ตอนที่ 651 เรื่องราวของลู่เหมียนเหมียน / ตอนที่ 652 คนที่สมควรตายคือเขา

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 651 เรื่องราวของลู่เหมียนเหมียน

 

 

รถม้าของซูหลีคันนี้มีลู่เหมียนเหมียนกับซูหลีนั่งอยู่ ส่วนชุยตานเสาะหารถม้าและคนขับรถม้าอีกคัน เพื่อนำพวกเฉิงเค่อที่ถูกมัดไว้ ซึ่งหมดสติและยังไม่รู้สึกตัวโยนเข้าไปในรถม้า จากนั้นสั่งให้คนขับรถม้าขับตามไปพร้อมรถม้าของพวกเขา

 

 

“ดื่มชาเถิด” ภายในรถม้าไม่มีสาวใช้ติดตามมาด้วย การชงชาเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ซูหลีสามารถทำได้ด้วยตนเอง นางนำชาร้อนแก้วหนึ่งส่งให้กับลู่เหมียนเหมียน

 

 

“ขอบคุณมาก” ลู่เหมียนเหมียนรับแก้วชามา ในดวงตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ

 

 

นางนั้นรู้สึกซาบซึ้งต่อซูหลีเป็นอย่างมาก กอปรกับในใจนางมีเรื่องอัดอั้นในใจ เวลานี้ก็อยากจะดื่มชาสักแก้วเพื่อให้สงบลง

 

 

“ดึกดื่นขนาดนี้ ไยแม่นางลู่ถึงปรากฏตัวที่นี่ได้” ซูหลีเห็นนางจิบชาอึกหนึ่งแล้ว จึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล

 

 

ทันทีที่ลู่เหมียนเหมียนได้ยินนางถามเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที เพียงแต่เมื่อเหลือบตามองก็พบกับแววตาที่อบอุ่นของซูหลี ในดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใย ทำให้หัวใจนางอบอุ่นขึ้นและไม่คิดมากอะไรอีก

 

 

ซูหลีเป็นผู้ช่วยชีวิตนาง นางรู้สึกซาบซึ้งใจที่สุด และแน่นอนว่านางไม่มีทางปิดบังเรื่องนี้กับซูหลี

 

 

เพียงแต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ลู่เหมียนเหมียนก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ!

 

 

นางผงะไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “เรื่องระหว่างข้ากับคุณชางเฉิง..เฉิงเค่อผู้นั้น คุณชายซูคงจะเคยได้ยินกระมัง”

 

 

ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงฉะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมองลู่เหมียนเหมียนอย่างอดไม่ได้

 

 

พูดตามความจริง ลู่เหมียนเหมียนนั้นมิถือว่ามีรูปโฉมโดดเด่นนัก อีกทั้งเป็นเพราะร่างกายของนางอ้วนท้วมสมบูรณ์ยิ่งทำให้นางดูสูงใหญ่และดูบึกบึนอยู่บ้าง ทว่าซูหลีไม่ใช่ผู้ที่ตัดสินผู้อื่นจากรูปลักษณ์ภายนอก จึงไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้เป็นธรรมดา

 

 

สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คืออากัปกิริยาของลู่เหมียนเหมียน

 

 

เดิมลู่เหมียนเหมียนก็ทราบดีว่า คนทั้งเมืองหลวงล้วนคอยหัวเราะเยาะนาง และรู้ด้วยว่าคนเหล่านั้นนำเรื่องที่นางคอยเฝ้าติดตามเฉิงเค่ออย่างไม่ยอมรามือวิจารณ์ไปทั่วเมืองหลวง

 

 

“คุณชายซูไม่ต้องตกใจ เรื่องเหล่านี้ข้าล้วนทราบดี และเป็น…และเป็นข้าที่แกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง” ลู่เหมียนเหมียนพูดถึงตรงนี้ก็อดยิ้มอย่างขมขื่นมิได้

 

 

ซูหลีเห็นดังนั้น ดวงตาก็วูบไหวเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาในทันที

 

 

ไม่ใช่นางไม่อยากจะพูด ทว่านางไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไรออกมาดี สำหรับหลายคนในโลกใบนี้ คำว่าความรักเป็นอุปสรรคที่ผ่านไปได้ยากลำบากที่สุด

 

 

การกระทำของลู่เหมียนเหมียนอาจมีคนจำนวนมากที่ไม่เข้าใจนาง อีกทั้งยังหัวเราะนาง ทว่าซูหลีกลับรู้สึกว่า ทุกคนล้วนมีทางเลือกของตัวเอง คนที่สามารถทำเหมือนลู่เหมียนเหมียนได้ และเข้าใจว่าตนเองกระทำสิ่งใดอยู่นั้นมีไม่มากนัก

 

 

