ตอนที่ 1949

 

เซียปิงก็ไม่ได้สนใจพวกเดม่อนที่อยู่รอบๆซึ่งกำลังจับจ้องเขาเหมือนกับเสือที่จ้องมองเหยื่อ เขากำลังดื่มด่ำอยู่กับสภาวะการวิวัฒนาการของตนเอง เมื่อเซลล์อีกานรกทองคำตื่นขึ้นมาครบหนึ่งร้อยล้านเซลล์ สายเลือดของเขาก็เข้มข้นขึ้นมาในระดับหนึ่ง พลังอำนาจเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

 

ในตอนนี้ไม่ใช่มีเพียงแค่พลังงานของอีกาทองคำที่เอ่อล้นออกมาจากส่วนลึกของเซลล์เท่านั้น ทว่าก็ยังมีข้อมูลการสืบทอดนับไม่ถ้วนของอีกานรกทองคำที่ถ่ายทอดออกมา นี่คือสิ่งที่จารึกอยู่ในความทรงจำของอีกานรกทองค่า

 

นี่คือการสืบทอดทางสายเลือด

 

สัตว์ในตำนานที่แท้จริง เลือดแต่ละหยดของพวกมันจะแอบแฝงไปด้วยข้อมูลที่มหาศาล ราวกับเป็นหนังสืออมตะ ไม่มีวันดับสลายไป เมื่อใดที่ถูกกระตุ้นขึ้นมา มันจะทำการมอบมรดกสืบทอด ทำให้เติบโตขึ้นมาในอีกระดับ

 

ซึ่งในช่วงเวลานี้ เซียปิงก็กำลังรับการสืบทอดนี้ไป ในตอนนี้เขาเหมือนจะกลายเป็นอีกานรกทองคำที่แท้จริง สายเลือดภายในร่างกายเปลี่ยนกลายเป็นเปลวไฟอมตะ

 

ความสามารถในการควบคุมเปลวไฟของเขาก็เหมือนจะพัฒนาขึ้นมาในอีกระดับ บรรลุระดับที่เชี่ยวชาญควบคุมได้อย่างอิสระ ในช่วงเวลานี้เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้กลายเป็นจ้าวแห่งเปลวไฟไม่มีผิด

 

หลั่ว หลั่ว หลั่ว

 

เมื่อข้อมูลการสืบทอดเหล่านี้ได้ถ่ายทอดเข้ามาจนหมด ลายลักษณ์อักษรจานวนนับไม่ถ้วนก็รวมตัวกันที่ส่วนลึกของจิตใต้สำนึกของเซียปิง จากนั้นก็เหมือนจะควบแน่นกลายเป็นความสามารถศักดิ์สิทธิ์ทางสายเลือดที่ทรงอำนาจ

 

เซียปิงก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขายื่นมือออกไปตามสัญชาตญาณ จากนั้นส่วนลึกของความว่างเปล่าก็เหมือนว่าจะมีพลังงานจากห้วงมิติเปลวไฟที่หลั่งไหลเข้ามาในมือ อักขระอีกานรกทองค่าจำนวนนับไม่ถ้วนก็สั่นไหวและรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว

 

ทันใดนั้นเปลวไฟเหล่านี้ก็ควบแน่นกลายเป็นสสาร เปลี่ยนกลายเป็นหอกยาวสีทองดำ มีอักขระอีกานรกทองคำจำนวนนับไม่ถ้วนที่จารึกอยู่รอบๆ แผ่ออร่าของความศักดิ์สิทธิ์ ความโบราณ ความทรงอำนาจและความยิ่งใหญ่ออกมา

 

ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ทางสายเลือด หอกยมราช!

