บทที่ 70 ความยุ่งเหยิง

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 70
ความยุ่งเหยิง

หลังจากที่ชางกวนโม่เดินออกไป มู่หรงเสวี่ยก็กลั้นน้ำตาตัวเองไว้ไม่อยู่ ถ้าเขาเอ่ยปากอธิบาย เธอก็จะเชื่อเขาแต่หลังจากที่ยืนอยู่นานเขาก็ไม่อธิบายอะไรออกมาเลย ไม่แม้แต่จะปลอบใจเธอ พวกเขามีเวลาอยู่ด้วยกันเป็นชั่วโมง เขาเอาคำปลอบใจทั้งหมดไปปลอบน้องสาวแสนดีอย่างไป๋เสวี่ยหลี่หมดแล้วหรือไงถึงได้เมื่อมาหาเธอเขาถึงไม่เหลือคำปลอบใจอะไรให้เธอแล้ว

บางทีเธออาจจะผิดเอง เธอคิดกับตัวเองมากเกินไป เธอทนที่จะเจ็บปวดอีกไม่ได้ เธอไม่มีความคิดเห็นกับไป๋เสวี่ยหลี่และเธอไม่สนใจแผลลวกที่มือเธอด้วยซ้ำ ไม่สำคัญว่าไป๋เสวี่หลี่ทำตัวเองหรือเปล่า เธอจะไม่โกรธ สิ่งที่เธอกังวลคือท่าทีของชางกวนโม่

ผู้หญิงที่ตกหลุมรัก ถ้าเธอลบออกจากหัวไม่ได้ก็อาจจะเจอจุดจบแค่เพราะคนที่รักไม่แคร์ ไม่สนใจ

ยิ่งเธอคิดเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกเศร้ามากขึ้นเท่านั้นและน้ำตาที่ไหลรินมากขึ้นจนหยุดไม่ได้

เวลาต่อมาจางหลินหลี่ก็เปิดประตูและเดินมา เขาได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆที่ดูเหมือนจะพยายามอดกลั้นอยู่ภายใต้ผ้าห่ม และแม้แต่ผ้าห่มก็ยังสั่นเล็กน้อย เขารู้ว่าตัวเองควรจะเดินออกจากห้องไปเงียบๆแล้วปล่อยให้เธอได้อยู่กับตัวเอง แต่เขากลับก้าวขาไม่ออก นี่คือแฟนของเพื่อนสนิทเขา ถึงแม้เป็นแค่การปลอบใจก็ยังไม่ควร แฟนของเพื่อนสนิทงั้นเหรอ?! เขาควรจะทำยังไงดี?

ทันใดนั้นก็เหมือนเขากำลังช็อก เขารีบหันหลังกลับและเดินตรงไปที่ห้องทำงานของตัวเอง

มู่หรงเสวี่ยฝังตัวเองอยู่ในความคิดของตัวเองและไม่เห็นใครอยู่ในห้อง

“เป็นอะไรไป หน้าซีดอย่างกับเจอผีมา?” จางเหวินหมิงที่เข้ามาหาลูกชาย ประหลาดใจมากที่เห็นลูกชายที่หน้าซีดเซียวรีบวิ่งเข้ามาในห้องทำงาน

เขาไม่อยากจะทำให้พ่อต้องตกใจจึงพยายามสงบสติและตอบออกไปอย่างสุภาพ “ไม่เป็นไรครับแค่เหนื่อยนิดหน่อย…”

จางเหวินหมิงขมวดคิ้ว ลูกชายของเขาเก่งเสมอและเขาภูมิใจมากด้วย บางทีช่วงนี้เขาอาจจะทำงานมากเกินไป หน้าเขาซีดมากจนเห็นได้ชัดจึงพูดออกไปว่า “ถ้าเหนื่อยมากก็กลับบ้านไปพักซะหน่อยสิ” น้ำเสียงพูดออกมาด้วยความเป็นห่วง

