ตอนที่ 145 ดูแล

พ่ายรักวิวาห์ลวง

ฮั่วฉินเยี่ยนกอดเวินหลานฉีจมลึกสู่ห้วงนิทรา พวกเขาทั้งสองยุ่งมาตลอดทั้งวัน ไม่นานจึงเข้าสู่ห้วงฝันไป 

 

 

วันต่อมาเวินหลานฉีไปเยี่ยมจิ่งหลานที่โรงพยาบาลแต่เช้า เธอยังคงเป็นห่วงเขาอยู่มาก เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเพราะเขาช่วยเธอไว้แท้ๆ เขาถึงได้รับบาดเจ็บ ในใจเวินหลานฉีเต็มไปด้วยความละอายใจ ตอนอยู่ต่างประเทศจิ่งหลานช่วยเหลือเธอตั้งมากมาย พอกลับมาก็ยังช่วยเธอแบบนี้อีก 

 

 

ทำไมเธอจะไม่รู้ความรู้สึกของจิ่งหลานที่มีต่อตัวเอง ตอนวันเกิดเธอครั้งนั้น เขาได้บอกความในใจของเขากับเธอแล้ว และเธอเพียงแค่บอกปัดเขาอ้อมๆ แต่เขายังคงเป็นห่วงและดูแลตนมาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะฮั่วฉินเยี่ยน…ไม่แน่เขาก็อาจจะเอาชนะใจเธอได้แล้วล่ะ เวินหลานฉีคิดในใจ 

 

 

คิดไปคิดมารถก็ขับมาถึงโรงพยาบาล หลังจากเวินหลานฉีซื้อผลไม้เล็กๆ น้อยๆ ในซูเปอร์มาร์เก็ตใต้ตึกแล้ว เธอก็เดินเข้าไปในโรงพยาบาล มองลอดหน้าต่างห้องเข้าไป เห็นใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดฝาดของจิ่งหลาน เงาร่างสูงแข็งแรงในวันปกติ ล้มตัวลงนอนบนเตียงสีขาวสะอาดในห้องพักผู้ป่วยอย่างกะทันหัน ในใจเวินหลานฉีอดปวดร้าวอยู่บ้างไม่ได้ 

 

 

เมื่อคิดถึงเงาร่างพุ่งพรวดออกมาอย่างกะทันหันของเขาเมื่อวาน เดิมทีเวินหลานฉีคิดว่าตนคงตายแน่แล้ว หากแต่เมื่อเห็นเงาสูงใหญ่นั้นของเขา เข้ามาขวางกั้นตรงหน้าเธออย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เวินหลานฉีก็อดนัยน์ตาแดงก่ำไม่ได้ 

 

 

เธอรีบร้อนปาดน้ำตาตรงหางตาของเธอ แล้วเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยของจิ่งหลาน 

 

 

จิ่งหลานยังคงไม่ฟื้น เวินหลานฉีมองเส้นคลื่นไฟฟ้าหัวใจบนเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ที่เชื่อมติดอยู่ข้างๆ นั้นขยับอย่างมีกฎเกณฑ์อย่างเห็นได้ชัด เธอก็วางใจได้ในที่สุด เธอไม่กล้าคิดจริงๆ ว่าถ้าจิ่งหลานเป็นอะไรขึ้นมา เธอจะทำอย่างไร 

 

 

เวินหลานฉีนั่งอยู่บนม้านั่งข้างเตียงคนไข้ มองสีหน้าหลับสนิทของจิ่งหลานนิ่ง แล้วหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนพวกเขาเจอกันครั้งแรก จนถึงตอนนี้ไม่นึกเลยว่าจะผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว ตลอดหลายปีนั้นตนยังไม่ปล่อยวางเรื่องฮั่วฉินเยี่ยนเลยด้วยซ้ำ แต่เขาก็อยู่เคียงข้างเธอมาโดยตลอด แม้จะรู้ว่าตนไม่ชอบเขา ทว่าก็ยังคงยื่นมือมาช่วยเหลือกันและกันยามเธอผจญความลำบากอยู่เสมอ 

 

 

เพียงแต่เวินหลานฉีนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะทำเพื่อเธอ จนแม้แต่ชีวิตตัวเองยังไม่เอา… 

 

 