อีกทั้งดูท่าทางของนางแล้ว แม้จะรู้อย่างแจ่มแจ้งว่าเรื่องนี้ไม่ดี ก็ยังถลำลึกเข้าไป

 

 

นางถือว่าเป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง

 

 

ซูหลีถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

 

ดูเหมือนว่าอารมณ์ของซูหลีจะส่งต่อไปถึงลู่เหมียนเหมียน ลู่เหมียนเหมียนวางจอกชาในมือลง ดวงตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง และเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

 

 

“ครั้งแรกที่ข้าเจอกับเฉิงเค่อ ในปีนั้นข้าอายุเจ็ดขวบ ข้าและท่านแม่ไปจุดธูปบูชาที่วัดชิงอวิ๋น ด้านนอกของวัดชิงอวิ๋นนั้นมีศาลาหนึ่งหลังตั้งอยู่มีชื่อว่าศาลาชิงอวิ๋น เมื่อถึงวสันตฤดูของทุกๆ ปี จะมีคนมาเดินเที่ยวที่ศาลาชิงอวิ๋น และข้าก็พบเขาที่นั่น”

 

 

เมื่อเอ่ยพูดถึงเรื่องในอดีต สายตาของลู่เหมียนเหมียนมีความคิดถึงช่วงเวลานั้น ใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนในทันที

 

 

ซูหลีเห็นดังนั้นก็ไม่ขัดจังหวะนาง ทั้งยังรับฟังอย่างอดทน

 

 

“สกุลของข้าเป็นครอบครัวทหาร สัมผัสกับเหล่าพี่ชายตั้งแต่เล็ก พี่ชายของข้าล้วนมีร่างกายแข็งแรงบึกบึน เมื่อพบเขาครั้งแรกข้าถึงได้รู้ว่า บุรุษก็สามารถมีรูปโฉมที่งดงาม หล่อเหลาจนไม่มีใครเปรียบได้ในยุคนี้…ในเวลานั้นเขาไม่ใช่คนเช่นนี้ เขานั้นเห็นว่าข้าน่ารัก อีกทั้งยังเด็ดดอกไม้มอบให้แก่ข้า เขาเอ่ยว่าชื่นชอบข้า อยากเป็นเพื่อนกับข้า”

 

 

หล่อเหลาจนไม่มีใครเปรียบได้ในยุคนี้…ซูหลีไม่อยากจะเห็นด้วยกับคำพูดประโยคนี้โดยแท้

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 652 คนที่สมควรตายคือเขา

 

 

ทว่านี่เป็นเพียงความคิดของนาง ในใจของลู่เหมียนเหมียน เฉิงเค่อในเวลานั้นจักเป็นคนที่ดีมากอย่างแน่นอน

 

 

มิเช่นนั้นก็คงไม่ทำให้นางเฝ้าติดตามมาตลอดหลายปีขนาดนี้

 

 

“นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในใจของข้างก็มิอาจมีคนอื่นได้แล้ว” ลู่เหมียนเหมียนพูดถึงตรงนี้ก็ลูบที่อกของตนเองอย่างห้ามไม่ได้ แววตาเผยความผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้นซูหลีก็ผงกศีรษะเบาๆ วัยเด็กไม่รู้จักความรัก เฉินเค่อเรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ทว่ารูปโฉมนั้นถือว่าไม่เลวเท่าไหร่นัก

 

 

จะว่าไป ในวัยเด็กใครจะไม่เคยตาบอดบ้าง แม้นางจะไม่เคยรักเสิ่นฉางชิง ทว่าก็เคยตาบอดเช่นกัน มิเช่นนั้นก็คงไม่มีจุดจบเช่นนั้น

 

 

“เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไปนาน คนก็เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้งเขาก็ปฏิบัติต่อข้าอย่างไม่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก มิได้มีความสนิท ทว่าข้ายังเชื่อว่าเขายังเป็นเด็กชายที่ยิ้มให้ข้าอย่างอ่อนโยนในสวนดอกท้อในปีนั้น ดังนั้น…” ลู่เหมียนเหมียนพูดถึงตรงนี้ ดูเหมือนนางจะรู้สึกเขินอายเล็กน้อย นางหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า

 

 

“ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้ ข้าจึงเฝ้ารอเขา ข้าคิดว่าจะมีวันหนึ่งที่เขาหวนคิดถึงวันที่เขาดีต่อข้า”

 

 

ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงนิ่งเงียบ

 

 

ลู่เหมียนเหมียนที่กำลังอยู่ในห้วงความรัก คิดไม่ถึงว่ากลับได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากเฉิงเค่อ เรื่องในวันนี้คงทำให้หัวใจของนางรู้สึกย่ำแย่อย่างแน่นอน

 

 

