ตอนที่ 1565

War sovereign Soaring The Heavens

อาคมมาร?

 

ในประเทศฝูเฟิง ผู้ที่ถูกเรียกหาว่าองค์ชายนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นเชื้อพระวงศ์ของฝูเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!

 

ด้วยราชวงศ์ของประเทศฝูเฟิงเป็นถึงขุมพลังชั้น 6 แน่นอนว่าขุมพลังรบย่อมเหนือกว่าขุมพลังชั้น 7 อย่างทาบไม่ติด

 

ในสำนักจันทร์จรัสแสงเพียงมีขอบเขตเซียนด่านต่ำๆไม่กี่คน แถมยังนับว่าเป็นขอบเขตเซียนที่ต่ำต้อยที่สุด!

 

ทว่าในขุมพลังชั้น 6 อย่างตระกูลราชวงศ์นั้น มียอดฝีมือขอบเขตเซียนเช่นนั้นเพียบ กระทั่งยังมีผู้ที่ด่านเซียนยังสูงล้ำกว่ามากมาย

 

ส่วนเรื่องที่วันนี้ไฉนต้วนหลิงเทียนไม่ทำลายซากศพพวกโจรนั้น เพราะเขาไม่ได้แยแสอะไรพวกมัน

 

ในสายตาของต้วนหลิงเทียนพวกมันก็แค่ โจรกระจอกขุมพลังชั้น 8! เสมือนมดตัวกระจ้อยที่บังเอิญเดินเหยียบ…ยังมีผู้ใดเหยียบมดแล้วย้อนกลับไปทำลายศพมดหรือไม่?

 

เช่นนั้นแล้วพวกมันจึงไม่ได้อยู่ในสายตาเขาแม้แต่น้อย

 

เช่นนั้นเรื่องทำลายศพหรืออะไร ยังทำให้รู้สึกเปลืองมือไปบ้าง

 

อย่างไรก็ตามคงเป็นไปไม่ได้เลยที่ต้วนหลิงเทียนจะล่วงรู้ วาพี่ใหญ่ของมันอันเป็นหัวหน้าใหญ่ของกลุ่มโจรนี้ จะเคยมีบุญคุณช่วยเหลือองค์ชาย 4 เอาไว้ นับว่ามีสัมพันธ์กับราชนิกูลของขุมพลังชั้น 6!

 

หากต้วนหลิงเทียนล่วงรู้เรื่องนี้เขาคงไม่จัดการพวกมันทิ้งไปแบบนั้น

 

ในชีวิตคนเราย่อมมีบางครั้งที่กระทำผิดพลาดไปแบบไม่ตั้งใจ

 

อย่างไรก็ตามครั้งนี้กล่าวไป เสมือนต้วนหลิงเทียนผิดพลาดเพราะตีค่าพวกมันต่ำเกิน…

 

แน่นอนว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังไม่รู้เรื่องราวอะไร เขายังคงเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงอย่างไม่รู้เหนื่อย

 

“ด้วยความเร็วของข้าตอนนี้…พรุ่งนี้ก็น่าจะถึงเมืองหลวงฝูเฟิงนั่นแล้วล่ะ”

 

ต้วนหลิงเทียนที่เหินกระบี่บิน กล่าวพึมพำออกมาเบาๆ

 

ในเวลาเดียวกันนั้น ที่รังลับในหุบเขา พี่น้องของหัวหน้ากลุ่มโจรร้ายที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าตายไป ในที่สุดพวกมันก็ได้รูปเหมือนต้วนหลิงเทียนมาแล้ว และพี่ใหญ่ของกลุ่มโจรก็กำลังจะออกเดินทางไปเมืองหลวง

 

หากต้วนหลิงเทียนเห็นภาพนี้เขาคงแปลกใจไม่น้อย เพราะมันเหมือนกับหน้าเขาถึง 9 ส่วน!

 

คนที่เคยเห็นรูปใบนี้ พอเห็นหน้าเขาต้องจำได้ทันที!

 

“พี่ใหญ่คำมั่นที่องค์ชาย 4 มีต่อท่านนับเป็นเรื่องที่ท่านเก็บไว้ใช้มาตลอดชีวิต…ท่านคิดใช้มันเพื่อน้องสามจริงหรือ?”