จางหลินหลี่ยิ้มออกมาอย่างเกร็งๆ “พ่อครับ ผมไม่เป็นไร ถ้าผมเหนื่อยผมจะกลับไปพักนะครับ บางทีอาจจะแค่เดินเร็วเกินไปก็เลยเวียนหัวไปหน่อยน่ะครับ…”

ทำไมต้องรีบเดินจนเวียนหัวด้วยล่ะ?!!! ช่างกันเถอะ เขาไม่ใช่เด็กเล็กๆที่ดูแลตัวเองไม่ได้ เมื่อคิดถึงรูปถ่าย ลืมไปเลยแต่เดี๋ยวค่อยเอาให้เขาทีหลังแล้วกัน
“สนใจตัวเองหน่อยนะ พ่อมีธุระต้องไปทำต่อ งั้นพ่อไปก่อนนะ!” สุดท้ายแล้วจางเหวินหมิงก็ไม่ได้เอารูปให้ลูกชาย มันเป็นรูปที่ภรรยาของเขาบอกให้ลูกชายไปนัดดูตัว

จางหลินหลี่ไม่ได้สังเกตว่าในมือของพ่อเขาถืออะไรอยู่ เขายังตกใจกับความคิดสกปรกของตัวเองอยู่

ชางกวนโม่ยุ่งมาก ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ซับซ้อนควบคู่ไปกับความสัมพันธ์ภายในของตระกูลชางกวนไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ แล้วยังมีเรื่องธุรกิจหลักของตระกูลอีกและแม้แต่ความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างทวีปต่างประเทศหลายแห่งอีก นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอื่นๆของตระกูลอีกที่ยังไม่ชัดเจน ซึ่งเขาอยากที่จะเข้าไปจัดการและเรื่องพวกนี้ทำให้เขาปวดหัว

นอกจากนี้ยังมีปัญหากับธุรกิจน้ำมันในประเทศ C อีก เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงมีปัญหาเรื่องการปลอมปนน้ำมันระหว่างการซื้อขาย เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่และต้องให้เขาเข้าไปจัดการด้วยตัวเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน เขาเพิ่งนึกได้ว่ามู่หรงเสวี่ยยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล การประชุมสุดท้ายไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไรและเขายังไม่ได้อธิบายกับเธอ ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูออฟฟิศของเขา

ชางกวนโม่ดึงสติของตัวเองกลับมาได้ “เข้ามา!”
เขาคิดว่าเป็นลูกน้องในบริษัท เขาเงยหน้าขึ้นมาและพบว่าคนนั้นคือชางกวนหลิน สีหน้าของเขาก็เข้มขึ้นในทันที “นายมาทำอะไรที่นี่?”

ชางกวนหลินยืนพิงประตูและหัวเราะอย่างแดกดัน “พี่คิดว่าฉันอยากจะมาหรือไง คุณปู่อยากให้พี่ไปที่ประเทศ C เดี๋ยวนี้เพื่อจัดการเรื่องปัญหาน้ำมัน ไม่งั้นท่านก็ไม่รังเกียจที่จะเปลี่ยนคนดูแล!”

“คิดว่าฉันไม่รู้หรือไงว่านายกำลังทำอะไรอยู่!” สิ่งที่เกิดขึ้นมามากกว่าสิบปีที่แล้วยังคงเป็นปริศนาแต่เบาะแสทุกอย่างต่างก็ชี้ไปที่น้องชายของเขา

“เห้อ! งั้นก็ไปจัดการปัญหาของตัวเองซะด้วย” แล้ว ชางกวนหลินก็หันหลังกลับแล้วเดินออกไป เขาไม่อยากที่จะเห็นสายตาน่าสงสัยของพี่ชายตัวเองอีก ช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้เขาเองก็ตามสืบเรื่องต่างๆด้วยเหมือนกัน

ชางกวนโม่ทุบโต๊ะแล้วกดปุ่มที่โทรศัพท์ “ตอนนี้จองตั๋วเครื่องบินไปประเทศ C ให้ฉันด้วย เดี๋ยวฉันจะไป!”