ถ้าพามาส่งช้ากว่านี้อีกหน่อย…ถ้าคนนั้นชนอย่างโหดเหี้ยมกว่านี้อีกหน่อย…ถ้า…เธอไม่กล้าคิดถึงผลลัพธ์มากกว่าไปกว่านี้แล้ว ถ้าไม่ใช่จิ่งหลาน คนที่นอนอยู่ที่นี่วันนี้ก็คงเป็นตน…หรือไม่เธอก็ตายไปนานแล้ว… 

 

 

เวินหลานฉีนั่งอยู่บนม้านั่งแน่นิ่ง ปอกแอปเปิลให้จิ่งหลาน หนำซ้ำยังปอกส้มให้ด้วย เธอหั่นแอปเปิลออกเป็นชิ้นๆ แล้ววางลงในชามผลไม้เจ็ดสี สิ่งที่เธอจะทำให้จิ่งหลานได้เท่าที่ทำได้ตอนนี้ ก็คงมีแค่พวกนี้แล้วละมั้ง…พอคิดถึงตรงนี้ เวินหลานฉีก็ก้มหน้าลง 

 

 

“ฉี…คุณมาแล้วเหรอ” จิ่งหลานได้ยินเสียง จึงลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าคือเวินหลานฉี มุมปากก็ยกยิ้มเล็กน้อย 

 

 

“อืม ฉันเอง ฉันมาเยี่ยมนายแล้วนะ…จิ่งหลาน นายรู้สึกดีขึ้นหรือยัง” เมื่อเวินหลานฉีเห็นว่าจิ่งหลานฟื้นแล้ว ก็รีบถามอย่างเป็นห่วง 

 

 

“อืม…ผมไม่เป็นไร ฉี…คุณบาดเจ็บตรงไหนบ้างไหม” จิ่งหลานนึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วยังคงถามเธออย่างเป็นห่วงอยู่บ้าง 

 

 

“ฉันไม่เป็นไรแน่อยู่แล้วล่ะ โชคดีที่มีนาย…ไม่อย่างนั้นคนที่นอนอยู่ที่นี่วันนี้คงเป็นฉัน…” เวินหลานฉีหน้าม่อยคอตก มือที่ถือชามผลไม้สั่นเทาเล็กน้อย 

 

 

“ฉี…” จิ่งหลานมองเธอ หากแต่กลับไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอธิบายอย่างไรดี 

 

 

“กินผลไม้สักหน่อยเถอะ” เวินหลานฉีเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้จิ่งหลาน เธอไม่อยากให้อารมณ์ไม่ดีของตัวเองกระทบเขา เขาเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ถ้าอารมณ์ดีจะทำให้บาดแผลของเขาฟื้นฟูได้เร็วขึ้น 

 

 

เวินหลานฉีถือชามผลไม้ไว้ในมือ แล้วใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มแอปเปิลขึ้นมาชิ้นหนึ่ง จิ่งหลานมองเวินหลานฉีอย่างอ่อนโยน เห็นได้ชัดว่าบาดแผลบนร่างกายของเขายังเจ็บอยู่ แต่อยู่ๆ ตอนนี้จิ่งหลานกลับหวังให้ตัวเองป่วยนานขึ้นอีกสักหน่อย ยิ่งนานเท่าไรยิ่งดี 

 

 

แบบนี้…จะได้มองเวินหลานฉีไปตลอดใช่ไหม แบบนี้เธอจะได้ดูแลเขาแบบนี้ไปตลอด… 

 

 

จิ่งหลานคิดไปพลาง มุมปากก็พลอยกินแอปเปิลในมือของเวินหลานฉี 

 

 

ทั้งสองมองกันและกันต่างฝ่ายต่างคิดไปเอง โดยไม่พูดอะไรกันเลยตลอดทั้งวัน 

 

 

ในขณะเดียวกัน ณ ตรอกเล็กแห่งหนึ่งชานเมือง ชายคนหนึ่งกับผู้หญิงคนหนึ่งกำลังโต้เถียงกันอยู่ 

 

 

“ฉันให้แกชนเวินหลานฉี! นังผู้หญิงคนนั้น! แกไปชนผู้ชายคนอื่นจนบาดเจ็บได้ยังไง ไม่เลือกชายหญิงงั้นเหรอ” เหยียนน่าตะคอกใส่ผู้ชายตรงหน้าด้วยเสียงต่ำ 

 

 

“ไม่ใช่คนที่ผมชน! ผู้ชายคนนั้นมันโถมตัวเข้ามาหาเองต่างหาก!” ชายฝั่งตรงข้ามก็ตอบกลับด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เช่นกัน เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจะมีคนโง่โผเข้ามาให้เขาชนน่ะ 