 

หลังจากผ่านไป 2-3 วัน บัณทิตวัยกลางคนอันเป็น หัวหน้าลำดับ 2 ของกลุ่มโจรก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา เมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่กำลังจะออกเดินทาง

 

“น้องรองต่อไปอย่าได้กล่าวถามเรื่องนี้อีกแล้ว ข้าไม่อยากฟัง”

 

ชายชรากล่าวถามเสียงเข้ม

 

“พี่ใหญ่ หากน้องสามรู้เรื่องนี้ น้องสามต้องซาบซึ้งน้ำใจพี่ใหญ่นัก”

 

บันฑิตวัยกลางคนกล่าว

 

“ซาบซึ้งมีความสุขแล้วจักอย่างไร น้องสามตายแล้วก็ดั่งตะเกียงไร้น้ำมัน…เอาล่ะ ข้าจักไปแล้ว”

 

สิ้นคำชายชรา ร่างของมันก็พุ่งหายไป

 

มองแผ่นหลังชายชราที่พุ่งขึ้นฟ้าหายไป แววตาของบัณฑิตวัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะเผยอารมณ์สะท้อน “พี่ใหญ่หากเป็นข้าที่ตกตายไป ท่านจักใช้คำมั่นขององค์ชาย 4 เพื่อข้าหรือไม่?”

 

คิดไปพักหนึ่งลูกตาของบัณฑิตวัยกลางคนก็จมจ่อมอยู่ในภวังค์ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มละอายออกมา…

 

ณ เมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง

 

ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะเห็นความยิ่งใหญ่และงดงามของเมืองหานเหอ อันเป็นเมืองหลักในเขตปกครอง 9 พันธมิตรมาแล้ว แต่ยังอดไม่ได้ที่จะทึ่งกับเมืองหลวงแห่งนี้!

 

ในสายตาเขาหากยกเอาเมืองหานเหอมาเทียบกับที่นี่ ก็เสมือนหมู่บ้านเล็กๆอย่างไรอย่างนั้น

 

หลังมาถึงเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจคำ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือขุนเขาสูงยังมีขุนเขาที่สูงกว่าเสมอ…เทียบกับเมืองหลวงแห่งนี้ เมืองหานเหอไม่ต่างจากเมืองเล็กๆในชนบท ไม่ว่าจะการค้าขายหรือกิจการต่างๆ เทียบกันไม่ติดเลย

 

เมื่อมาถึงเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงต้วนหลิงเทียนก็พยายามไม่ทำตัวโดดเด่นอะไร เลือกที่จะเดินเท้าเข้าเมือง

 

แต่แน่นอนเรื่องเดินเท้าเข้าเมืองไม่เกี่ยวกับที่เขาจะถ่อมตัวอะไร เพราะในเมืองก็มีข่ายอาคมห้ามบินกำกับเอาไว้ และข่ายอาคมนี้มีระดับเหมือนกับข่ายอาคมของสำนักจันทร์จรัสแสง เพียงแต่กว้างใหญ่กว่าเท่านั้น

 

เมื่อมาถึงเมืองหลวงแล้ว สิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนกระทำก็คือเข้าไปนั่งในเหลาอาหาร คอยฟังเรื่องราวต่างๆ

 

ไม่ว่าจะเป็นทวีปเมฆาล่องหรือดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า สถานที่ๆมีชีวิตชีวาที่สุด หากไม่ใช่เหลาอาหารก็ต้องเป็นหอนางโลม และคิดหาข่าวจะดีที่สุดหากเข้าเหลาอาหาร

 

เขาไม่ได้มาเมืองหลวงแห่งนี้อย่างมั่วซั่ว เขามาเพราะมีเป้าหมายสำคัญ

 

นั่นคือหาข่าวของป๋ายลี่หงและเฟิ่งหวู่เต้า ว่ามาถึงแล้วหรือยัง

 

ประการที่สองเขาคิดมาสืบหาว่า…หานเฉวี่ยไน่ที่แท้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ในเมืองหลวงนี้เขาน่าจะพบคำตอบนั้นได้!

