ตอนที่ 219 ส่งเสริมเซียงซือ

 

 

ถึงแม้เซียงฉือจะนึกปลงในใจ แต่ก็ไม่กล้าให้กุ้ยเฟยรอนานจึงเอ่ยปากขึ้น

 

 

“ขอทรงพิจารณาด้วยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้มีความตั้งใจจะปฏิเสธ แต่เพราะหม่อมฉันเป็นพวกหุนหันพลันแล่น ความคิดอ่านไม่สุขุมเพียงพอ ไม่เหมาะจะเสนอตัวอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ หากมีอันต้องสูญเสียชีวิตก็เป็นการสมควร แต่หากต้องทำให้พระองค์ทรงเดือดร้อนด้วยก็จะเป็นความผิดของหม่อมฉัน ดังนั้นจึงไม่กล้ารับปากเพคะ”

 

 

“หม่อมฉันได้รับพระเมตตาให้ความสำคัญ มอบหมายตำแหน่งที่สำคัญเช่นนั้นให้ ยิ่งทำให้ยำเกรงหวาดหวั่น หากเกิดความประหม่าขึ้นต่อเบื้องพระพักตร์แล้วทำให้ฝ่าบาททรงเอือมระอาก็จะทำให้พระองค์ต้องพลอยยุ่งยากไปด้วยเพคะ”

 

 

เซียงฉือเจตนาเตือนเซียงซือไปด้วย ท่านปู่ที่ฉลาดปราดเปรื่องสุดยอดและคลุกคลีอยู่ในวงราชการมาทั้งชีวิตยังสะดุดล้มลงได้ แล้วถ้าหากต้องไปอยู่รับใช้เบื้องหน้าฮ่องเต้ทุกวี่วัน วันไหนที่ฮ่องเต้รู้ฐานะของพวกนางเข้า คงต้องเอือมและสงสัยในตัวพวกนางเป็นแน่ ไม่แน่ว่าวันนั้นอาจเป็นวันตายของพวกนางก็ได้

 

 

เรื่องพวกนี้กุ้ยเฟยไม่สนใจ เพราะชีวิตพวกนางนั้นไม่ได้มีราคาค่างวดสักแดงเดียวสำหรับนาง

 

 

เซียงฉือก็ไม่ต้องการให้เซียงซือเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า และการที่ทั้งครอบครัวต้องถูกจองจำก็เป็นเพราะฮ่องเต้ที่เลอะเทอะองค์นี้ นางไม่ต้องการมีความเกี่ยวพันอันใดกับฮ่องเต้องค์นั้น

 

 

พูดตามความหมายแล้ว จะว่าหรงจิงคือศัตรูคู่อาฆาตของพวกนางทั้งสองก็ไม่ผิด

 

 

แต่นางเห็นสายตาของเซียงซือแล้วรู้สึกว่านางไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ทั้งยังกลับแวววาวเต็มไปด้วยความคาดหวังกับเรื่องนี้

 

 

ส่วนเซียงซือฟังเซียงฉือเหมือนกำลังบอกปัดก็ร้อนใจอย่างยิ่งจึงรีบพูดออกไปอย่างลนลาน

 

 

“ท่านปู่เคยพูดว่า บุตรทั้งเก้าของมังกรล้วนมีความแตกต่างกัน หม่อมฉันกับเซียงฉือถึงจะสืบทอดสายเลือดเดียวกัน แต่นิสัยกลับไม่ค่อยเหมือนกันเพคะ”

 

 

“และในวังหลังนี้ไม่ช้าก็เร็วกุ้ยเฟยก็จะทรงเป็นผู้กุมอำนาจ หม่อมฉันเพียงใส่ใจระมัดระวังมากขึ้น ย่อมต้องช่วยเป็นกำลังให้พระองค์ได้เพคะ”

 

 

“ขอกุ้ยเฟยทรงเมตตาส่งเสริมหม่อมฉันด้วยเพคะ ภายภาคหน้าหม่อมฉันจะไม่ลืมพระกรุณาในวันนี้เลยเพคะ”

 

 

เซียงซือลนลานเกินไปจริงๆ ไม่มีความสุขุมสักนิด เซียงฉือถึงกับต้องส่ายหน้าในใจเมื่อได้ฟังคำพูดของนาง แต่เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้นางก็ไม่มีความสามารถพอจะแก้ไขได้ ถ้าหากกุ้ยเฟยยอมรับ วันข้างหน้านางคงต้องทุ่มเทสุดแรงกายแรงใจ แต่หากไม่ยอมรับ เกรงว่าวันนี้เซียงซือคงต้องถูกทารุณกรรมอย่างที่สุด

 

 

เซียงฉือก้มหน้าหลับตาลง นางกำลังคิดหาวิธีที่ดีที่สุด

 

 

ขณะนั้นสายตาหวังหมัวหมัวก็จับอยู่บนร่างคนทั้งสองอย่างประหลาดใจเช่นกัน เมื่อจินกุ้ยเฟยเห็นเซียงฉือก้มหน้าลงจึงค้อน

 

 

แต่พอฟังคำพูดของเซียงซือแล้ว กลับยิ่งรู้สึกว่าสาวใช้คนนี้พูดเป็นรู้จักพูด คุ้มที่จะเอามาขัดเกลา

 

 

กุ้ยเฟยชอบฟังคำยกยอปอปั้นของพวกสาวใช้ตลอดมาอย่างไม่รู้เบื่อหน่าย

 

 

เซียงฉืออ่อนใจได้แต่ยิ้ม มองดูใบหน้ายิ้มแย้มงดงามของเซียงซือแล้วพลันคิดขึ้นได้ว่า นางคืออวิ๋นเซียงฉือ ส่วนอวิ๋นเซียงซือก็คืออวิ๋นเซียงซือ นางไม่สามารถบรรจุความคิดของตัวเองเข้าไปให้กับเซียงซือได้

 

 

ปล่อยนางให้ไปทำในสิ่งที่ตนเองชอบก็เป็นการให้นางได้สมปรารถนา แบบนี้ก็ใช่จะไม่ดีที่ตรงไหน

 

 

เซียงฉือยิ้ม ตอนนี้กุ้ยเฟยเลิกสนใจในตัวเซียงฉือแล้ว ถึงครั้งก่อนเซียงซือจะถูกนางขับออกจากตำหนักอวี้หยวน แต่ตลอดมาความทรงจำของนางไม่สู้ดีนัก เรื่องนี้จึงเกือบถูกลืมไปหมดแล้ว

 

 

ทั้งตอนนี้ยังเกิดความรู้สึกว่าเซียงซือคนนี้รู้กาลเทศะมากกว่าเซียงฉือและยังตรงใจนางมากกว่าอีกด้วย

 

 

ถึงแม้หวังหมัวหมัวจะเอาแต่ส่ายหน้าอยู่ในใจ แต่ก็รู้ว่ากุ้ยเฟยได้ตัดสินใจแน่แล้ว

 

 

นางมองดูเซียงฉือด้วยความรู้สึกเสียดาย

 

 

เซียงฉือเงยหน้าขึ้นมองหวังหมัวหมัว ยิ้มจางๆ อย่างอบอุ่น แล้วจึงหันกลับไปมองเซียงซือ

 

 

“กุ้ยเฟยทรงมีชะตาสูงเกริกเกียรติ ท่านพี่ก็เป็นคนมีวาสนา การที่กุ้ยเฟยทรงส่งเสริมท่านพี่เช่นนี้คงเป็นเพราะชะตากำหนดโดยมีหม่อมฉันเป็นตัวเชื่อมโยง ทำให้พระองค์ได้สมพระราชหฤทัย”