 

 

“ล้อเล่นอะไรกัน โถมตัวเข้ามาเองงั้นเหรอ ในเมื่อคนนั้นไม่ใช่ฮั่วฉินเยี่ยน งั้นทำไมถึงโถมตัวเข้ามาให้แกชนล่ะ” เหยียนน่าสงสัยด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ 

 

 

ทำไมข้างกายเวินหลานฉี ถึงได้มีผู้ชายยอมตายเพื่อเธอมากขนาดนี้กันนะ แล้วเธอเหยียนน่ามีสิทธิ์อะไรตกอับ ถึงขนาดต้องมาปรนนิบัติผู้ชายสกปรกโสมมพวกนี้กัน เพราะเวินหลานฉีทั้งนั้น! ถ้าไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของเธอ ตอนนี้ตนคงอยู่ข้างกายฮั่วฉินเยี่ยนเป็นแน่ พอคิดถึงตรงนี้ ความริษยาของเหยียนน่าที่มีต่อเวินหลานฉีก็แทบคลั่ง ไม่ง่ายเลยกว่าฮั่วฉินเยี่ยนจะไม่อยู่ข้างกายเวินหลานฉีอย่างช่วงนี้ นึกไม่ถึงเลยว่ากลับมีผู้ชายอีกคนโผล่ออกมา ยอมตายแทนเวินหลานฉีได้ 

 

 

เหยียนน่ากระทืบเท้าอย่างโมโห ยิ่งคิดในใจก็ยิ่งโมโห 

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนนั่งอยู่ในห้องทำงาน ก้มหน้าขมวดคิ้วครุ่นคิด พอเช้าเวินหลานฉีก็บอกว่าจะไปเยี่ยมจิ่งหลาน แม้ตนจะไม่ยินยอมอยู่บ้าง หากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร อย่างไรเสียเมื่อวานถ้าไม่ได้จิ่งหลาน คาดว่าตอนนี้ตนคงไม่ได้เห็นเวินหลานฉีอีกแล้ว…พอคิดถึงตรงนี้ ฮั่วฉินเยี่ยนก็สาบานกับตัวเอง ว่าต้องจับคนนั้นให้ได้ 

 

 

ประธานผู้น่าเกรงขามอย่างเขา แม้แต่ผู้หญิงสุดที่รักของตัวเองยังปกป้องไม่ได้ แล้วเขาจะมีอำนาจและอิทธิพลมากขนาดนี้ไปเพื่ออะไร 

 

 

“ฉีฉีคุณอยู่ไหนน่ะ” ฮั่วฉินเยี่ยนทนไม่ไหว จึงโทรหาเวินหลานฉี 

 

 

“อาเยี่ยนเหรอ ฉันยังอยู่โรงพยาบาลอยู่เลยน่ะ คุณหมอบอกว่าจิ่งหลานยังไม่พ้นขีดอันตราย ยังต้องพักรักษาตัว เพื่อสังเกตการณ์อีกสักระยะหนึ่ง ฉันเลยอยากอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเขาก่อน” เวินหลานฉีตอบเขากลับ 

 

 

“งั้นตอนพักเที่ยงผมจะไปรับคุณ แล้วเราไปกินข้าวด้วยกันเถอะ” ฮั่วฉินเยี่ยนได้ยินเวินหลานฉีบอกว่ายังคงอยู่โรงพยาบาล จึงไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่เวินหลานฉีเคยบอก ว่าไม่ชอบให้เขาแสดงความเป็นเจ้าของมากนัก เขาจึงทำได้เพียงเก็บอาการของตัวเองไว้ดังเดิม 

 

 

“ได้” เวินหลานฉีตอบรับ 

 

 

“สายจากเขาเหรอ” จิ่งหลานได้ยินจึงเอ่ยถาม เขาไม่ร้องขอให้ได้อยู่เคียงข้างเวินหลานฉีในทุกๆ วันอย่างฮั่วฉินเยี่ยน แต่เขาเพียงหวังว่าจะได้เห็นรอยยิ้มของเวินหลานฉีในทุกๆ วันเท่านั้น แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว 

 

 

“อืม อาเยี่ยนบอกว่าตอนเที่ยงจะมารับไปกินข้าว” 

 

 

