ตอนที่ 1566

War sovereign Soaring The Heavens

ไม่ใช่ปรมาจารย์จารึกเซียน

 

แน่นอนว่าถึงต้วนหลิงเทียนจะคิดว่าสมควรเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้มั่นใจซะทีเดียว…

 

ในโลกที่เข้มแข็งอยู่อ่อนแอตายตก พลังอำนาจคือเอกอุเหนือสิ่งใด กระทั่งบุตรฆ่าบิดาเองก็มีให้เห็นกันหนาตานับประสาอะไรกับลุงหลาน

 

‘อย่างไรก็ตามของรางวัลตระกูลซือถูนั่นมันยั่วใจจริงจัง…ยันต์เต๋าเทพเคลื่อน 4 ดาว กับยันต์เต๋าม่านพลังทอง 4 ดาวงั้นเหรอ…’

 

อันที่จริงตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย

 

ยันต์เต๋าม่านพลังทองระดับ 3 ดาว สามารถสร้างม่านพลังที่ป้องที่เทียบเท่ากับการป้องกันของสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่เป็นเวลา 1 เค่อ

 

หากได้ยันต์เต๋าม่านพลังทองระดับ 4 ดาวมาล่ะก็ นั่นจะทำให้เขามีม่านพลังที่เทียบเท่าม่านพลังของระดับเซียนได้ถึง 1 เค่อ!

 

ยันต์เต๋าเทพเคลื่อน 4 ดาวนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันสมควรมอบความเร็วของขอบเขตเซียนให้เขาเป็นเวลา 1 เค่อเช่นกัน!

 

ถึงแม้ตอนนี้พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนจะนับว่าสูงเกินคนทั่วไปในด่านพลังเดียวกัน แต่เขาก็ฆ่าได้แค่ตัวตนในขอบเขตเซียนด่านพลังต่ำๆเท่านั้น และนั่นยังต้องใช้กระบี่นิลสวรรค์อีกด้วย! นับว่าต้องจ่ายออกด้วยราคาไม่น้อย เสมือนทำร้ายศัตรู 10 ส่วนทำร้ายตัวเอง 8 ส่วน!

 

ส่วนความเร็วนั้น แม้เขาจะเหินกระบี่ ด้วยอาศัยหมื่นกระบี่รวมหนึ่งจากเขตแดน แต่เขาก็ทำได้แค่บรรลุความเร็วขอบเขตเซียนที่ต่ำต้อยที่สุดเท่านั้น ยังไม่อาจเทียบกับเซียนที่ฝีมือสูงได้

 

‘ข้าพึ่งมาเมืองหลวงฝูเฟิง ที่ทางอะไรก็ไม่คุ้นเคย…บางทีนี่อาจเป็นโอกาสที่ดีที่ข้าจะลงหลักปักฐานที่เมืองนี้’

 

พอคิดถึงเรื่องนี้ใจต้วนหลิงเทียนก็ตื่นเต้นไม่น้อย

 

เขาพึ่งมาถึงเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงได้ไม่ทันไร ไม่ว่าจะหาป๋ายลี่หงกับคนอื่นๆ กระทั่งสืบหาขุมพลังของหานเฉวี่ยไน่ เขาก็ต้องมีเส้นสาย

 

ทว่าตอนนี้เขาไม่รู้จักใครเลย

 

เหตุการณ์เลวร้ายที่บังเกิดกับคุณชายใหญ่ตระกูลซือถูนับเป็นโอกาสอันดีของเขา!

 

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนมีความมั่นใจกว่า 8 ส่วน ว่าคุณชายใหญ่ซือถูสมควรได้รับผลกระทบจากอาคมมาร เพราะอาการที่แสดงออกมันชัดเจนนัก!

 

อาคมมารนั้นถูกบันทึกไว้ในหยกที่บันทึกเคล็ดวิชาจารึกพิสดารไว้หลายอาคมเช่นกัน และยังอธิบายถึงวิธีแก้ไขลบล้างอาคมมารอีกด้วย

 

นอกจากนี้ฟังจากที่เล่ามา อาการของคุณชายใหญ่นั้นไม่ได้ถูกอาคมมารระดับสูงๆแต่อย่างไร

 

แต่ถึงมันจะไม่ใช่อาคมมารระดับสูง ทว่าต่อให้เป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 9 ดาวมาเอง ถ้าไม่รู้วิธีแก้ไขก็จนปัญญา!

