น้ำเสียงของหรงเซียวเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยและอ้างว้าง 

 

 

เฉียวซือมู่รู้สึกเศร้าใจ เธอได้ยินความในใจของเฝิงเจ๋อระหว่างที่เธอตกอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นเพราะฤทธิ์ยา ในใจของเขาไม่เคยมีหรงเซียวเลยแม้แต่น้อย เพราะตั้งแต่ต้นจนจบเขาพูดถึงแต่ความรู้สึกที่เขามีต่อเธอคนเดียวเท่านั้น 

 

 

สิ่งที่เธอได้รับรู้ทำให้เธอพูดไม่ออกแม้แต่คำปลอบใจ เธอได้แต่ถอนหายใจหนักๆ แล้วเอ่ยขึ้นใหม่ “เธอก็ปล่อยวางเสียบ้าง ในโลกนี้ยังมีผู้ชายดีๆ อีกเยอะแยะ” 

 

 

หรงเซียวน่าจะคิดได้แล้ว เพราะดูท่าทางเธอไม่ได้เสียใจมาก พอได้ยินคำพูดของเฉียวซือมู่แล้วยังมีใจหยอกเธออีกต่างหาก “เหมือนคุณจิ้นใช่ไหมคะ?” 

 

 

เฉียวซือมู่หน้าแดงซ่านแต่ในใจกลับภูมิใจมาก จิ้นหยวนดีกับเธอมากจริงๆ เธอจึงเชิดหน้าขึ้นด้วยความภูมิใจ “มันก็แน่อยู่แล้ว” 

 

 

พอจิ้นหยวนรู้ว่าต้องออกไปตามหาเฝิงเจ๋อก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก แต่เขารู้ว่าเรื่องนี้สำคัญมากจึงรีบออกคำสั่งให้ลูกน้องออกตามหาเฝิงเจ๋อทันที จากนั้นจึงเห็นเฉียวซือมู่ค่อยๆ เดินมาหาเขาอย่างช้าๆ 

 

 

เขาเปิดประตูรถแล้ววางคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คไว้อีกฝั่ง เขามองเธอพลางเอ่ยถาม “พวกคุณคุยอะไรกันเหรอ?” 

 

 

เธอมองเขาแวบหนึ่งเพราะรู้สึกขำความขี้ระแวงเล็กๆ น้อยๆ ของเขา “คุณรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ?” 

 

 

“เรื่องของเฝิงเจ๋อ?” เขามุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย “ถ้ารู้ว่าเขาจะก่อเรื่องได้ขนาดนี้ ผมน่าจะ…” 

 

 

เฉียวซือมู่เลิกคิ้วขึ้นมองเขาแล้วเอ่ยถาม “น่าจะอะไรคะ?” 

 

 

เขาหลุดปาก พลันดวงตาฉายแววจนมุมขึ้นแวบหนึ่ง 

 

 

เธอจ้องเขาตาเขม็ง “อยู่ดีๆ เฝิงเจ๋อก็ลาออก เป็นเพราะฝีมือคุณใช่ไหม?” 

 

 

พอรู้ตัวว่าหลุดปากเผยแผนการของตัวเองออกไปแล้วเขากลับไม่รู้สึกหงุดหงิดสักนิด ตรงกันข้าม เขากลับยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน “ผมบังคับให้เขาลาออกเอง แล้วจะทำไม?” 

 

 

“นี่คุณ! นี่มันชักจะมากเกินไปแล้วนะ!” เธอโมโหจนหน้าขาวเผือด 

 

 

เธอรู้สึกว่าการลาออกของเฝิงเจ๋อมันทะแม่งๆ ตั้งแต่แรกแล้วเพราะไม่มีสัญญาณอะไรบ่งบอกเลยสักนิด แต่ภายหลังเธอเห็นว่าเขาได้งานใหม่ที่ดีกว่าเดิมจึงเลิกตื๊ออีก เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราย่อมเลือกเส้นทางที่สูงขึ้น แต่เธอไม่คิดเลยว่าจิ้นหยวนจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ มันทำให้เธอโมโหจนตัวสั่น 

 

 

จิ้นหยวนมองดูท่าทางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟของเธอแล้วรู้สึกว่าคลื่นแห่งความไม่พอใจถาโถมขึ้นมาจุกอยู่ในอก “สงสารเหรอ?” 

 

 

“เปล่าซะหน่อย คุณมัน… ไอ้ตัวร้าย!” เธอได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีมาตั้งแต่เล็กจนโตจึงไม่ค่อยได้เอ่ยปากด่าใครสักเท่าไหร่ เวลานี้เธอต้องนึกอยู่ตั้งนานกว่าจะนึกคำด่าออกมาได้ “คุณบีบให้เขาลาออกได้ยังไงกัน?” 