“ฉี…คุณอยู่เป็นเพื่อนผมแบบนี้ เขาจะไม่…” สีหน้าของจิ่งหลานลังเลอยู่เล็กน้อย ไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไรดี 

 

 

“นายสบายใจได้เลย อาเยี่ยนไม่ใช่คนใจแคบขนาดนั้น” เวินหลานฉีพูดยิ้มๆ 

 

 

แต่…จะว่าไปก็ไม่แน่ ตนยังต้องหาเวลาอยู่เป็นเพื่อนเขามากกว่านี้นะ… 

 

 

หลายวันผ่านไป จิ่งหลานก็พ้นขีดอันตราย แต่เวินหลานฉียังคงมาอยู่เป็นเพื่อนเขาทุกวัน ช่วยเขาปอกแอปเปิลและดูแลเขา จิ่งหลานหวังจริงๆ ว่าตนอยากจะนอนป่วยอยู่บนเตียงแบบนี้ไปตลอด จะได้เห็นรอยยิ้มของเธอในทุกๆ วัน เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว 

 

 

ขณะที่เวินหลานฉีกำลังช่วยจิ่งหลานปอกแอปเปิล จิ่งหลานก็จ้องเธอนิ่งๆ ก้มหน้ายิ้มน้อยๆ เส้นผมสีดำขลับสยายตกลงมาถึงเอว มือเรียวขาวเด่นทั้งสองและมีดปอกผลไม้ปอกเปลือกแอปเปิลเป็นเกลียวต่อเนื่องกัน คาดไม่ถึงว่าท่าทางปกติธรรมดานี้จะดึงดูดใจคนได้ขนาดนี้ 

 

 

จิ่งหลานมองค้างไปชั่วขณะ เขาทนไม่ไหวยื่นมือเกี่ยวเอาเส้นผมที่ปรกลงมา เกี่ยวหลังหูของเธอ เวินหลานฉีนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เมื่อจิ่งหลานได้สติกลับมาจึงรีบพูด “ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่เห็นว่าผมของคุณตกลงมา กลัวว่าจะบดบังสายตาของคุณ แล้วจะมีดบาดมือเอาง่ายๆ …” 

 

 

จิ่งหลานอธิบายอย่างเคอะเขินอยู่บ้าง 

 

 

เวินหลานฉียิ้มบางๆ แล้วป้อนแอปเปิลที่เพิ่งปอกเสร็จเข้าปากจิ่งหลาน 

 

 

“หวานไหม” เวินหลานฉีถาม เมื่อเห็นว่าจิ่งหลานกลืนเข้าไปอย่างตะกละตะกลาม 

 

 

จิ่งหลานพยักหน้าคล้อยตาม เขาหวังจะได้เห็นท่าทางเช่นนี้ของเวินหลานฉีมากแค่ไหน ถ้าเป็นไปได้ให้เขานอนอยู่บนเตียงคนไข้อย่างนี้ไปตลอดชีวิต เขาก็ยินยอมพร้อมใจ 

 

 

ปฏิกิริยาโต้ตอบเช่นนี้ของจิ่งหลาน เวินหลานฉีอาจจะไม่ทันสังเกตเห็น แต่กลับถูกฮั่วฉินเยี่ยนผู้อยู่นอกประตูเห็นกับตา เขาขมวดคิ้วแล้วกลับหลังหันเดินจากมา 

 

 

ช่วงนี้ตอนเช้าเวินหลานฉีจะไปเยี่ยมจิ่งหลานที่โรงพยาบาล แล้วไปทำงาน ส่วนตอนบ่ายหลังจากเลิกงานก็จะรีบไปโรงพยาบาลทันที นั่นทำให้ฮั่วฉินเยี่ยนไม่พอใจเป็นอย่างมาก ผู้หญิงของตนวิ่งไปอยู่กับผู้ชายอีกคนทุกวัน แม้จะเป็นเพราะจิ่งหลานช่วยเวินหลานฉีไว้จนรับบาดเจ็บ แต่ฮั่วฉินเยี่ยนก็ไม่สนใจ 

 

 

เย็นวันนี้พอกลับถึงบ้าน เวินหลานฉีเห็นความมืดสลัวของห้อง ยังนึกสงสัยว่าทำไมฮั่วฉินเยี่ยนถึงยังไม่กลับมา ขณะที่กำลังจะโทรไปถามเขานั้น พอเปิดไฟกลับพบว่าฮั่วฉินเยี่ยนกำลังนั่งอยู่บนโซฟา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ 

 

 

