บทที่ 71 การปลดปล่อย

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 71

การปลดปล่อย

เธอเคยได้ยินที่ชางกวนโม่พูดถึงเพื่อนสนิทของเขาและรู้ว่าเขาหลงใหลเรื่องการแพทย์อย่างมาก ดังนั้นเธอจึงไม่แปลกใจ ถึงแม้ความกระตือรือร้นในดวงตาของเขาจะไม่แสดงถึงความต้องการที่จะเรียนเรื่องการฝังเข็มและการรมยาเลย แต่เธอก็ไม่ได้คิดไปในทางอื่นเลย

“ตอนนี้ฉันเสียใจได้ไหม? คุณไม่เหมือนลูกศิษย์เลยสักนิด คุณนี่เหลือเกินจริงๆ” มู่หรงเสวี่ยแสดงท่าทางทำอะไรไม่ถูก

“ไม่ได้นะ” จางหลินหลี่ได้ที่ต้องการแล้วและจะไม่ยอมเสียไปเด็ดขาด! “ฮ่าฮ่าฮ่า!!! ยอมรับเถอะน่า” จางหลินหลี่หัวเราะคำราม

ขำ! ขำจะตาย! แต่ก็ยังมีความรู้สึกอายอยู่บ้างและบรรยากาศก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

มู่หรงเสวี่ยคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พูดออกไป “งั้นให้ฉันออกจากที่นี่ก่อน นี่ก็แค่บาดเจ็บเล็กน้อย…”

รอยยิ้มของจางหลินหลี่หุบลง “คุณไม่เป็นไรจริงๆเหรอ? แผลยังไม่ดีขึ้นเลย…”

“ไม่เป็นไร!” อันที่จริงถ้าเธอใช้ยาของตัวเองคงจะดีขึ้นมาก เพียงแค่ต้องเข้าไปในมิติลับ มันไม่ค่อยดีเท่าไรที่จะเอาออกมาข้างนอกที่ว่างเปล่าอย่างกะทันหันแบบนี้

“อีกอย่างนะเสี่ยวเสวี่ย คุณจะกลับไปที่เมือง A เมื่อไร? ถ้าคุณไม่รีบที่เมืองหลวงยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกหลายที่ เอาเป็นว่าให้ลูกศิษย์คนนี้เป็นคนนำเที่ยวดีไหม?”

เที่ยวในเมืองหลวงงั้นเหรอ? นี่เธอก็มาอยู่เมืองหลวงเกือบเดือนแล้ว แต่ยังไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย ชางกวนโม่ยุ่งมากๆ แล้วเธอก็ไม่อยากที่จะออกไปช้อปปิ้งคนเดียวด้วย เธอได้ไปซื้อเสื้อผ้าแค่ในวันแรกเท่านั้น ก่อนที่จะกลับเธอยังต้องซื้อของฝากอีกด้วย “โอเคค่ะพี่จาง ขอบคุณนะคะ พรุ่งนี้เป็นยังไงคะ?”

“พรุ่งนี้ ได้เลย”

“งั้นฉันก็กลับได้แล้ว” มู่หรงเสวี่ยพูด

จางหลินหลี่ชี้ไปที่ขี้ผึ้งข้างๆเธอ “ไม่ต้องกลัว มือคุณยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าพันแผลเลยนะ?”

“โอ้ โอเคค่ะ” มู่หรงเสวี่ยหัวเราะแล้วยื่นมือที่ถูกพันไว้ใหญ่อย่างกับกีบเท้าหมู

เขาค่อยวางมือเธอลงที่เข่าเขาแล้วค่อยๆเปิดผ้าพันแผลเพราะกลัวว่าจะทำให้เธอเจ็บ

ไม่เสียแรงที่ได้หมอผู้เชี่ยวชาญมาดูแล เมื่อได้เห็นท่าทางที่อีกฝ่ายทำแผล เธอไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด มู่หรงเสวี่ยคิด

หลังจากที่ทำแผลเสร็จ จางหลินหลี่ก็ช่วยมู่หรงเสวี่ยเรื่องขั้นตอนการปล่อยตัวกลับ อย่างไรก็ตามมู่หรงเสวี่ยอยากที่จะแวะไปห้องข้างๆ ไม่ว่าจะยังไง ถึงแม้ก่อนหน้านี้เธอจะทำเรื่องผิดพลาดไว้มากเพราะเรื่องจริงก็คือที่เสวี่ยหลี่ถูกลวกแบบนี้ก็เพราะเธอ งั้นเธอก็ควรจะแวะไปหาเธอก่อน เธอไม่อยากที่จะเกี่ยวข้องในความสัมพันธ์ของไป๋เสวี่ยหลี่กับชางกวนโม่

