ตั้งแต่งานแถลงข่าวผ่านพ้นไป นับวันฮั่วฉินเยี่ยนก็ยุ่งขึ้นทุกวัน ยุ่งกับการประชุมผู้ถือหุ้นบ้าง ยุ่งกับการสะสางเรื่องของบริษัทบ้าง เขายุ่งจนวันทั้งวันนั้นนอกจากตอนเย็นแล้ว เขาไม่ได้เจอเวินหลานฉีเลย ได้แต่โทรหาเวินหลานฉีในช่วงพักเท่านั้น
ถึงแม้ฮั่วฉินเยี่ยนจะยุ่งตลอดทั้งวัน แต่เขาก็มักจะปรากฏตัวหน้าบริษัทของเวินหลานฉี เพื่อมารับเธอเลิกงานทุกวันในตอนเย็น เพียงแต่จะค่อยๆ เลทไปจากเวลาเลิกงานปกติบ้าง…
แต่ฮั่วฉินเยี่ยนก็ยังดันทุรังไม่ยอมให้เธอกลับบ้านเอง เอาแต่บอกว่าลูกสะใภ้หน้าตาไม่ค่อยรู้สึกปลอดภัยนัก กลัวจะโดนคนอื่นห่วงใย…
เฮ้อ เวินหลานฉีทำได้เพียงนั่งแกร่วอยู่ห้องทำงานอย่างเบื่อๆ เพื่อรอข่าวคราวจากฮั่วฉินเยี่ยน
มาวันนี้เวินหลานฉีตัดสินใจไม่รอฮั่วฉินเยี่ยนอีกแล้ว เธอจึงขับรถกลับบ้านเอง พอถึงโรงรถก็รู้สึกเหมือนมีคนตามอยู่ข้างหลัง หากแต่พอหันกลับไปกลับไม่มีใครเลย เวินหลานฉีคิดว่าคงเป็นความเข้าใจผิดของตัวเอง จึงไม่ได้คิดมากอีก
วันต่อมาขณะเวินหลานฉีเตรียมตัวจะกลับบ้าน พอเห็นว่าจิ่งหลานยังไม่กลับก็คุยเล่นกับเขาเรื่อยเปื่อย บอกเล่าประสบการณ์ที่ตนอยู่เพียงลำพังในโรงรถ ความจริงตอนนั้นเธอรู้สึกว่ามีคนอยู่ข้างหลังเธอจริงๆ แต่ตอนนั้นเธอก็ไม่กล้าฟันธง
จิ่งหลานพูดอย่างเป็นห่วง “งั้นคืนนี้ผมไปส่งคุณกลับบ้านละกัน!”
เวินหลานฉีพูดยิ้มๆ “ไม่เป็นไรฉันกลับคนเดียวได้น่า นายเองก็รู้จักฉันมาตั้งหลายปี เรื่องแบบนี้ฉันยังต้องกลัวด้วยเหรอ”
จิ่งหลานได้แต่เพียงหัวเราะอย่างจนปัญญา ไม่รู้จะพูดอะไร จึงได้แค่กำชับเธอให้ระวังตัวหน่อย ทว่าก็รู้สถานะของตัวเองอยู่ลึกๆ และไม่มีทางทำอะไรมากกว่านี้ได้
แม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่จิ่งหลานก็ยังคงแอบตามรถของเวินหลานฉีไปเงียบๆ จิ่งหลานเชื่อว่าลางสังหรณ์ของเวินหลานฉีต้องมีเหตุผลของเธอเองแน่นอน เขาถึงขนาดคิดเอาเอง ว่าถ้าช่วงนี้ฮั่วฉินเยี่ยนไม่มีเวลามารับเวินหลานฉีตลอด เขาก็จะตามคุ้มกันเธออย่างเงียบๆ แบบนี้ทุกวัน
เพียงแต่จิ่งหลานคิดไม่ถึงว่าพอผ่านวันนี้ไป เขาจะไม่มีวันต่อไปอีกแล้ว
รถของเวินหลานฉีแล่นเข้าไปในโรงรถใต้ดิน ตรงมุมกำแพงไม่ไกล…มีเงาดำยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
หลังจากเวินหลานฉีจอดรถเรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินไปทางลิฟต์
บรื๊น…บรื๊น เสียงเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ดึงความสนใจของเวินหลานฉี มอเตอร์ไซค์คันสีดำแล่นตรงมาจากที่ไม่ไกล ตอนแรกเวินหลานฉีเตรียมจะหลีกทางให้เขา
แต่เป้าหมายของคนนั้น…คือเวินหลานฉีอย่างเห็นได้ชัด!