“อาเยี่ยน คุณกลับมาแล้ว แต่ทำไมไม่เปิดไฟล่ะ ฉันก็นึกว่าในบ้านไม่มีคนเสียอีก คุณทำฉันตกใจจริงๆ นะ” อยู่ๆ เวินหลานฉีก็เห็นว่าบนโซฟามีคนนั่งอยู่ จึงตกใจพูดด้วยสีหน้าที่ยังคงลุกลี้ลุกลนอยู่บ้าง 

 

 

“ฉีฉี ผมอยากคุยกับคุณ” น้ำเสียงของฮั่วฉินเยี่ยนเย็นเยียบอย่างกับไม่มีอุณหภูมิแม้แต่น้อย ทว่ายังเจือด้วยน้ำเสียงขอร้องอยู่บ้าง 

 

 

“อืมได้สิ คุยอะไรเหรอ” เวินหลานฉีพูดไปพลาง ก็ถอดเสื้อคลุมไปพลาง แล้วเดินเข้ามานั่งลงข้างฮั่วฉินเยี่ยน มองเขานิ่ง 

 

 

“ฉีฉี คุณไม่คิดว่าช่วงนี้อยู่เป็นเพื่อนจิ่งหลานมากไปเลยเหรอ” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดจี้ใจดำเธอ เขาคนนี้เป็นคนไม่ชอบพูดอ้อมค้อม ปิดบังความคิดแท้จริงภายในใจของตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร 

 

 

“นี่…ก็เหมือนจะไม่ได้เยอะไปหรอกมั้ง” เวินหลานฉีไม่เข้าใจนัก ว่าฮั่วฉินเยี่ยนหมายความว่าอะไร 

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนถอนหายใจ “ฉีฉี คุณตื่นเช้ามาต้มโจ๊กเสร็จแล้วก็ไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลทุกวัน พอเลิกงานช่วงบ่ายคุณก็วิ่งไปอยู่เป็นเพื่อนเขาที่โรงพยาบาลจนดึกดื่น รอคุณกลับมาก็เกือบถึงเวลานอนแล้ว คุณไม่มีเวลาอยู่กับผมเลยนะ…” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดอย่างช้าๆ ด้วยน้ำเสียงตำหนิเล็กน้อย หากแต่ยังมีโทสะปนอยู่บ้าง 

 

 

คราวนี้เวินหลานฉีเข้าใจแล้ว ที่แท้ฮั่วฉินเยี่ยนก็หึงเองสินะ คิดว่าเธอดูแลจิ่งหลานมากเกินไปจนไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนเขานั่นเอง… 

 

 

ในใจเวินหลานฉีจนปัญญาอยู่บ้าง ทว่ายังคงถือโอกาสขยับเข้าไปใกล้ฮั่วฉินเยี่ยนอีกนิด เธอดึงแขนของฮั่วฉินเยี่ยนไว้เบาๆ แล้วเอนซบลงไปบนไหล่กว้างของเขา 

 

 

“อาเยี่ยน ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยู่กับคุณ…คุณก็รู้ว่าเพราะจิ่งหลานช่วยฉัน เลยบาดเจ็บหนักขนาดนี้ ฉันก็เลยต้องดูแลเขาอย่างเต็มที่แบบนี้ไงล่ะ…อีกอย่างหลังจากฉันกลับมาก็อยู่กับคุณทุกวันไม่ใช่เหรอไง” เวินหลานฉีแสร้งทำน้ำเสียงออดอ้อน และเอ่ยอธิบายกับฮั่วฉินเยี่ยน 

 

 

“ดูแล? แต่ผมรู้สึกว่าคุณดูแลเขาแบบนี้ มันก็เกินไปหน่อยไหม เขาไม่มีมือหรือไง กินแอปเปิลยังต้องให้คุณป้อนอีกเหรอ” พอคิดว่าทำไมเวินหลานฉีไม่เคยปฏิบัติต่อตนแบบนี้มาก่อน ไหน้ำส้มสายชู [1] ในใจของฮั่วฉินเยี่ยนก็เหมือนจะคว่ำ โดยเลือกคำพูดไม่ถูกเลย 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ในภาษาจีน คำว่าชู่ (醋) แปลว่าน้ำส้มสายชู แต่สามารถใช้เป็นคำสแลง แปลว่า ‘หึง’ ได้ ดังนั้น ‘ไหน้ำส้มสายชู’ จึงแปลว่า คนขี้หึง