 

‘ปานสีดำรูปแมงมุมที่หว่างคิ้วงั้นเหรอ? อาคมมาร แมงมุมหยิน?’

 

ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดาในใจ

 

ในข้อมูลจากหยกบันทึกนั่น ก็ได้บอกวิธีลบล้างอาคมมารดังกล่าวไว้ชัดเจน

 

และอาคมมารแมงมุมหยินนี้ จากในบันทึกมันยังเป็นแค่อาคมมารระดับ 1 ดาวเท่านั้น ซึ่งเป็นอาคมมารระดับต่ำต้อยขั้นพื้นฐาน

 

แน่นอนถ้าไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียนสามารถเข้าใจเคล็ดวิชาจารึกพิสดารไปได้หลายส่วนล่ะก็ เขาไม่มีวันได้อ่านข้อมูลในส่วนนี้เลย เพราะมันต้องทำความเข้าใจเรื่องก่อนหน้ามากมายมาก่อน

 

ต้วนหลิงเทียนยังมั่นใจว่ากระทั่งป๋ายลี่หงเอง ก็ไม่อาจอ่านหยกบันทึกมาถึงส่วนนี้ได้ เพราะจนปัญญาจะฝึกเคล็ดความช่วงแรก…

 

ในเมื่อข้อมูลในหยกบันทึกนั้น ไม่ใช่อะไรที่ทำความเข้าใจได้ง่ายๆ แถมหากไม่ทำความเข้าใจเรื่องราวก่อนหน้าให้ถ่องแท้ ก็ไม่อาจได้อ่านข้อมูลบทที่ยากกว่าด้วยซ้ำ ก็ยากที่จะมีใครรับทราบถึงเรื่องอาคมมาร!

 

หากไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียนสามารถฝึกเคล็ดจารึกพิสดารกระทั่งใช้ออกได้ดั่งใจสำเร็จเคล็ดความบทหน้า ก็คงไม่มีวันได้อ่านถึงบทอาคมมารที่อยู่ในเคล็ดความบทหลัง!

 

‘ลองไปบ้านสกุลซือถูดูก่อนแล้วกัน…หากยืนยันได้ว่าเป็นฮ่องเต้คิดสังหารองค์ชายใหญ่จริง ข้าก็แค่วางมือเรื่องนี้เสีย จะให้ไปจมปลักโคลนพัวพันกับเรื่องใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่มาถึงเมืองหลวงฝูเฟิงก็ใช่ที่ เกิดผิดใจกับฮ่องเต้ขึ้นมาทีนี้ได้มีปัญหาตามมาเป็นพืดแน่’

 

หลังจากรับประทานอาหารทั้งดื่มสุราที่สั่งมาหมด ต้วนหลิงเทียนก็เรียกเสี่ยวเอ้อมาคิดเงิน ก่อนที่จะสอบถามข้อมูลอะไรเพิ่มเติม

 

หลังจากรับทราบที่ตั้งบ้านสกุลซือถูแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้าไปทันที

 

ในฐานะที่เป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในเมืองหลวงฝูเฟิง อาณาบริเวณของตระกูลซือถูนับว่ากว้างใหญ่ไพศาลนัก ไม่ได้ด้อยไปกว่าสำนักจันทร์จรัสแสงด้วยซ้ำ

 

ต้องทราบด้วยว่าสำนักจันทร์จรัสแสงนั้นตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าเขา…

 

หากแต่ตระกูลซือถูกลับตั้งอยู่ในเมือง ซึ่งที่ดินมีค่ายิ่งกว่าทองเสียอีก!

 

เพราะอย่างไรเสียสายแร่หินเซียนระดับ 6 ที่ราชวงศ์ฝูเฟิงควบคุมอยู่ก็อยู่ในเมืองแห่งนี้ นั่นทำให้สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของเมืองหลวงเป็นอะไรที่ดีมาก…อีกทั้งที่ตระกูลซือถูก็มีสายแร่หินเซียนระดับ 7 ทำให้สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของเขตตระกูลซือถูยังเหนือกว่าสำนักจันทร์จรัสแสง!