 

เซียปิงก็ล่วงรู้อย่างกะทันหันว่าหลังจากที่ตนเองปลุกเซลล์อีกานรกทองคำขึ้นมาได้หนึ่งร้อยล้านเซลล์เขา ก็ได้ครอบครองความสามารถศักดิ์สิทธิ์ทางสายเลือดใหม่มา ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ระดับสุดยอด หอกยมราชนี้เป็นสิ่งที่อีกานรกทองคำได้ครอบครองมาหลังจากที่ตกลงไปในขุมนรกเก้าชั้น

 

หอกยาวนี้เป็นเครื่องมือในการสังหารชั้นยอด เป็นการโจมตีระดับสุดยอดที่อีกานรกทองคำได้ทำความเข้าใจมาจากผู้ปกครองของขุมนรก เป็นตัวแทนอำนาจของยมราช มีอำนาจเหนือความเป็นและความตายของภูตผีปีศาจทั้งมวล

 

เมื่อใดที่หอกยมราชปรากฏขึ้นมา ทันใดนั้นจะสามารถสังหารศัตรูทั้งหมดได้ ควบคุมความเป็นความตายของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด

 

“ทรงพลังยิ่งนัก”

 

เชียปิงก็ยกหอกสีทองดำนี้ขึ้นมา เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความน่าสะพรึงกลัวของหอกนี้ ปลายหอกแอบแฝงไปด้วยออร่าความแหลมคม เหมือนว่าจะสามารถเจาะทะลวงสรวงสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย

 

ทั่วทั้งหอกก็ควบแน่นขึ้นมาจากเปลวไฟอีกานรกทองคำ แอบแฝงไปด้วยเปลวไฟขุมนรกรวมถึงเปลวไฟอีกาทองค่า หากศัตรูสัมผัสเข้าไป จะสามารถลบล้างศัตรูจนหายไปอย่างหมดจด ดับสลายหายไปจากจักรวาลนี้อย่างสมบูรณ์

 

และพลังอำนาจของการสังหารที่แอบแฝงอยู่นั้นก็เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่ากรงเล็บอีกานรกทองคำนับสิบเท่า นี่คือหอกที่ใช้เพื่อสังหารศัตรูโดยเฉพาะ เป็นความสามารถศักดิ์สิทธิ์ระดับสุดยอด

 

“หืมม?!”

 

เมื่อเซี่ยงได้รับความสามารถศักดิ์สิทธิ์ หอกยมราชนี้มา ทั่วทั้งโลกอิบสก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจต้องห้ามนี้ ถึงแม้ว่าจะยังอ่อนแอ ทว่าก็มีศักยภาพที่ไร้ที่สิ้นสุด

 

นี่ก็ส่งผลให้กฏของโลกอบิสพิโรธขึ้นมา

 

หล่ง หล่ง หล่ง

 

ทันใดนั้นก้อนเมฆแห่งการลงทัณฑ์ที่ไม่รู้จบก็เอ่อล้นออกมาจากส่วนลึกของโลกอบิส ภายในไม่กี่ลมหายใจมันก็ครอบคลุมพื้นที่ในระยะสามหมื่นล้านกิโลเมตร กว้างขวางอย่างไร้ขอบเขต ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง

 

ก้อนเมฆแห่งการลงทัณฑ์นี้ก็ไม่ใช่ก้อนเมฆแห่งการลงทัณฑ์ทั่วๆไป ทว่าเป็นก้อนเมฆแห่งการลงทัณฑ์สีแดง มีสีที่สดใสอย่างมาก ราวกับเป็นเลือดที่เกาะกลุ่มกลายเป็นก้อนเมฆ นี่ก็ครอบคลุมไปทั่วทั้งทวีปเดม่อน

 

ก้อนเมฆแห่งการลงทัณฑ์สีเลือดเหล่านี้ก็แผ่พลังชั่วร้าย พลังแห่งความตาย พลังฉือบัสและพลังทำลายล้างออกมา เหมือนว่าทั่วทั้งโลกนี้พิโรธขึ้นมา โทสะที่ไร้ที่สิ้นสุดกำลังเอ่อล้นออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

ก้อนเมฆแห่งการลงทัณฑ์สีเลือดแต่ละก้อนก็เหมือนกับว่าจะแผดเผาไปด้วยเปลวไฟที่ร้อนระอุ เปลวไฟทะยานขึ้นสู่สวรรค์

 

ในช่วงเวลานี้ เดม่อนจำนวนนับไม่ถ้วนก็สังเกตเห็นสถานการณ์นี้เช่นกัน เพราะว่าความเปลี่ยนแปลงนี้ยิ่งใหญ่และสะดุดตาเกินไป เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ค้นพบสถานการณ์ที่สะเทือนน้ำสะเทือนบกเช่นนี้

 