 

 

“บีบอะไรกัน?” เขายิ้มเย็น “ผมแค่เสนอทางเลือกให้เขาก็เท่านั้นเอง ทางแรกคือลาออกดีๆ แล้วผมจะเสนองานดีๆ ให้เขา อีกทางคือถูกผมไล่ออกแล้วจบลงในคุก เขาเป็นคนเลือกเส้นทางนั้นเอง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมด้วย” 

 

 

“คุณมันไร้เหตุผลที่สุด” เธอคิดอยู่ตั้งนานกว่าจะหลุดคำด่าออกมาได้ 

 

 

จิ้นหยวนมองเธอนิ่งๆ “ถ้าไม่ใช่เพราะเขาออกหน้าช่วยคุณเอาไว้หลายครั้งแล้วล่ะก็ คุณคิดว่าผมจะปล่อยให้เขาลาออกง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ? ก็ผมไม่อยากให้ผู้ชายคนอื่นมองคุณทุกวัน แล้วจะทำไม?” 

 

 

เขาเอ่ยอย่างเต็มปากเต็มคำ พูดได้อย่างสมเหตุสมผล เธอตะลึงนิ่งอึ้งจนนึกคำพูดไม่ออก 

 

 

เขามองหน้าตาเหลอหลาที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักของเธอแล้วยื่นมือแตะหน้าเธอเบาๆ “ถ้าคุณเป็นเด็กดี ไม่ทำตัวเป็นดอกไม้ล่อแมลง ผมก็จะรักคุณตลอดไป” 

 

 

“ล่อแมลงอะไร ฉันไม่ได้เต็มใจซะหน่อย” ในที่สุดเธอก็ควานหาเสียงของตัวเองจนเจอและเปล่งมันออกมาจนได้ เธอยกมือขึ้นคว้ามือเขาหมับ 

 

 

จิ้นหยวนเห็นท่าทางของเธอแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ผมดีกับเขามากแล้วนะ เงื่อนไขเดียวที่ผมต้องการจากเขาคือให้ไม่ให้เขาพบคุณอีก แต่ดูเหมือนว่าแค่เงื่อนไขข้อเดียวเขายังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ” 

 

 

เธอฟังคำพูดแฝงความนัยของเขาแล้วรู้สึกร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย “แล้วคุณคิดจะทำอะไร?” 

 

 

จิ้นหยวนเอ่ย “นี่เป็นเรื่องระหว่างผมกับเขา คุณไม่ต้องยุ่ง” ไม่ว่าสุดท้ายแล้วเฝิงเจ๋อจะตัดสินใจปล่อยผู้หญิงของเขาหรือไม่ แต่เรื่องที่เขาพยายามทำให้เธอเสียหาย เขาจะไม่มีวันปล่อยเขาไปเด็ดขาด 

 

 

เฉียวซือมู่ร้อนรน “แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ทำอะไรฉันนี่ คุณอย่าทำอะไรเขาเลยนะ” 

 

 

ดวงตาของเขาวาววับ “ได้ ผมจะไม่ทำอะไรเขา” 

 

 

“คุณพูดจริงนะ?” เธอเอ่ยถามเสียงสูงอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก คิดๆ แล้วเอ่ยขึ้นใหม่ “ถ้าอย่างนั้นคุณต้องรับปากฉันก่อน นอกจากคุณแล้วลูกน้องของคุณก็ห้ามทำอะไรเขาด้วย” ถือเสียว่าเธอทำเพื่อเขาเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน 

 

 

จิ้นหยวนตกปากรับคำอย่างไม่ลังเลสักนิด “ได้ ผมรับปากคุณ” 

 

 

เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่พอได้ยินประโยคถัดไปของเขา หัวใจของเธอก็บีบรัดรุนแรงอีกครั้ง “ถ้างั้นตอนนี้ก็ได้เวลาคิดบัญชีของเราแล้ว” 

 

 

“คิด… คิดบัญชีอะไร?” เธอกินปูนร้อนท้องจนพูดตะกุกตะกัก 

 

 

เขากวาดสายตามองเธอแวบหนึ่ง “แล้วคุณคิดว่าเรื่องอะไรล่ะ?” 