(เผื่อลืม มีสายแร่ย่อมดีกว่าชีพจรวิญญาณ เพราะชีพจรวิญญาณที่สั่งสมพลังนานๆจะกลายเป็นสายแร่ ให้ขุดหินเซียนอะไรมาใช้ได้)

 

เมื่อมาถึงหน้าประตูใหญ่ของตระกูลซือถู ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวแจ้งกับผู้เฝ้าประตูว่ามาด้วยเหตุอะไร คนเฝ้าประตูจึงรีบกลับเข้าไปรายงานด้านในทันที

 

ครู่ต่อมาก็ปรากฏชายชราเร่งรุดออกมา ผู้ที่ไปแจ้งก็ติดสอยห้อยตามมาด้านหลัง

 

ชายชราคนนี้แลดูรูปร่างธรรมดา หากแต่ประกายตากลับแหลมคมเผยไหวพริบไม่น้อย มองปราดเดียวก็บอกได้ทันทีว่าไม่ใช่ชนชั้นต่ำทราม

 

“เจ้ามั่นใจหรือ?”

 

ทันทีที่ชายชราออกมาก็ไม่ได้กล่าวทักทายอะไรให้มากความ จับจ้องมองต้วนหลิงเทียนเขม็งแล้วเปิดประตูเห็นภูผากล่าวถามออกมาทันที พยายามยืนยันว่าต้วนหลิงเทียนมั่นใจจริงหรือไม่

 

ได้ยินคำถามของชายชราสีหน้าท่าทางต้วนหลิงเทียนยังคงสงบไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวตอบออกไปอย่างเฉยเมย “แทนที่ท่านจะเสียเวลาถามข้าว่ามั่นใจหรือไม่ ไฉนไม่ลองให้ข้าเข้าไปดูอาการคุณชายใหญ่ดู…ตอนนี้ไม่ใช่ว่าพวกท่านควรกระทำเสมือน ‘เห็นม้าตายแล้วรักษาดุจม้าเป็น’ หรอกหรือ?”

 

ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำนี้ออกมา สีหน้าชายชราพลันมืดลงทันใด “เจ้ากล้าเทียบคุณชายใหญ่เรากับม้าตายงั้นรึ!?”

 

ทันใดนั้นคนของตระกูลซือถูที่อยู่รอบๆพลันมองมาที่ต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเอาเรื่องทันที คล้ายขอเพียงชายชราสั่งแม้ครึ่งคำ พวกมันจะลงมือทุบตีผู้คนเสีย!

 

“ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้วตระกูลซือถูของพวกเจ้ายังไม่ได้ร้อนใจอะไรสักเท่าไร…เช่นนั้นก็ทำเหมือนว่าข้าไม่เคยมาเถอะ”

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา และทำท่าเหมือนกับจะจากไป

 

อย่างไรก็ตามในขณะที่ต้วนหลิงเทียนหันกลับไป ชายชราก็กล่าวออกมาเสียงเย็น “เจ้าคิดว่าหากเจ้าเห็นคุณชายใหญ่ของพวกเราแล้วจักมีหนทางรึ? เจ้าคิดจริงๆว่าตระกูลซือถูของเราใช้การมิได้ขนาดนั้น?”

 

“จะเอาก็เข้ามา!”

 

ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว ก่อนที่จะกล่าวออกมาเสียงเย็นอย่างไม่รีบไม่ร้อน

 

ทว่าในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคิดว่าชายชราน่าจะลงมือจู่โจมนั้นเอง พลันเกิดเรื่องเหนือคาดขึ้น

 

“เชิญท่าน”

 

ชายชราไม่เพียงไม่ลงมือ หากแต่ยังผายมือเชื้อเชิญต้วนหลิงเทียนให้เข้าไปด้านในด้วยความสุภาพ

 

ฉากนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปเล็กน้อย

 

ผู้ดูแลบ้านซือถูนี่สติไม่สมประกอบรึยังไง? หรือชอบชวนผู้อื่นทะเลาะ?