ใจเวินหลานฉีสั่น เหมือนว่าช่วงนี้เธอไม่ได้ยั่วโมโหอะไรกับศัตรูเลยนะ ท่าทางโหดเหี้ยมอำมหิตของคนนี้เหมือนจะกำจัดเธออย่างเห็นได้ชัดเลยนะ!
เวินหลานฉีกลับหลังหันหมายจะวิ่งหนีตามสัญชาตญาณ แต่ความเร็วของคนนั้นเร็วเกินไป จนเธอยังไม่ทันหลบโดยสิ้นเชิง ชั่ววินาทีที่สายตาเห็นว่ามอเตอร์ไซค์คันนั้นจะชนเวินหลานฉี ก็มีเงาอีกเงาหนึ่งพุ่งจากข้างๆ เข้ามาผลักเวินหลานฉีออก…
ไม่ผิด คนนั้นคือจิ่งหลาน!
หลังจากร่างของจิ่งหลานลอยขึ้นไปกลางอากาศเป็นวิถีโค้ง แล้วเหวี่ยงตกลงมาบนพื้นอย่างหนัก ส่วนคนขับรถมอเตอร์ไซค์คันนั้นเมื่อเห็นว่าชนคนผิด ในใจก็เกิดตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก จึงรีบขับมอเตอร์ไซค์หลบหนีไปรวดเร็วอย่างกับบินได้
“จิ่งหลาน! จิ่งหลาน!” เวินหลานฉีรีบพรวดพราดไปข้างจิ่งหลานอย่างรวดเร็ว แล้วควักโทรศัพท์ออกมาโทรหาเบอร์ 120 เธอกลัวว่าหากเธอช้าไปเพียงสักนาทีเดียว เธอจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
จิ่งหลานเป็นหนึ่งในเพื่อนสำคัญที่สุดของเธอ เป็นความช่วยเหลือและที่พึ่งหนึ่งเดียวของเธอในต่างประเทศตลอดหลายปีนั้น…เขาจะเป็นอะไรไม่ได้เด็ดขาด!
“จิ่งหลาน จิ่งหลานนายอดทนหน่อยนะ 120 กำลังจะมาถึงแล้ว!” น้ำตาของเวินหลานฉีไหลพรากไม่หยุด เธอปล่อยน้ำตาไหลไปพลาง มืออีกข้างก็พลอยเขย่าแขนจิ่งหลานไปพลาง
“นายอดทนหน่อยนะ เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้นแล้ว ห้ามหลับเด็ดขาดเลยนะ จิ่งหลาน…”
เมื่อเห็นว่าเวินหลานฉีเป็นห่วงตนขนาดนี้ ในที่สุดมุมปากที่มีเลือดสีแดงสดทะลักออกมาก็ยกยิ้มขึ้น ที่แท้เธอก็แคร์เขาเหมือนกันนะ…เมื่อเห็นว่าเวินหลานฉีปลอดภัยหายห่วงอยู่ข้างกายตน จิ่งหลานจึงกุมมือเวินหลานฉีอย่างสบายใจ
รถพยาบาลมาถึงในทันที เวินหลานฉีตามรถพยาบาลและพยุงจิ่งหลานไปโรงพยาบาลตลอดทาง ขณะที่รออยู่หน้าห้องผ่าตัดนั้น…เธออดนึกกลัวในภายหลังอยู่บ้างไม่ได้…
ถ้าตอนนั้นไม่ใช่จิ่งหลาน ถ้าจิ่งหลานไม่ได้โถมตัวเข้ามาผลักเธอออก…ถ้า…ถ้าอย่างนั้นคนที่จะนอนอยู่ที่นี่ในวันนี้คงเป็นเวินหลานฉีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แท้จริงแล้วคือใครกันแน่ ถึงหมายจะเอาชีวิตตนขนาดนี้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เวินหลานฉีก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงโทรศัพท์หาฮั่วฉินเยี่ยน “อาเยี่ยน…ตอนนี้ฉันอยู่โรงพยาบาล…จิ่งหลานเขาโดนรถชน…กำลังช่วยชีวิตอยู่…เขาช่วยฉัน…” เวินหลานฉีพูดไปพลางสะอึกสะอื้นไปพลาง พูดจาสับสนอยู่บ้าง
