่าในใจกลับลอบสบถอย่างเย็นชา 

 

 

“คุณหนูรอง พวกเราก็เข้าไปกันเถิด” อนุรองมองไปยังพระราชวังด้วยความร้อนรน สิบปีก่อนหน้านี้ นางก็ออกมาจากที่แห่งนี้เพื่อเข้าสู่จวนหลิงอ๋อง เป็นเพราะฝ่าบาททรงประทานนางให้เป็นอนุภรรยา เพราะอย่างนั้นเพียงชั่วพริบตาก็ก้าวข้ามผ่านสถานะสาวใช้ไปเป็นอนุรองในทันที เห็นได้ว่าเป็นโชคดีที่ยากจะได้รับ 

 

 

สิ่งที่โชคดีที่สุดก็คือ หลังจากที่แต่งงานเข้ามาในจวนหลิงอ๋องแล้วนางก็สามารถให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวอย่างละหนึ่งคน แม้แต่ในยามที่พระชายายังคงพรชนม์ชีพนั้นนางก็มีสถานะสูง ไม่ต้องพูดถึงหลายปีหลังมานี้ หลังจากที่พระชายาในหลิงอ๋องให้กำเนิดอวี้อาเหราแล้วจากไป แม้นางจะไม่ได้ตำแหน่งพระชายา แต่ก็กุมกิจการต่างๆ ของจวนเอาไว้ในมือ ใครๆ ต่างก็ให้ความนับถือกันทั้งนั้น 

 

 

และสิ่งที่นางเกลียดชังก็คือ เรื่องราวที่เปลี่ยนไปหลังจากที่อวี้อาเหราตกหน้าผา! 

 

 

นี่จะทำให้นางไม่เกลียดได้อย่างไรกัน? 

 

 

“อืม” อวี้อาเหราพยักหน้าพร้อมสาวเท้าเดินไป ผ่านไปสักพัก อนุรองก็ยิ้มร้ายขณะที่พูดว่า “คุณหนูรอง ผ้าเช็ดหน้าของข้าน้อยตกพื้นเสียแล้ว อยากจะกลับไปเก็บเสียหน่อยเจ้าค่ะ”