แล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เดิมทีอยากที่จะโทรไปหามู่หรงเสวี่ย แต่เขาจำได้ว่าเธอได้รับความกระทบกระเทือนและต้องพักผ่อน จึงเลือกที่จะโทรหาจางหลินหลี่และพูดออกไปว่า

“ฮัลโหล หลินหลี่ ฉันต้องไปประเทศ C สัก 2-3 วัน ฝากนายดูแลเสวี่ยหลี่และเสี่ยวเสวี่ยด้วยนะ…”

“นายจะไม่ลาพวกเธอหน่อยเหรอ?” จางหลินหลี่คิดถึง มู่หรงเสวี่ยที่ร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่ม

ชางกวนโม่เงียบไปชั่วครู่ “ไม่ล่ะ เวลามันไม่พอ ฝากนายบอกพวกเธอด้วยแล้วกัน”

“งั้นก็เดินทางปลอดภัยแล้วกัน” คนมากมายอยากที่จะเป็นชางกวนโม่และเป็นหัวหน้าตระกูล นี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขาที่จะได้ไปต่างประเทศ แต่เขาก็ยังเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเพื่อนด้วย

“โอเค งั้นเดี๋ยวกลับมาค่อยคุยกันนะ!” แล้วก็วางสายไป เมื่อคิดถึงมู่หรงเสวี่ยที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังก็ทำให้เขาปวดหัวแล้ว รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เขาจากไปโดยไม่กล่าวลากับเธอเลย เขาไม่ได้คิดว่าระหว่างสองคนนี้จะมีปัญหาอะไร สิ่งที่เขาคิดก็คือมันน่าจะเป็นเรื่องที่เธอเจ็บปวดเพราะเขาไม่สนใจและละเลยเธอแบบนี้

น่าจะพูดได้ว่าผู้ชายกับผู้หญิงมีโครงสร้างสมองที่แตกต่างกันและลำดับความสำคัญที่แตกต่างกัน

ในตอนเย็น มู่หรงเสวี่ยเบื่อที่จะโกรธเพราะการรอคอย ต่อมาเธอก็กลายเป็นยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ ชางกวนโม่ไม่มาหาเธออีกแล้ว เธออยากที่จะหาเหตุผลมาอธิบายเรื่องนี้ว่าเขาอาจจะยุ่งกับงานอยู่ แต่เขาก็มีเวลาที่จะโทรมาหรือส่งข้อความมาก็ได้นี่ หลังจากที่มองโทรศัพท์อยู่เป็นสิบรอบ เธอก็ไม่เห็นสายโทรเขาหรือข้อความอะไรเลย เธออยากที่จะคิดว่าโทรศัพท์มันเสียแต่แม่เธอเพิ่งจะโทรเข้ามาหาเธอ เธอคิดว่าตัวเองขอมากเกินไป คนอย่างชางกวนโม่จะมองเรื่องความรักจริงจังไปได้ยังไง? บางทีเธออาจจะเป็นแค่เครื่องปรุงของชีวิตที่เขาชอบ งั้นเธอจะแปลกใจอะไร

แผลที่หัวเธอยังเจ็บอยู่นิดหน่อย เตือนให้เธอรู้ว่าตัวเองถูกละเลยอีกแล้วซ้ำไปซ้ำมา
ทันทีที่จางหลินหลี่เปิดประตูเข้ามา เขาก็เห็นมู่หรงเสวี่ยที่กำลังจ้องไปที่เพดาน แม้แต่เสียงเปิดประตูของเขาก็ดึงความสนใจจากเธอไม่ได้

เขากระแอมค่อยๆ “มู่หรงเสวี่ย ที่หัวยังเจ็บอยู่หรือเปล่า? ผมมาช่วยคุณเปลี่ยนชุด…”
มู่หรงเสวี่ยหันหัวมาและเห็นว่าเป็นจางหลินหลี่ ความผิดหวังแวบขึ้นมาในดวงตาแล้วเธอก็ค่อยๆเผยรอยยิ้ม “พี่จาง ฉันโอเคค่ะ ไม่ต้องเปลี่ยนชุดให้ฉันหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว…” ถ้าคนที่เธอกำลังรอไม่มา แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ที่นี้?