ในห้องของไป๋เสวี่ยหลี่ เธอกำลังนอนอยู่ที่เตียง อ่านหนังสือและแสงแดดก็ตกมากระทบที่หน้าขาวนวลของเธอ เธอดูสวยราวกับเอลฟ์ เธอสวยมากจริงๆ เธอรู้สึกแบบนั้นตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอแต่ในเวลานั้นหน้าของเธอซีดเผือดเพราะอาการป่วย แต่ตอนนี้คำว่าสวยสำหรับเธอมันยังน้อยเกินไป ถ้าเธอมีน้องสาวแบบนี้ เธอก็คงจะดูแลอย่างดี อีกอย่างเธอช่วยชีวิตชางกวนโม่ไว้ ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะเป็นห่วง

เมื่อคิดแบบนี้ ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็รู้สึกว่าทำไมเธอจะต้องโกรธด้วยล่ะ? ยังไงซะเธอก็เทียบกับความรู้สึกของพี่น้องที่รู้จักกันมานานหลายปีได้หรอก

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะและพูดออกไปว่า “เสวี่ยหลี่ เป็นยังไงบ้าง? มือยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?”

ไป๋เสวี่ยหลี่เงยหน้าขึ้นและเห็นว่าเป็นมู่หรงเสวี่ยที่แสดงสีหน้าสำนึกผิด “เสี่ยวเสวี่ย วันนั้นฉันขอโทษด้วยนะ แต่ฉันไม่คิดว่าพี่ใหญ่จะผลักเธอแรงแบบนั้น ฉันเองก็อดตกใจไม่ได้…”

“ฉันจะโทษเธอได้ยังไงล่ะ? มันก็แค่อุบัติเหตุ มือเธอยังเจ็บอยู่ไหม?” มู่หรงเสวี่ยยิ้มและไม่สนใจที่เธอพูดถึงเรื่องที่น่าปวดใจ ในความคิดของเธอ ไป๋เสวี่ยหลี่ก็แค่ใจดีและรู้สึกผิด

เมื่อเห็นว่าเธอดูเหมือนจะไม่สนใจ ไป๋เสวี่ยหลี่ก็พูดต่อ “ไม่คิดมากนะเสี่ยวเสวี่ย พี่ใหญ่ก็เป็นแบบนี้ตลอดแหละ เขาไม่ได้ตั้งใจ ทันทีที่ฉันบาดเจ็บ เขาก็จะเป็นห่วง จนบางทีก็ลืมตัวไปบ้าง อย่าไปโกรธพี่ใหญ่เลยนะ…”

มู่หรงเสวี่ยยิ้มอย่างฝืนๆ “ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้โกรธแต่เรื่องที่ฉันบาดเจ็บไม่สำคัญหรอก…”

“ดีแล้วที่เธอไม่โกรธ อีกอย่างนะ ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่โทรหาฉัน เขาต้องไปประเทศ C สักพักแล้วก็ยังกลับมาไม่ได้…”

ชัดเจนแล้วว่าเขาโทรหาทุกคนแต่เธอกลับไม่ได้รับแม้แต่ข้อความ “อ่อ เข้าใจแล้ว อีกอย่างนะเสวี่ยหลี่ เธอมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” ยังไงซะเธอก็ดูแลเรื่องการฝังเข็มและการรมยา ถึงแม้ว่าพื้นฐานแล้วจะไม่มีปัญหาอะไรแต่มันก็ดีกว่าที่จะถาม ไม่งั้นเมื่อเธอกลับไปที่เมือง A เธอก็คงจะเป็นห่วง

ไป๋เสวี่ยหลี่ยิ้ม “อ่า! ฉันไม่เป็นอะไรเลยแต่พี่ใหญ่กังวลมากและยืนยันให้ฉันอยู่สังเกตอาการที่โรงพยาบาล…”

“ดีแล้วล่ะ ฉันพร้อมที่จะกลับไปเมือง A แล้วนะ ก็เลยเป็นห่วงว่าเธอจะรู้สึกไม่สบาย แต่ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกมาได้เลยนะฉันจะได้เลื่อนเวลากลับออกไปก่อน…” มู่หรงเสวี่ยยิ้มอ่อน ถึงแม้เธอจะไม่ได้อยากที่จะหัวเราะ

“เสี่ยวเสวี่ยจะกลับบ้านแล้วเหรอ ฉันคิดถึงบ้านจัง แต่ไม่เป็นไรนะเดี๋ยวอีกสองวันฉันก็กลับแล้ว ฉันแข็งแรงดีไม่ต้องเป็นห่วงนะ อีกอย่างโรงพยาบาลนี้ก็ใหญ่โต” กลับไปเลย รีบๆกลับไปเลยก็ดี