 

‘เฉวี่ยไน่นี่ก็จริงๆเลย นางไม่เคยบอกข้าว่าตระกูลหานของนางเป็นขุมพลังชั้นใด…คิดตามหาตัวนางตอนนี้ ก็ไม่รู้จะเริ่มหาจากที่ไหนอยู่บ้าง’

 

ต้วนหลิงเทียนทอดถอนใจ

 

เบาะแสที่หานเฉวี่ยไน่ทิ้งไว้ให้เขาก็มีแค่หินเซียนระดับ 4 กับระดับ 5 เท่านั้น รวมถึงแซ่ของนางคือหาน

 

ต้วนหลิงเทียนคิดตามหาหานเฉวี่ยไน่นั้น ไม่ใช่เพราะคิดหาคนหนุนหลัง ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าขุมพลังเบื้องหลังหานเฉวี่ยไน่ไม่ธรรมดา แต่เขาก็ไม่คิดจะพึ่งพาแต่อย่างใด

 

จุดประสงค์ของเขาคือหาตัวคู่หมั้นอย่าง ลี่เฟย ต่างหาก

 

‘จากการประเมินเบื้องต้น ตระกูลหานของเฉวี่ยไน่สมควรเป็นขุมพลังชั้น 5…’

 

จากข้อมูลที่ต้วนหลิงเทียนมี ต้วนหลิงเทียนจึงพอคาดเดาขุมพลังของสกุลหานได้ ‘มาเมืองหลวงฝูเฟิงครั้งนี้ ข้าต้องสืบให้รู้ชัด’

 

ผ่านไปสักพัก สุราอาหารที่ต้วนหลิงเทียนสั่งไปก็ยกมาจัดวางแล้วเช่นกัน

 

ในขณะเดียวกันผู้คนก็ทยอยกันเข้าออกเหลาอาหารกันหนาตา

 

เมื่อมีผู้คนมากขึ้น บรรยากาศก็กลายเป็นคึกคักมีชีวิตชีวาไม่น้อย

 

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินบทสนทนาซุบซิบนินทามากมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้คนพากันกล่าวถึงคุณชาย นายน้อยทั้งหลายในเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง ซึ่งมันไม่ค่อยมีสาระสักเท่าไร

 

อย่างไรก็ตามพอได้ฟังต้นหลิงเทียนก็ลอบอึ้งไปเสียไม่ได้

 

ฟังจากกลุ่มคนที่ชมชอบดื่มสุราทั้งหลายเล่ามา ตระกูลใหญ่ๆในเมืองหลวงแห่งนี้ส่วนมากล้วนเทียบได้กับขุมพลังชั้น 7 ทั้งสิ้น ส่วนใหญ่แต่ละตระกูลก็มียอดฝีมือขอบเขตเซียนปกปักษ์พิทักษ์

 

ทั้งในบรรดาตระกูลที่เป็นที่นับหน้าถือตาในเมือง ยอดฝีมือขอบเขตเซียนยังมีไม่น้อย

 

‘เหอะๆ ตระกูลใหญ่ๆในเมืองหลวงแห่งนี้ ล้วนมีพลังรบเหนือกว่าสำนักจันทร์จรัสแสงทั้งนั้น…’

 

มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเสมือนได้เปิดหูเปิดตา เห็นโลกที่กว้างใหญ่กว่าเดิม

 

ในอดีตตอนที่เขาอยู่ในเขตปกครอง 9 พันธมิตร สำนักจันทร์จรัสแสงแม้ไม่ร้ายกาจที่สุด แต่ก็ยังเป็นขุมพลังที่ผู้คนต้องกริ่งเกรง

 

แต่พอมาถึงเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าสำนักจันทร์จรัสแสงไม่ได้นับเป็นอะไร…

 

เท่าที่เขาฟังมา ตอนนี้อย่างต่ำๆก็มี 3 ตระกูลในเมืองหลวงแห่งนี้ที่มีพลังรบเหนือกว่าสำนักจันทร์จรัสแสง

 

ยิ่งไปกว่านั้นในประเทศฝูเฟิงนอกจาก 3 ตระกูลใหญ่ที่ว่า ก็ยังมีขุมพลังชั้น 6 อื่นๆอยู่อีก…พอเทียบที่นี่กับเขตปกครอง 9 พันธมิตรแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าที่นั่นมันล้าหลังและกันดารเพียงใด ยังรู้สึกว่าตัดสินใจถูกแล้วที่มาที่นี่