จางหลินหลี่ไม่สนใจความผิดหวังในสายตาของเธอ เธอติดตรึงอยู่ในใจของเขาแล้วก็รีบผ่อนคลายอย่างรวดเร็ว แล้วก็เงยหน้าและพูดออกมา “ไม่ได้นะ! ถ้าแผลยังไม่หายดี คุณก็ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น…” เขารู้สึกไม่ดี “ผมจะช่วยคุณลุกและเปลี่ยนชุด” เมื่อพูดจบ จางหลินหลี่ก็เอื้อมมือเข้าไปเพื่อช่วยเธอลุกขึ้น

“ไม่ต้องค่ะ ฉันลุกเองได้ นี่แค่แผลเล็กน้อย ไม่ต้องให้ช่วยหรอกค่ะ…” แล้วเธอก็ลุกขึ้นด้วยมือข้างที่ไม่บาดเจ็บ

เขามองเธอด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้เธอจะบาดเจ็บ แต่เขาก็ไม่เห็นเธอร้องด้วยความเจ็บปวดเลย สีหน้าของเธอมีท่าทางสบายๆเสมอ เขาช่วยเธอทำแผลดังนั้นเขาจึงรู้ว่ามือเธอยังแดงและบวมอยู่ และที่มุมของโต๊ะที่หัวเธอกระแทกก็เต็มไปด้วยรอยเลือด เมื่อเขามองทีไรก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาเลย

ส่วนผู้หญิงอีกคนมีแผลแค่แผลลวกที่มือแต่กลับร้องไห้คร่ำครวญทั้งวันทั้งคืน ร้องโหยหวนอย่างกับหมาหอน อันที่จริงนี่ก็แค่ความรู้สึกส่วนตัวของเขาเอง ผู้คนมากมายร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดแต่เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้ชอบได้

เขาแค่รู้สึกว่าผู้หญิงอย่างมู่หรงเสวี่ยที่พูดว่าไม่เจ็บพร้อมด้วยรอยยิ้มกลับทำให้เขาเห็นใจมากกว่าอีก แต่เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะปลอบใจเธอ ส่วนคนที่มีคุณสมบัติกลับไม่อยู่ที่นี่

เขาค่อยๆช่วยเธอเปิดผ้าพันแผลที่พันไว้เมื่อวานออก และเห็นว่าเลือดที่แผลยังซึมๆอยู่จึงค่อยๆทำแผลอย่างเบามือ

มู่หรงเสวี่ยไม่ขยับ พี่จางเป็นหมอที่ดี เธอไม่แข็งแกร่งพอที่จะปฏิเสธข้อเสนอของเขา เธอแค่คิดว่าเธอน่าจะกลับ เธออยู่ที่นี่ในเมืองหลวง การประชุมหินพนันกำลังจะจบแล้ว หินหยกของเธอยังอยู่ในตู้เซฟส่วนตัวฝากไว้ที่งานประชุม ถึงแม้จะไม่มีใครกล้าที่จะเอาไป แต่เธอก็ต้องส่งมันกลับไปที่เมือง A และยังมีหยกอีกสองชิ้นอยู่ในห้องพักแขกอีก โชคดีที่มีคนของชางกวนโม่คอยเฝ้าอยู่ เธอจึงไม่ต้องห่วงอะไรมาก