พอฮั่วฉินเยี่ยนได้ยินว่าเธออยู่โรงพยาบาล เขาจึงหยิบโทรศัพท์และกุญแจรถ และไม่ลืมพุ่งลงจากตึกไปอย่างรีบร้อน
“โรงพยาบาลจิ่นเฉิง?” ฮั่วฉินเยี่ยนถามอย่างกระวนกระวาย
“อืม…” น้ำเสียงของเวินหลานฉีสั่นเครือจากการร้องไห้
“รอผมก่อน ผมกำลังไป” หลังจากฮั่วฉินเยี่ยนพูดจบก็วางสายไป เขาจะรีบไปอยู่ข้างกายเธอ
ทันทีที่ประตูห้องผ่าตัดเปิด…คุณหมอสวมชุดกาวน์สีขาวหลายท่านก็เดินออกมาจากข้างใน
“คุณหมอคะ! คนข้างในเขาเป็นยังไงบ้าง!” เวินหลานฉีเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
“คุณเป็นญาติของเขา?” คุณหมอถาม
“ไม่ๆ …ฉันเป็นเพื่อนของเขาค่ะ คุณหมอเขาช่วยชีวิตฉันไว้ ก็เลยบาดเจ็บ…คุณต้องช่วยชีวิตเขาให้ได้นะคะ…” เวินหลานฉีพูดจาวกวนอยู่บ้าง
“เขาพ้นขีดอันตรายแล้วครับ โชคดีไม่กระทบกระเทือนถึงหัวใจ เลือดภายในไตก็หยุดไหลแล้ว ต่อไปแค่ให้เขาพักฟื้นอย่างเต็มที่ พอร่างกายหายดีแล้วพยายามอย่าออกกำลังกายหนักๆ ก็พอแล้วครับ”
เมื่อได้ยินคุณหมอพูดเช่นนี้ เวินหลานฉีก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกในที่สุด…เธอไม่กล้าจินตนาการจริงๆ ถ้าจิ่งหลานมีอันเป็นไป…
เวินหลานฉีกุมหน้า เธอไม่กล้าคิดต่อไปอีก
ในขณะนั้นเองฮั่วฉินเยี่ยนมาถึงอย่างเร่งด่วน หลังจากถามไถ่สถานการณ์ และตามไปพูดคุยกับคุณหมอไม่กี่ประโยค เขาก็กลับมาหาเวินหลานฉีอีกครั้ง
“ฉีฉี คุณวางใจเถอะ คุณหมอบอกว่าเขาจะไม่มีผลกระทบอะไรภายหลังแน่นอน โชคดีที่ไอ้หนุ่มนั่นเป็นคนมีโชค ก็เลยไม่เป็นอะไร” ฮั่วฉินเยี่ยนลูบผมเวินหลานฉี แล้วพูดปลอบโยนเธอ
“ใช่สิ ฉีฉี ในสายคุณบอกว่าจิ่งหลานช่วยคุณเลยโดนรถชนงั้นเหรอ ตกลงมันเรื่องอะไรกัน” พอฮั่วฉินเยี่ยนคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าก็กลับมาเย็นชาอย่างในอดีตอีกครั้ง
เวินหลานฉีเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบให้ฮั่วฉินเยี่ยนฟังอีกครั้ง คิ้วของฮั่วฉินเยี่ยนค่อยๆ ขมวดเป็นปม มือทั้งสองยิ่งกำหมัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ใครมันช่างกล้ามาทำร้ายผู้หญิงของเขาขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่านี่มันต้องการให้เธอตายเลยนะ!