 

“คุณชายท่านนี้ข้าต้องขออภัยกับกริยามิสุภาพก่อนหน้าด้วย ข้าเพียงต้องการแน่ใจว่าท่านมีวิชาสามารถจริงๆ เพราะยามนี้คุณชายใหญ่ของเราอาการทรุดหนักเลวร้ายยิ่ง แทบมิอาจทานทนรับความเจ็บปวดไหวอีกแล้ว…”

 

เมื่อเห็นสายตาสงสัยของต้วนหลิงเทียน ชายชราพลันกล่าวออกมาหน้าสลด แววตาทุกข์ใจและกังวลนัก

 

“แล้วตอนนี้เจ้าแน่ใจแล้วเหรอว่าข้ามีสามารถจริงๆ?”

 

ต้วนหลิงเทียนมองถามชายชราด้วยรอยยิ้ม

 

“เห็นท่าทางมั่นใจของคุณชายท่านนี้ ก็มากเกินพอแล้วที่ข้าจักให้คุณชายลองดูอาการของคุณชายใหญ่ดู…อย่างที่ท่านกล่าว…ยามนี้พวกเราเห็นม้าตายรักษาดุจม้าเป็นแล้วจริงๆ…”

 

ชายชรากล่าวออกมาอีกครั้ง

 

“นำทางไปเถอะ”

 

ได้ยินคำนี้ของชายชราต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะขบขันในใจ สีหน้ามืดลงทั้งสงสัยก่อนหน้ามลายหายไปสิ้น

 

และมีคำกล่าวที่ว่า ‘ยากจะตบหน้าผู้ที่กำลังยิ้ม’ ในเมื่ออีกฝ่ายจริงใจมา เขาก็ไม่อาจผลักไสได้

 

ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาคิดตั้งหลักในเมืองหลวงประเทศฝูเฟิงจริงๆ ตระกูลซือถูนับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

 

หลังจากที่เข้ามาด้านในตระกูลซือถู ฉากที่ผู้คนมากมายคารวะทักทาย รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างโดยรอบก็ทำให้สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายไม่น้อย

 

สมแล้วที่เป็นตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงประเทศฝูเฟิง เพียงการตกแต่งลานด้านหน้า สวนจำลองและอาคารทั้งหลายก็นับว่าวิจิตรงดงามสมฐานะ เปิดหูเปิดตาผู้คนไม่น้อย อย่างน้อยๆการประดับประดาตกแต่งของที่นี่ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่เคยพบเจอที่ไหนจะสวยงามและลงตัวขนาดนี้มาก่อน

 

ระหว่างทางต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบตัวตนของชายชรา

 

ชายชราเป็นผู้ดูแลเรื่องราวภายนอกของตระกูล

 

ถึงแม้ชายชราจะพาเขาเข้ามา แต่ดูๆแล้วชายชราก็คล้ายไม่ได้หวังไว้ว่าเขาจะรักษาคุณชายใหญ่ได้ เสมือนว่าอีกฝ่ายกระทำตามหน้าที่อย่างเป็นทางการมากกว่า…

 

ส่วนฉากเรื่องราวด้านนอก เขาพอเดาได้ว่าสมควรเป็นบททดสอบของตระกูลซือถู

 

หากไม่มั่นใจในตัวเอง…ก็ไม่จำเป็นต้องเข้ามาลองให้เสียเวลา!

 

นี่คือทัศนคติของตระกูลซือถู!

 

โดยมีชายชรานำทาง ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็เดินผ่านลานหน้าบ้านของตระกูลซือถู ตัดเข้ามาในเขตที่พักเรื่อยๆ สุดท้ายไปจบที่หน้าประตูใหญ่ที่หน้าแพงกั้นเขตบานหนึ่ง

 

มาถึงหน้าประตูนี้ทั้งชายชราและต้วนหลิงเทียนก็หยุดลง เพราะมีคนเฝ้าหน้าประตูอย่างแข็งขัน

 

‘สมแล้วที่เป็นตระกูลใหญ่ การตรวจตรานับว่าเข้มงวดนัก’

 

ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้น ต้องทราบว่าระหว่างทางมาไม่ว่าจะเดินผ่านส่วนไหน ล้วนแล้วแต่มีคนเฝ้าระวังตามจุดต่างๆแน่นหนานัก