“งั้นฉันขอตรวจดูอีกทีนะ” มู่หรงเสวี่ยยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เธอเอื้อมมือออกมาเพื่อตรวจชีพจรของเธอ

ทันใดนั้นไป๋เสวี่ยหลี่ก็รีบส่ายมือเมื่อเห็นว่ามู่หรงเสวี่ยกำลังเอื้อมมาที่หัวของเธอแล้วจึงยิ้มแปลกๆ “มู่หรงเสวี่ย…ขอโทษนะ…ฉันไม่ค่อยชินกับการให้คนอื่นที่ไม่ใช่พี่ใหญ่มาแตะตัว…” หลังจากนั้นเธอก็ดูเหมือนจะเสียใจที่ได้เจอมู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยประหลาดใจ ไป๋เสวี่ยหลี่ นี่เธอเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า…ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าไป๋เสวี่ยหลี่ไม่ได้คิดกับชางกวนโม่แค่พี่น้อง

แต่ดูเหมือนว่าสีหน้าของเธอจะมีแต่ความเขินอายไร้ซึ่งการมองว่าเธอเป็นศัตรูอะไรเลย บางทีเธออาจจะแค่ติดพี่ชายเฉยๆก็ได้ เธอคิดมากไปเอง เธอสะบัดความคิดนี้ออกจากจิตใจ

“ขอโทษนะ ฉันไม่รู้แต่ขอฉันดูหน่อยได้ไหม?”

“ไม่ต้องหรอก วันนั้นพี่ใหญ่กลัวว่าฉันจะเป็นอะไรเลยให้พี่จางตรวจร่างกายทั้งหมดแล้ว ฉันเชื่ออุปกรณ์พวกนั้นมากกว่าสายตาธรรมดา…” ถึงแม้พี่ใหญ่จะบอกว่ามู่หรงเสวี่ยเป็นคนที่ช่วยชีวิตเธอไว้ แต่เธอกลับไม่เชื่อเลยสักนิด บางทีเธออาจจะแค่บังเอิญฟื้นขึ้นมาเองก็ได้

มู่หรงเสวี่ยคิดเรื่องนี้และจางหลินหลี่ก็เชื่อในความสามารถของตัวเองมาก “โอเค คือพรุ่งนี้ฉันจะออกไปเที่ยวเมืองหลวงกับพี่จาง เธออยากจะไปด้วยกันไหม?” เธอรู้สึกว่าเธอคงจะเบื่อที่ต้องอยู่ในห้องทั้งวันเลยอยากที่จะชวนเธอออกไปเที่ยวด้วยกันพรุ่งนี้

“ดวงตาของเสวี่ยหลี่เปล่งประกายขึ้นมา “ฉันไม่ไปหรอก ฉันไม่ควรจะออกไปข้างนอก ฉันอยู่ในโรงพยาบาลดีกว่าแล้วฉันก็เบื่อเมืองหลวงแล้วด้วย เธอออกไปเที่ยวเถอะ ขอให้สนุกนะ!”

มู่หรงเสวี่ยยิ้ม “โอเค แวะมาเที่ยวเมือง A บ้างนะแล้วจะพาไปเที่ยวนะ”

เมือง A บ้านนอกจะตายไป เธอไม่มีวันไปหรอก เสียเกียรติแย่เลย! คิดแบบนั้นในใจแต่ก็ยังทำเป็นหน้ายิ้มรื่น “โอเค ถ้าพี่ใหญ่ว่างเมื่อไร ฉันจะให้พี่ใหญ่พาไปเที่ยวแน่ๆ”

มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจความรู้สึกไม่สบายใจและลุกขึ้น “งั้นฉันไปก่อนนะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรหาฉันได้เลยนะ เธอพักผ่อนเถอะ”

“บายจ๊ะ!” เธอยิ้มจนกระทั่งมู่หรงเสวี่ยเดินออกนอกประตูไปแล้วใบหน้าเย็นชาก็กลับมา เห้อ!

มู่หรงเสวี่ยเดินออกจากประตูโรงพยาบาลแล้วก็เจอเข้ากับร่างสุดเท่ของจางหลินหลี่

“พี่จาง มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงคะ?”