เพราะถึงอย่างไรทั่วทั้งโลกอบิสก็มืดมิดอยู่ตลอดเวลา ต่อให้บางครั้งจะมีแสงสว่างขึ้นมา มันก็ยังคงเป็นแสงที่มีดคมและสลัวเท่านั้น

 

ทว่าตอนนี้ บนท้องฟ้ากลับมีก้อนเมฆสีเลือดปรากฏขึ้นมา ราวกับเป็นผืนทะเลเลือดที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าแสงสีเลือดที่ไร้ที่สิ้นสุดก็ส่องสว่างมาสู่พื้นดิน เหมือนว่าจะขับไล่ความมืดมิดไปจนหมด

 

เดม่อนจำนวนมากก็เคยเห็นแสงสว่างเช่นนี้เป็นครั้งแรก นี่เป็นครั้งแรกที่พวกมันได้รับแสงอาทิตย์เข้ามา ทันใดนั้นพวกมันก็ไม่สามรถต้านทานได้ รู้สึกแสบตาราวกับว่าดวงตากำลังจะมืดบอด

 

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? เหตุใดบนท้องฟ้าถึงได้มีผืนทะเลเลือดปรากฏขึ้นมาเช่นนี้?”

 

เดม่อนตัวหนึ่งก็งนงงอย่างมาก มันใช้ชีวิตอยู่ในโลกอบิสมานานนับแสนปี ทว่าไม่เคยประสบกับเรื่องเช่นนี้มาก่อน มีผืนทะเลเลือดที่ปรากฏขึ้นมาบนท้องฟ้า นี้เป็นสถานการณ์ที่ไม่สามารถจินตนาการได้

 

ต่อให้เป็นเดม่อนโบราณบางตัวที่ใช้ชีวิตอยู่มานานหลายล้านปี พวกมันก็ไม่เคยได้ยินหรือพบเห็นเรื่องเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน

 

“ข้ารู้สึกว่าผืนทะเลเลือดบนท้องฟ้านี้เป็นการบ่งบอกถึงลางร้ายที่กำลังจะมาถึง เหมือนจะแอบแฝงไปด้วยพลังอำนาจของหายนะที่น่าสะพรึงกลัว เมื่อใดที่มาถึง ทั่วทุกพื้นที่จะต้องเผชิญกับการทำลายล้างเป็นแน่” เดม่อนตัวหนึ่งก็มีสีหน้าที่บิดเบี้ยวอย่างมาก

 

มันเป็นเดม่อนที่มักจะมีประสาทสัมผัสอ่อนไหวต่อพลังอำนาจของภัยพิบัติ เป็นผู้เชี่ยวชาญในการเอาตัวรอดจากหายนะ ทว่าผืนทะเลเลือดที่มันเห็นบนท้องฟ้าในตอนนี้ทำให้มันรู้สึกอับจนปัญญา เพราะว่าผืนทะเลเลือดนี้ก็กว้างขวางเกินไป ไม่สามารถหลบหนีออกไปจากระยะรัศมีของมันภายในระยะเวลาอันสั้นได้

 

“บัดซบ ข้ารู้แล้วว่าผืนทะเลเลือดบนท้องฟ้านี้คืออะไร มันคือก้อนเมฆแห่งการลงทัณฑ์ เป็นก้อนเมฆแห่งการลงทัณฑ์สีเลือด มันคือก้อนเมฆที่หมักหมมไปด้วยสายฟ้าพิโรธสีแดง จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง นี่คือการลงทัณฑ์แห่งสวรรค์!”

 

ในที่สุดก็มีเดม่อนที่แก่ชราตัวหนึ่งที่นึกขึ้นได้ว่าก้อนเมฆแห่งการลงทัณฑ์สีเลือดนี้คืออะไร ทว่าทันทีที่จดจำขึ้นมาได้ ใบหน้าของมันก็ซีดเผือด ทั่วทั้งร่างกายสั่นเทิ้มอย่างไม่หยุดหย่อน

 

“สายฟ้าพิโรธ? มันคือสิ่งใดกัน?”