เมื่อคิดถึงชางกวนโม่ เธอก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกในใจ
จางหลินหลี่ที่กำลังเปลี่ยนผ้าพันแผลให้มู่หรงเสวี่ย รู้สึกได้ชัดถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของมู่หรงเสวี่ย และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วเขาก็นึกได้ถึงเรื่องที่เพื่อนฝากมาบอกแล้วจึงค่อยๆเปิดปากพูดออกมา “เสี่ยวเสวี่ย โม่เพิ่งโทรมาหาผม…”

“คือ…” ไม่ใช่ว่าไม่มีเวลาหรอกแต่เวลามันไม่ใช่สำหรับเธอ
“เขาต้องเดินทางไปประเทศ C มีบางอย่างเกิดขึ้นที่นั่น…”
มู่หรงเสวี่ยประหลาดใจ “มีเรื่องอะไรเหรอคะ?! ร้ายแรงหรือเปล่า?” แล้วเธอก็รู้สึกโกรธและเป็นห่วงเขา…คนที่เธอรัก

จางหลินหลี่เห็นว่าเธอยังคงเป็นห่วงเพื่อนของเขา เขาดีใจมากที่เพื่อนได้เจอผู้หญิงดีๆแต่เขาเองก็รู้สึกผิดเล็กน้อยที่พูดอย่างชัดเจนไม่ได้ “เดาว่าน่าจะเป็นปัญหาใหญ่อยู่ ไม่งั้นเขาคงไม่ต้องไปจัดการด้วยตัวเอง เขาฝากให้ผมบอกพวกคุณและให้ดูแลเรื่องอาการบาดเจ็บของพวกคุณเป็นพิเศษด้วย…”

พวกคุณงั้นเหรอ?! หมายถึงเธอกับเสวี่ยหลี่ น่ารำคาญจริงๆ! ตอนนี้เธออดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบท่าทางที่ชางกวนโม่มีต่อเธอและไป๋เสวี่ยหลี่

เธอรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยจึงพูดออกไปอย่างอึดอัด “พี่จาง ฉันไม่มีอะไรที่ต้องทำแล้ว ฉันอยากที่จะกลับไปที่เมือง A …” เธออยากที่จะกลับบ้าน ไปหาพ่อกับแม่และโม่อ้ายหลี่ สิ่งที่เธอไม่ไว้ใจที่สุดคือเงาของชีวิตที่แล้วที่ยังหลงเหลืออยู่ เธอคิดว่าตัวเองปล่อยไปได้แล้วแต่อันที่จริงแล้วมันยังวนอยู่รอบตัวเธอและยังหาทางออกไปไม่ได้

“คุณจะกลับไปที่เมือง A งั้นเหรอ?!!! ไม่ได้ อย่างน้อยก็รอจนกว่าแผลที่หัวจะหายก่อน” จางหลินหลี่ขมวดคิ้ว

มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้มจางๆ “พี่จาง ลืมไปแล้วเหรอว่าฉันเป็นแพทย์จีนแผนโบราณน่ะ? ฉันรักษาแผลเล็กน้อยแค่นี้เองได้…”

ไม่ใช่เรื่องนั้น เขาไม่อยากให้เธอไป ถึงแม้เขาจะรู้ว่าตัวเองไม่มีโอกาสแต่แค่ได้เห็นเธอก็ดีแล้ว เขารู้สึกสับสน “มันก็ยังไม่ดีพอ”

เธอไม่เข้าใจ เธอแค่อยากที่จะกลับไปสถานที่ที่คุ้นเคยและผ่อนคลายหัวใจ มู่หรงเสวี่ยยิ้มเหมือนอยากที่จะร้องไห้ทำให้เขาอยากที่จะถอนคำพูดกลับมาจริงๆ “มู่หรงเสวี่ย เป็นเพราะโม่ใช่ไหม?”
เธอส่ายหัวเบาๆ “เปล่า…”