“มารอคุณไง ฉันจะไปส่งเอง ป่ะ ขึ้นมาเลย!” จางหลินหลี่เปิดประตูและไม่ให้โอกาสมู่หรงเสวี่ยได้ปฏิเสธ

มู่หรงขึ้นรถและเธอไม่ได้คิดที่จะปฏิเสธ มีคนไปส่งก็ดีกว่าอยู่แล้วและที่นี่ก็ไม่มีแท็กซี่ด้วย “พี่จาง คุณเลิกงานแล้วเหรอคะ?”

จางหลินหลี่พูดพร้อมรอยยิ้ม “ฉันว่างน่ะ!”

เป็นสังคมที่มีสิทธิพิเศษดีจริงๆ! “โอเค ดีเลย งั้นพรุ่งนี้เจะไปไหนดี?” สงสัยจังว่าเมืองหลวงมีอะไรสนุกบ้าง

“พรุ่งนี้ก็รู้เองแหละ ผมไม่บอกหรอก” ฮ่าฮ่า เขายังไม่ได้คิดเลย

มู่หรงเสวี่ยทำเสียงขำแต่ก็ไม่นาน “ฉันไม่ปล่อยคุณไว้แน่นะถ้าไม่สนุกอ่ะ อีกอย่างคุณรีบหรือเปล่า?”

“ไม่หรอก มีอะไรเหรอ?”

“ฉันจะกลับเมือง A ในอีกสองวันใช่ไหมล่ะ? ถ้าคุณโอเค ฉันอยากจะสอนวิธีการฝังเข็มและการรมยาของแพทย์จีนแผนโบราณบางข้อให้คุณวันนี้เลย” มู่หรงเสวี่ยคิดอย่างรอบคอบแล้วว่าทักษะการแพทย์ควรจะถูกส่งต่อให้กับคนที่เหมาะสมเพื่อที่จะได้สืบต่อไป

จางหลินหลี่รีบหันหน้ามาหามู่หรงทันที “จริงเหรอ?”

“ฮัลโหล มองรถด้วยค่ะ!!!” มู่หรงเสวี่ยร้องเตือน

“ผมขับ คุณสบายใจได้เลย!”

มู่หรงเสวี่ย:

ไม่นานเธอก็มาถึงวิลล่าที่ชางกวนโม่เคยอยู่ก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จางหลินหลี่มาที่วิลล่าของเพื่อนแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอึดอัดใจ ดูเหมือนว่าบรรยากาศจะเต็มไปด้วยพื้นที่ของคนสองคนที่อยู่ด้วยกัน ทั้งรองเท้าแตะคู่, แก้วน้ำชาคู่ที่วางอยู่บนโต๊ะและของอื่นๆเล็กๆน้อยๆที่วางกระจายอยู่ทุกที่อีก

เขารู้สึกเจ็บหัวใจ ถึงแม้เขาจะรู้ว่าตัวเองไม่คู่ควร

อันที่จริงมู่หรงเสวี่ยก็ไม่ได้ดีนัก เธอไม่อยากที่จะเข้ามาที่นี่ ในเวลานี้เมื่อเธอรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรกับชางกวนโม่ และเขาก็ดูเหมือนจะไม่สนใจเลยสักนิด ราวกับว่าเธอเป็นฝ่ายเดียวที่รู้สึก ยิ่งทำให้ไร้อำนาจขึ้นไปอีก

“พี่จาง รอเดี๋ยวนะคะฉันจะไปเก็บของ…” เธอไม่อยากที่จะเผชิญกับความทรงจำของคนสองคนตามลำพัง เลยตัดสินใจที่จะไปพักที่โรงแรม

จางหลินหลี่ประหลาดใจ “เก็บของเหรอ? ทำไมล่ะ?”

“ฉันขอโทษนะคะแต่คืนนี้ฉันจะไปพักที่โรงแรม ช่วยพาฉันไปส่งอีกทีนะคะพี่จาง…” เธอหันหลังและเดินเข้าไปในห้องเพื่อเก็บกระเป๋าเสื้อผ้า

จางหลินหลี่รู้สึกว่าเขาควรจะโทรหาเพื่อนและบอกเรื่องนี้แต่ใจเขาเอาแต่ถือโทรศัพท์ไว้อย่างนั้นโดยไม่กดเบอร์โทรออก

จนกระทั่งมู่หรงเสวี่ยเก็บของเสร็จ เขาก็ไม่ได้กดเบอร์โทรออก

“ไปกันเถอะค่ะพี่จาง!”

“โอ้ โอเค มู่หรงเสวี่ยแต่ที่โรงแรมมันไม่ปลอดภัยนะ ผมมีอพาร์เมนท์เล็กๆที่ไม่มีใครอยู่ เอาเป็นว่าไปค้างที่นั่นสักสองวันดีไหม?” จางหลินหลี่ถาม