 

“คุณชายท่านนี้มาเพื่อดูอาการของคุณชายใหญ่ ช่วยพาคุณชายท่านนี้ไปพบกับผู้ดูแลฝูด้วย”

 

ตอนนี้เองชายชราก็มอบต้วนหลิงเทียนให้เป็นธุระแก่คนของตระกูลซือถูที่ทำหน้าที่เฝ้าระวังส่วนนี้ หลังจากนั้นก็หันกลับมากล่าวกับต้วนหลิงเทียน “คุณชาย…หากท่านเข้าประตูบานนี้ไป ก็นับเป็นพื้นที่ฝ่ายในของตระกูลซือถูแล้ว…อีกมินานจะมีคนมาพาท่านไปพบกับผู้ดูแลฝ่ายในของตระกูลซือถู ผู้ดูแลฝูก็จักพาท่านไปยังเรือนพักรักษาของคุณชายใหญ่”

 

“อ่า”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า หลังจากนั้นก็ให้คนของตระกูลซือถูนำเขาไปด้านใน

 

เมื่อเข้ามาถึงฝ่ายในของตระกูลซือถู ต้วนหลิงเทียนก็ได้เปิดหูเปิดตาอีกครั้ง

 

การตกแต่งของพื้นที่ฝ่ายในเป็นอะไรที่งดงามเสียยิ่งกว่าด้านนอกซะอีก ให้บรรยากาศสดชื่นผ่อนคลายนัก

 

ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ได้พบกับ ผู้ดูแลฝู ที่ผู้ดูแลฝ่ายนอกกล่าวบอกไว้ อีกฝ่ายกลับเป็นสตรีที่รูปโฉมงดงามนางหนึ่ง แลดูมีอายุอานามราวๆ 30-40 ปี ถึงแม้ว่ารูปร่างหน้าตานางจะเทียบกับคู่หมั้นทั้ง 2 ของเขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังมีเสน่ห์เย้ายวนชวนให้บุรุษหลงใหลไม่น้อย

 

หลังจากที่รับทราบจุดประสงค์การมาของต้วนหลิงเทียนก่อนแล้ว พอเห็นต้วนหลิงเทียนนางอดไม่ได้ที่จะพินิจต้วนหลิงเทียนตั้งแต่หัวจรดเท้า

 

ถึงแม้ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า รูปร่างหน้าตามิอาจบ่งบอกอายุที่แท้จริงได้ ทว่ารูปร่างหน้าตาอ่อนวัยทั้งหล่อเหลาของต้วนหลิงเทียน กลับทำให้รู้สึกเสมือนเป็น ‘เด็กน้อยขนอุย’ ที่ไม่อาจทำอะไรจริงจังเรื่องใหญ่ได้…

 

ต้วนหลิงเทียนย่อมชินชากับทีท่าและทัศนติของสตรีนางนี้ดี แต่เขาไม่ได้นำพาอะไร เพียงมองนางแล้วส่งยิ้มให้บางๆเท่านั้น

 

“เชิญท่านมากับข้า”

 

สตรีงามเพียงกล่าวออกมาเสียงเบาค่อยเดินนำเข้าไป

 

ด้วยทรวดทรงองค์เอวอวบอิ่มส่ายไปมาเป็นจังหวะของนาง พาลให้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะลอบมองบันท้ายนางเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มอกุศล…เรื่องนี้ก็ช่วยไม่ได้เพราะมันเป็นธรรมชาติของบุรุษเพศ!

 

“ท่านเป็นปรมาจารย์เซียนจารึกกี่ดาวหรือ?”

 

ระหว่างทางสตรีน่าดูพลันกล่าวถามออกมาเสียงใส

 

“ข้าไม่ใช่ปรมาจารย์จารึกเซียนหรอก”

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวตอบกลับแววตาทอประกายวูบหนึ่ง

 

และคำตอบนี้ของเขาทำให้สตรีดังกล่าวถึงกับหยุดเดินทันที ยังหันมามองจ้องเขาด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวดคล้ายหัวเสียไม่น้อย “ท่านมิใช่ปรมาจารย์เซียนจารึก? แล้วท่านมาที่นี่ทำอะไร!?”