มันแปลกที่เธอเกือบจะร้องไห้ หลังจากที่เปลี่ยนผ้าพันแผลเสร็จ จางหลินหลี่วางผ้าพันแผลที่อยู่ในมือลงและนั่งตรงข้ามกับมู่หรงเสวี่ย “เสี่ยวเสวี่ย คุณเข้าใจโม่ผิด เขาไม่ได้ตั้งใจ…”

ไม่ได้ตั้งใจ งั้นทำไมเขาไม่พูดปลอบใจเธอสักคำแล้วยังไปต่างประเทศโดยไม่บอกอะไรสักคำ ตอนแรกมู่หรงเสวี่ยที่สงบแล้วกลับอดไม่ได้ที่จะตาเริ่มแดง สุดท้ายแล้วเธอก็สนใจเรื่องเล็กน้อยมากเกินไป

จางหลินหลี่ลุกลี้ลุกลน เขายังอธิบายเรื่องเพื่อนอย่างไม่หยุด “เขาไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ เขายังอยากที่จะมาอธิบายให้คุณฟัง แต่ผมบอกว่าคุณอ่อนเพลียมากปล่อยให้คุณพักก่อน…วันนี้เขาตั้งใจโทรมาหาผมเพื่อบอกให้ดูแลคุณให้ดีและดูแลคุณเป็นพิเศษมากขึ้นด้วย…จริงๆนะ…ผมสาบานได้เลย…”

น้ำตาไหลลงมาที่ผ้าห่มทีละหยดต่อเนื่อง เขาไม่เข้าใจ ไม่ว่าเขาจะพูดมากแค่ไหน แต่ก็ไม่เท่ากับให้ชางกวนโม่เป็นคนมาบอกเธอเอง จะทำให้เธอเชื่อได้ยังไง…คงทำได้เพียงแค่ปลอบเธอเท่านั้น

จางหลินหลี่ตกใจ “อย่าร้องไห้ ผมไม่พูดแล้ว…อย่าร้องนะ…” แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะกอดเธอไว้ในอ้อมแขนและตบเบาๆที่หลังของเธอ

มู่หรงเสวี่ยที่ร้องไห้อย่างคับแค้นใจ ร้องไห้ปลดปล่อยออกมาบนไหล่ของจางหลินหลี่

ในเวลานี้ทั้งสองไม่สังเกตเลยว่าที่นอกประตู ไป๋เสวี่ยหลี่หยิบโทรศัพท์ออกมาและกดถ่ายรูปผ่านช่องประตูที่ปิดไม่สนิท

หลังจากเวลาผ่านไปนาน มู่หรงเสวี่ยก็หยุดร้องไห้คร่ำครวญ มองไปที่รอยคราบน้ำตาที่ไหล่ของจางหลินหลี่ เธอก็หน้าแดงระเรื่อด้วยความอาย “พี่จาง ขอบคุณนะคะแล้วก็ต้องขอโทษด้วย…”

หัวใจของจางหลินหลี่อ่อนลงเพราะเธอหยุดร้องไห้แล้ว แล้วเขาจะสนใจเรื่องรอยน้ำตาที่เสื้อทำไม “ลืมไปแล้วเหรอว่าผมยังเป็นลูกศิษย์ของคุณอยู่ ในฐานะลูกศิษย์ผมทำได้ทุกอย่างแหละ ฮ่าฮ่า…”
มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ “คุณนี่โง่จริงๆ ช่างอุทิศตัวเองกับเรื่องการแพทย์จริงๆ!
จางหลินหลี่พยักหน้าอย่างสิ้นหวัง “ฮ่าฮ่า งั้นคุณคงไม่หนีกลับไปที่เมืองA รู้ไหมถ้าคุณไม่สอนผมนะ ผมจะตามคุณไปสุดล่าฟ้าเขียวเลย!” เขาดีใจมากที่จะได้เรียนรู้จากเธอ เพื่อที่เขาจะได้เข้าใกล้เธอมากขึ้นโดยไม่ต้องข้ามเส้น