เฉิงเค่อผู้นั้นไม่ใช่คนดีอะไรนัก ซูหลีขมวดคิ้วขึ้นครั้นนางครุ่นคิดถึงเรื่องที่นางพบในตัวเฉิงเค่อ

 

 

“วันนี้เฉิงเค่อสั่งให้เด็กรับใช้มาหาข้าที่จวน เขากล่าวว่ามีเรื่องบางอย่างต้องการพูดกับข้า ข้าคิดว่าเขาจะคิดเหมือนกันข้าเช่นกัน เมื่อคิดได้เช่นนั้น ข้าจึงมาหาเขา วิ่งออกมาจากจวนโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น แม้แต่สาวใช้ก็ไม่ได้พามาด้วย”

 

 

ลู่เหมียนเหมียนพูดถึงตรงนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดในชั่วพริบตา ดูเหมือนว่านางยังหวนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้

 

 

“ข้าไม่เคยคิดเลยว่า เขาจะใส่ยาที่ทำให้ร่างกายอ่อนแรงลงไปในน้ำชาของข้า!” นี่เป็นสิ่งที่ซูหลีไม่เข้าใจเหมือนกัน นางจำครั้งแรกทีพบลู่เหมียนเหมียนได้ นั่นคือในงานชมบุปผาในจวนไหวอ๋อง ในเวลานั้นลู่เหมียนเหมียนรำเพลงหมัดได้อย่างสง่ามาก เพราะเหตุนี้ถึงทำให้ซูหลีจำลู่เหมียนเหมียนได้

 

 

คิกไม่ถึงว่า เฉิงเค่อจะใช้กลอุบายเช่นนี้!

 

 

“…คนดีที่ฝังอยู่ในจิตใจกลับทำต่อข้าเช่นนี้ เขากล่าวว่า เขาก็แค่หาเรื่องสนุกทำระบายอารมณ์ในยามที่หัวเสียก็เท่านั้น ทั้งยังเรียกสหายที่มีความประพฤติเลวๆ มาด้วย เขาอยากจะ…อยากจะล่วงเกินข้า!” ลู่เหมียนเหมียนพูดถึงตรงนี้ ทั้งร่างของนางก็สั่นเทิ้มอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่

 

 

“ไม่เป็นอะไรแล้ว” ซูหลีเห็นดังนั้นจึงอดที่จะพูดปลอบโยนมิได้

 

 

ลู่เหมียนเหมียนเหลือบตามองนาง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มฝืนใจ ผ่านไปพักใหญ่ นางจึงเอ่ยว่า “วันนี้โชคดีที่เจอคุณชายซู มิเช่นนั้นเกรงว่าข้า…จะไม่มีหน้ากลับไปพบท่านพ่อท่านแม่แล้ว คงจะใช้ความตายเพื่อขอร้องให้พวกท่านให้อภัย!”

 

 

“หากต้องตาย คนที่ต้องตายก็คือเขา!” หลังจากซูหลีได้ยินคำพูดประโยคนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา

 

 

ลู่เหมียนเหมียนเห็นดังนั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะมองซูหลีด้วยความประหลาดใจ

 

 

ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าที่เย็นชาของซูหลี นางจึงหวนคิดถึงซูหลีในความทรงจำ ใบหน้าของนางมักจะประดับด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใส่ใจเรื่องใดทั้งสิ้นเสมอ ในทางกลับกันน้อยครั้งมากที่นางจะมีสีหน้าเย็นชาและเคร่งขรึมเช่นนี้ออกมา

 

 

จะว่าไปแล้ว ลู่เหมียนเหมียนกับซูหลีก็ถือเป็นสหายกัน ก่อนหน้านี้ซูหลีช่วยกู้หน้านางหลายต่อหลายครั้ง ครานี้ก็ช่วยนางจากวิกฤตเช่นนี้ ลู่เหมียนเหมียนรู้สึกซาบซึ้งใจต่อซูหลีมาก ในครานี้จึงนำเรื่องทั้งหมดบอกเล่าแก่ซูหลี

 

 

“คนที่กระทำผิดคือเขา ไม่ใช่เจ้า ทำไมเจ้าจะต้องได้รับโทษเล่า?” ซูหลีเหลือบตาขึ้น ดวงตาสีนิลคู่นั้นมองไปที่ลู่เหมียนเหมียน ลู่เหมียนเหมียนถูกนางมองเช่นนี้ หัวใจจึงเต้นเบาๆ อย่างห้ามเอาไว้ไม่ได้

 

 

ไม่มีใครเคยเอ่ยคำพูดเช่นนี้กับนางมาก่อน ขนบธรรมเนียมของราชวงต้าโจวจะสามารถยอมรับเรื่องที่สตรีสูญเสียความบริสุทธิ์ได้อย่างไรกัน…