 

“สหายปิง เจ้าได้ยินเรื่องนี้แล้วหรือไม่? เห็นว่าคุณชายใหญ่ของตระกูลซือถูอาการทรุดลงไปอีกแล้ว…น่ากลัวจะอยู่ไม่พ้นสิ้นเดือนนี้แล้วล่ะ เฮ่อ…”

 

ทันใดนั้นชายวัยกลางคนร่างผอมที่นั่งอยู่ใกล้ๆโต๊ะต้วนหลิงเทียนก็กล่าวออกมา น้ำเสียงแววตายังเผยความเศร้าออกมาไม่น้อย อีกทั้งยังพยายามกระซิบกล่าวกับสหายด้วยเสียงเบาปานจั๊กจั่นกระพือปีกด้วยกลัวจะมีผู้ใดเผลอมาได้ยิน

 

หากต้วนหลิงเทียนไม่ได้ทะลวงเปิดจุดชีพจรเซียน 18 จุดหลัง อันเป็นชีพจรส่วนหูล่ะก็ เขาคงไม่สามารถได้ยินการกระซิบครั้งนี้ได้ ต่อให้จะบรรลุสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่แบบนี้ก็ตามที

 

หากแต่ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้ยินชัดแจ๋วแหวว

 

‘ตระกูลซือถู?’

 

ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินสน้ำเสียงสลดของคนนอกกล่าวถึงตระกูลหนึ่งแบบนี้ย่อมบังเกิดความสนใจไม่น้อย จึงอยากรู้ว่าตระกูลซือถูเป็นอย่างไร ไฉนถึงมีคนอาลัยให้เช่นนี้ และไม่นานเขาก็นำข้อมูลคร่าวๆของตระกูลซือถูจากหลายๆโต๊ะมาประติดประต่อกัน

 

สุดท้ายจึงได้รู้ว่า ตระกูลซือถูนั้นในเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงแห่งนี้ยังนับเป็นตระกูลใหญ่ ซ้ำยังมีสัมพันธ์กับตระกูลาชวงศ์ กล่าวได้ว่าน้องสาวของผู้นำตระกูลซือถูตอนนี้ เป็นสนมของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของประเทศฝูเฟิง! ยังเป็นนางสนมที่พระองค์รักถนอมมากที่สุด!

 

“คุณชายใหญ่ตระกูลซือถู?”

 

ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าสหายปิงกล่าวตอบเสียงเบา

 

“ใช่ เป็นคุณชายใหญ่”

 

ชายร่างผอมพยักหน้าค่อยกล่าวสืบต่อ “คุณชายใหญ่ช่างโชคร้ายนัก ฮ่องเต้พึ่งประทานศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 4 ดาวไว้ให้ได้ไม่ทันไร…กลับต้องมาล้มป่วยด้วยโรคประหลาด ข้าคิดว่าคงมิมีวาสนาได้ใช้ศาสตราเซียนประทานอันนั้นแล้ว…”

 

“จะว่าไปกล่าวถึงโรคร้ายนี่ก็ประหลาดนัก…ปรมาจารย์เซียนหลอมมากมายที่ชำนาญเรื่องโอสถ ก็มิอาจสืบทราบสาเหตุได้”

 

ชายอีกคนกล่าว

 

“ข้าได้ยินมาว่ากระทั่งหมอหลวงยังจนปัญญา…แถมปรมาจารย์เซียนหลอม กับปรมาจารย์แพทย์ที่จ้างมาจากทั่วสารทิศ ก็ตรวจมิพบต้นตอของโรคร้าย…”

 

ชายร่างผอมว่าต่อไป

 

“หรือจักเป็นสวรรค์ลงโทษคุณชายใหญ่จริงๆแล้ว…แต่ที่ข้าทราบคุณชายใหญ่ตระกูลซือถูนั้นเป็นคนดียิ่ง นับเป็นวิญญูชนคนหนึ่ง มิเคยดูถูกเหยียดหยามผู้ใด แถมยังจิตใจเมตตาช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากเสมอ…ไฉนฟ้าถึงได้กลั่นแกล้งเช่นนี้”