 

 

นี่เขาจะคิดบัญชีย้อนหลังสินะ หัวใจของเธอกระตุกอย่างแรง ลังเลเล็กน้อยว่าควรจะพูดหวานๆ กับเขาดีหรือไม่ เผื่อเขาจะลืมเรื่องที่เธอแอบหนีออกไปข้างนอกจนเกิดเรื่องอันตรายขึ้น 

 

 

จิ้นหยวนหมดความอดทน ประกายอันตรายปรากฏชัดในดวงตาของเขาที่กำลังจ้องมองเธอ เธอก้มหน้างุดไม่กล้าสู้สายตาเขาเพราะทำความผิดเอาไว้ เขาจึงใช้นิ้วมือเชยคางของเธอให้เงยหน้าขึ้นสบตาเขาแล้วเอ่ยเสียงขรึม “ทำไมต้องแอบหนีออกไปด้วย? แล้วยังจะพูดโกหกอีก” 

 

 

เธอต้องสบตาเขาอย่างจำยอมพลางเอ่ยอย่างจำใจ “เพราะฉันถูกขังอยู่แต่ในบ้านจนเบื่อนะสิ ฉันก็เลยอยากจะออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง” 

 

 

“ยัยโง่เอ๊ย!” เขาคิดไม่ถึงเลยว่าทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะเหตุผลง่ายๆ แค่นี้ มันทำให้เขาโมโหจนเส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนจนดูน่ากลัวมาก “คุณโกหกเพราะเรื่องเพียงแค่นี้อย่างนั้นเหรอ? ถ้าคุณเบื่อทำไมคุณไม่บอกผม?” 

 

 

เฉียวซือมู่เห็นท่าทางของเขาแล้วรู้สึกลนลานจนเอ่ยออกมาเสียงดัง “คุณจะให้ฉันบอกคุณว่ายังไง? บอกคุณว่าฉันอยากออกไปข้างนอก แล้วถ้าเกิดคุณบอกว่าข้างนอกมันอันตรายล่ะ?” 

 

 

“แล้วทำไมคุณไม่ยอมให้ผมไปเป็นเพื่อนคุณล่ะ?” จิ้นหยวนกัดฟันกรอด 

 

 

เธอชะงักนิ่งอึ้ง จริงสิ ทำไมเธอถึงไม่ให้เขาไปงานเลี้ยงประจำปีเป็นเพื่อนเธอล่ะ? หรือเป็นเพราะว่าที่ผ่านมาเธอไปงานนี้คนเดียวมาตลอด พอมาปีนี้เธอจึงลืมจิ้นหยวนไปโดยปริยายอย่างนั้นหรือ? 

 

 

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด ในขณะที่เขายังคงจ้องเธอตาไม่กะพริบเธอกลับส่งยิ้มแหยๆ ให้เขาแทน “ฉันลืมไปน่ะ” 

 

 

สีหน้าของเขาเครียดขึ้ง “คุณไม่เคยแคร์ผมเลย” 

 

 

เธอร้อนรนใจมาก มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ เธอไม่ได้คิดอย่างนั้น 

 

 

“ไม่ใช่นะ ฉันแค่คิดไม่ถึงก็เท่านั้นเอง ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นเลยจริงๆ คุณต้องเชื่อฉันนะคะ” เธอรีบอธิบายอย่างร้อนรน จิ้นหยวนมองเธออย่างเย็นชาโดยไม่ตอบใดๆ 

 

 

เฉียวซือมู่รู้ตัวว่าคำพูดของตัวเองไม่มีน้ำหนักพอ เมื่อเห็นว่าเขากำลังโมโหสุดขีดเธอจึงไม่กล้าปริปากอีก ได้แต่ขดตัวงออยู่ตรงมุมเบาะที่นั่ง 

 

 

บรรยากาศในรถเย็นยะเยือกขึ้นมาในฉับพลัน 

 

 

คนขับรถขับรถมาจอดลงตรงหน้าประตูคฤหาสน์หลังงาม เขากำลังแปลกใจว่าทำไมที่นั่งตอนหลังถึงได้เงียบนัก ทันใดนั้นเขาเห็นประตูรถเปิดออก จากนั้นคุณเฉียวเดินลงจากรถก่อนแล้วคุณชายจิ้นค่อยเดินลงจากรถตามหลัง 

 

 

คนหนึ่งเดินนำหน้า ส่วนอีกคนหนึ่งเดินตามหลัง แต่มันเป็นภาพที่ดูแปลกมากในสายตาของเขา ก่อนหน้านี้ทั้งสองยังดูรักกันดี แต่ทำไมตอนนี้ถึงดูห่างเหินกันแบบนี้ล่ะ? 

 

 

หรือว่าทั้งสองคนทะเลาะกันในรถ?