“อาเยี่ยน อาเยี่ยนอย่าโมโหเลย ฉันจำป้ายทะเบียนมอเตอร์ไซค์คันนั้นได้…แต่เดาว่าน่าจะไม่มีประโยชน์อะไร…พอเสร็จเรื่องแล้วรถพวกนี้ก็คงถูกทิ้งแล้วละมั้ง” เวินหลานฉีขมวดคิ้วครุ่นคิด
ภายในตึกเก่าทรุดโทรมเล็กๆ นอกเมือง เหยียนน่ากำลังเจรจากับชายชุดดำคนหนึ่ง
“แกทำอะไรลงไป ฉันสั่งให้แกชนเวินหลานฉี แล้วแกชนคนอื่นทำไม แกทำแบบนี้ก็ยิ่งเปิดโปงพวกเราเร็วขึ้นน่ะสิ” เหยียนน่าโมโหแทบตายเลยจริงๆ เสียประโยชน์กับเขาฟรีๆ ไปตั้งเท่าไร เป็นไอ้หนุ่มมือไม่พายเอาเท้าราน้ำจริงๆ เลย
เสียดายที่ตนร่วมเตียงกับเขาไปตั้งหลายครั้ง ชายคนนั้นยังรับประกันกับเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าจะต้องทำให้เวินหลานฉีไม่เห็นดวงตะวันในวันต่อไปตลอดไปแน่นอน แล้วตอนนี้เป็นไงล่ะ! ถ้าฮั่วฉินเยี่ยนรู้ จะต้องไม้ให้อภัยกับสิ่งที่เธอทำง่ายๆ แน่นอน!
พอคิดถึงตรงนี้ เหยียนน่าก็เซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
ฮั่วฉินเยี่ยนยืนยันว่าหลังจากจิ่งหลานไม่เป็นอะไรแล้ว เขาได้ให้คุณหมอเตรียมห้องพักผู้ป่วยอย่างดีหน่อย แถมยังให้พยาบาลเฝ้าไข้ให้ด้วย เวินหลานฉีถึงได้แยกจากเขาอย่างหมดห่วง
พอกลับถึงบ้านเวินหลานฉีก็ไปอาบน้ำก่อน หลังจากออกมากลับเห็นฮั่วฉินเยี่ยนพิงหัวเตียงหลับอยู่อย่างคาดไม่ถึง
เธอก้าวไปข้างหน้าเบาๆ แล้วคุกเข่าฟุบลงตรงหน้าของฮั่วฉินเยี่ยน มองสีหน้ายามหลับของเขาอย่างละเอียด เวลาเขาหลับนั้นขาดความสูงส่งและหยิ่งยโสที่ปฏิเสธคนมาแต่ไกลในยามปกติ จนกลายเป็นคนอบอุ่น ถึงขั้นไร้เดียงสาอย่างกับเด็กน้อยเสียด้วยซ้ำ เวินหลานฉีฟุบอยู่บนเตียง มองสีหน้ายามหลับของฮั่วฉินเยี่ยนนิ่ง
นับแต่งานแถลงข่าวผ่านพ้นไป เขาแทบจะยุ่งกับงานการอยู่ตลอด นานแล้วที่เธอไม่ได้มองฮั่วฉินเยี่ยนอย่างละเอียดขนาดนี้ แม้พวกเขาจะเจอหน้ากันทุกวันก็ตาม แต่ความจริงเธอก็คิดถึงเขามากเหมือนกัน กลับถึงบ้านในทุกๆ วันพวกเขาทั้งสองต่างมีท่าทางเหนื่อยล้าจนอ่อนเพลีย อย่าพูดถึงว่าต่างฝ่ายจะมองกันและกัน แม้แต่พูดยังน้อยเลยด้วยซ้ำ
ขณะที่มองอย่างโง่งมอยู่นั้น ฮั่วฉินเยี่ยนผู้หลับอยู่ก็ลืมตาทั้งสองของเขาขึ้น ดวงตาทั้งสองทั้งลึกล้ำและฉลาดเฉียบแหลม อย่างกับความกว้างใหญ่ไพศาล
“คุณอาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ เฮ้อ ผมพิงหลับไปได้ยังไงเนี่ย…” ฮั่วฉินเยี่ยนเกาหัว แล้วหยัดกายขึ้นตรงดึงเวินหลานฉีขึ้นเตียง และกอดเธอไว้ในอ้อมกอด
“อืม…อาเยี่ยนช่วงนี้คุณน่าจะเหนื่อยเกินไปแหละ” เวินหลานฉีพูดพลางซบอกของฮั่วฉินเยี่ยน
“เหนื่อยไหม”
“แค่เห็นคุณก็หายเหนื่อยแล้ว”
เวินหลานฉีถอนหายใจเบาๆ ทว่ากลับถูกฮั่วฉินเยี่ยนเห็นเข้าจนได้
ฮั่วฉินเยี่ยนกดจูบลงบนหัวของเวินหลานฉีเบาๆ “ฉีฉีคุณเป็นอะไรเหรอ”
“อาเยี่ยน…ช่วงนี้คุณยุ่งตลอดจนไม่มีเวลาอยู่กับฉันเลย” เวินหลานฉีบ่นอย่างคับแค้นใจอยู่บ้าง
“เราเจอหน้ากันทุกวัน แต่เราไม่ได้อิงแอบแนบชิด พูดความในใจกันอย่างในตอนนี้นานแค่ไหนแล้วเหรอ ฉันตื่นมาในตอนเช้า คุณก็ออกไปบริษัทแล้ว ตอนเที่ยงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ก่อนหน้านี้เรายังไปกินข้าวด้วยกันได้บ้าง แต่ช่วงนี้เราไม่ได้ไปกินข้าวด้วยกันเลยนะ พอตอนเย็น ถึงแม้คุณจะบอกฉันเสมอว่าจะมารับฉัน แต่คุณเลิกงานดึกขนาดนั้น ฉันรอคุณอยู่ในบริษัทคนเดียวท้องมันก็หิวนะ…”
พอคิดถึงเรื่องวันนี้ ในใจฮั่วฉินเยี่ยนก็ยิ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดในใจ
“ฉีฉี…ผมรู้ว่าตอนเย็นผมเลิกงานดึกเกินไป และมักจะให้คุณกลับบ้านคนเดียวเสมอ…ถ้าผมอยู่ข้างคุณคงไม่เกิดเรื่องอย่างวันนี้ขึ้น”
“อาเยี่ยน คุณตั้งใจทำงานฉันก็สนับสนุนคุณอยู่แล้วละนะ แต่คุณรู้ไหม ความจริงฉันหึงมาก!”
“หึง? หึงอะไร” ฮั่วฉินเยี่ยนมองสีหน้าของเธอ แล้วอดหัวเราะไม่ได้อยู่บ้าง
“อาเยี่ยนวันๆ คุณเอาแต่อยู่กับงาน จนลืมฉันไปหมดแล้ว!” เวินหลานฉีฟ้อง
ฮั่วฉินเยี่ยนมองท่าทางของเวินหลานฉี เธอถอดมาดหญิงแกร่งยามอยู่ต่อหน้าคนนอก และตั้งใจออดอ้อนเขาโดยเฉพาะ
ฮั่วฉินเยี่ยนอดหัวเราะไม่ได้ “ฉีฉีเด็กดี ช่วยทนอีกสักสองสามวันได้ไหม คุณก็รู้ว่าเพราะเรื่องครั้งก่อน ทำให้หุ้นของตงหยวนลดฮวบลงอย่างรุนแรง…ช่วงนี้พวกหุ้นส่วนก็เลยไม่ค่อยมีความสุขกันนัก ในฐานะที่ผมเป็นประธานของตงหยวน จึงจำเป็นต้องทำผลการทำงานให้ประสบความสำเร็จหน่อย ถึงจะทำให้พวกหุ้นส่วนและพนักงานเหล่านั้นเลื่อมใสได้น่ะ แต่ฉีฉีคุณวางใจได้ ตอนเย็นหลังจากนี้ผมจะไม่ทำโอทีดึกขนาดนี้จนเสียนิสัยอีกแล้ว”
“อืม…” เวินหลานฉีพยักหน้าเบาๆ