 

“เฮ่อ…กล่าวไปคนดีนั้นอายุสั้น แต่พวกสารเลวมักอยู่คำฟ้า…โลกเราไฉนเป็นเช่นนี้นะ”

 

“น่าเสียดายนัก”

 

“ข้าได้ยินมาว่าตระกูลซือถูได้ตั้งรางวัลเอาไว้ด้วย…หากผู้ใดสามารถรักษาอาการคุณชายใหญ่ได้ ไม่เพียงแต่จักได้รับยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 4 ดาว กระทั่งยังได้ยันต์เต๋าม่านพลังทองระดับ 4 ดาวอีกด้วย!”

 

“แม้ไม่มียันต์เต๋าจู่โจมระดับ 4 ดาว แต่แค่เท่านี้ก็ยากจะมีใครปฏิเสธรางวัลใหญ่นี่ได้ อนิจจาคงยากจะมีผู้ใดรักษาอาการของคุณชายใหญ่ได้”

 

“นั่นสิ! โรคคุณชายใหญ่แปลกประหลาดนัก อย่าว่าแต่รักษา กระทั่งปานสีดำที่ปรากฏบนหว่างคิ้วแลคล้ายแมงมุมนั่น ยังมิมีผู้ใดล่วงรู้ว่ามันคืออะไรด้วยซ้ำ…”

 

……

 

บทสนทนาตอบโต้ไปมาของชายวัยกลางคน 2 คนโต๊ะข้างๆล้วนเข้าหูต้วนหลิงเทียนหมดสิ้น

 

‘เดี๋ยวนะ…ปานสีดำคล้ายแมงมุมที่หว่างคิ้วงั้นเหรอ’

 

หลังจากได้ยินบทสนทนาของชายทั้ง 2 ต้วนหลิงเทียนพลันโค้งคิ้วขึ้นมาทันที ข้อมูลประการหนึ่งผุดโผล่ขึ้นมาในใจ เป็นข้อมูลที่บันทึกไว้ในป้ายเซียน อันบันทึกเคล็ดวิชาจารึกพิสดารที่ศิษย์พี่ป๋ายลี่หงมอบให้เขา

 

‘นั่นมัน…หรือจะเป็นอาคมมาร?’

 

ต้วนหลิงเทียนตกใจไม่น้อย

 

อาคมมารนั้นก็นับเป็นอาคมเซียนประเภทหนึ่ง

 

ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า อาคมมารนั้นต้องเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนที่บ่มเพาะในหนทางมารเท่านั้นถึงจะจารึกได้ อีกทั้งวัตถุดิบที่ต้องใช้ก็ล้ำค่านัก แถมไม่ใช่ว่าจะจารึกกันได้ง่ายๆต้องมีความรู้สูงไม่น้อย

 

นอกจากนั้นข้อกำหนดในการใช้งานก็เป็นอะไรที่จำเพาะเจาะจงนัก

 

เพราะอาคมมารค่อนข้างแตกต่างจากอาคมเซียนอย่างสิ้นเชิง หากจะจัดประเภทของมันแล้ว สมควรต้องจัดอยู่ในประเภทกาฝาก..เชื้อร้ายแอบแฝง! มันเป็นอาคมที่จะสร้างเภทภัยให้แก่ผู้ที่ใช้งาน!!

 

‘ฟังว่าคุณชายใหญ่ได้รับศาสตราเซียนจากฮ่องเต้ของประเทศฝูเฟิง ก่อนที่จะเป็นโรคร้าย…นอกจากนี้ยังเป็นศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนะระดับ 4 ดาว…หรือฮ่องเต้ฝูเฟิงคิดให้คุณชายใหญ่ตระกูลซือถูมีอันเป็นไปกัน?’

 

คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ลอบส่ายหัว เขาไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ไปได้

 

ในเมื่อน้องสาวของผู้นำตระกูลซือถูเป็นนางสนมที่ฮ่องเต้รักมากที่สุด เช่นนั้นแล้วคุณชายใหญ่ตระกูลซือถูก็เปรียบเสมือนหลานของมันคนหนึ่ง ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฮ่องเต้ฝูเฟิงจะทำร้ายหลานแบบนี้