 

เดม่อนจำนวนมากก็เอ่ยถามอย่างสงสัย

 

“เป็นเรื่องปกติที่พวกเจ้าจะไม่รู้จักมัน เพราะเป็นเรื่องยากมากที่สายฟ้าพิโรธจะปรากฏให้เห็นมันคือสายฟ้า ที่เป็นรู้จักกันในนามสายฟ้าแห่งการทำลายล้าง หากไม่ใช่เป็นเพราะมีใครบางคนที่ก่อเรื่องที่ทำให้กฎของจักรวาลพิโรธขึ้นมาและถูกอิจฉาโดยสวรรค์ ก็ไม่มีทางที่จะกระตุ้นสิ่งนี้ขึ้นมาได้”

 

เดม่อนที่แก่ชราตัวนั้นก็กัดฟันพูดออกมา “การที่ถูกกระตุ้นขึ้นมาเช่นนี้ นั่นแสดงว่าจะต้องมีใครบางคนที่ละ เมิดกฎข้อห้ามของจักรวาลเป็นแน่ ส่งผลให้สวรรค์พิโรธขึ้นมาและส่งสายฟ้าลงมาเพื่อทำลายล้างโลก!”

 

ทั่วทั้งร่างกายของมันสั่นเทิ้ม ไม่สามารถที่จะปกปิดความหวาดกลัวของตนเองได้ การลงทัณฑ์แห่งสวรรค์ที่ผ่าลงมา ใครกันที่จะรอดชีวิตไปได้

 

“นี่จะต้องเป็นฝีมือของเจ้ามนุษย์นี้ จะต้องเป็นเพราะเจ้ามนุษย์นี้อย่างแน่นอน”

 

เดม่อนตัวหนึ่งก็ตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ใครกันในหมู่พวกเราเดม่อนที่จะมีความสามารถในการกระตุ้นสายฟ้าพิโรธขึ้นมา นี่จะต้องเป็นเพราะเจ้ามนุษย์บัดซบนี้ที่ได้ก่อเรื่องบางอย่างซึ่งละเมิดกฎต้องห้ามของจักรวาลเป็นแน่ ดังนั้นจึงได้กระตุ้นการลงทัณฑ์แห่งสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวขึ้นมา”

 

มันก็สังเกตเห็นทันทีว่าในจุดที่เป็นใจกลางของก้อนเมฆแห่งการลงทัณฑ์นั้น คือจุดที่เจ้ามนุษย์นั่นกำลังยืนอยู่

 

“เวรเอ๊ย อันที่จริงเจ้ามนุษย์นี่ได้ก่อเรื่องอะไรไว้? เหตุใดจึงกระตุ้นสายฟ้าพิโรธขึ้นมาได้?”

 

“บัดซบ ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าพวกนักวิทยายุทธเหล่านี้เป็นตัวปัญหา วันๆไม่เคยท่าประโยชน์อันใด เอาแต่ทำร้ายผู้อื่นรวมถึงตนเอง เป็นหายนะของจักรวาล น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าพวกเราเดม่อนเสียอีก”

 

“ตอนนี้พวกเราควรจะทำอย่างไร? หลบหนีไปได้รึไม่? หากสายฟ้าสีแดงนั่นผ่าลงมา ต่อให้พวกเราจะไม่ใช่เป้าหมายของการลงทัณฑ์นั้น ทว่าบางที่นี่ก็อาจจะเป็นการนำพาภัยพิบัติมาสู่บ่อปลา พวกเราอาจจะตกกระไดพลอยโจรไปด้วย”

 

“จะหลบหนีอย่างไร? ผืนก้อนเมฆแห่งการลงทัณฑ์สีเลือดนี้ครอบคลุมพื้นที่ในวงกว้าง ไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดได้ด้วยซ้ำ อันที่จริงพวกเราจะหลบหนีไปที่ไหนได้?”

 

“อย่างน้อยก็หลบหนีไปให้ไกลจากเจ้ามนุษย์บัดซบนี้ที่สุด ยิ่งอยู่ใกล้กับเจ้ามนุษย์น พลังอำนาจของการลงทัณฑ์ก็จะยิ่งน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นเท่านั้น”

 

เดม่อนจำนวนมากก็พูดคุยกันด้วยอารมณ์ที่ล้นหลาม มีสีหน้าที่บิดเบี้ยวกันอย่างมาก เมื่อคิดได้ว่าพวกมันจะต้องได้รับผลกระทบจากเจ้ามนุษย์นี่ พวกมันก็คิดว่านี่เป็นการโชคร้ายไปแปดชาติจริงๆ