ตอนที่ 182 กินอาหารเช้าด้วยกัน / ตอนที่ 183 ตัดสินใจแล้วว่าจะสู้ตายให้ถึงที่สุด

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 182 กินอาหารเช้าด้วยกัน 

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งวางของทั้งหมดใส่เข้าที่เรียบร้อย ก็เอ่ยถามมั่วไป๋ “ตอนเช้าอยากกินอะไร” 

 

 

           มั่วไป๋ครุ่นคิดสักพัก “เกี๊ยวน้ำ” 

 

 

           เมื่อก่อนตอนที่เขาอยู่กับไป๋จิ่ง ไป๋จิ่งเคยพูดถึง เพียงแต่ตอนนั้นเขายังไม่มีค่าพอจะได้ชิมเกี๊ยวน้ำฝีมือของไป๋จิ่ง 

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินคำว่า ‘เกี๊ยวน้ำ’ สองคำนี้ ก็ชะงักไปสักพัก “กินอย่างอื่นได้หรือเปล่า” 

 

 

           แววตามั่วไป๋หม่นมัวลง “งั้นก็แล้วแต่นายเถอะ” กินอะไรสำหรับเขาก็เหมือนกันหมด 

 

 

           เพียงแต่ว่าคิดๆ ดูแล้วก็ช่างน่าขันทีเดียว ตัวเองในตอนนั้นไม่มีค่าพอ ตัวเองในตอนนี้ก็ยังไม่มีค่าพอเหมือนเดิม 

 

 

           เขาพูดจบประโยคนี้ก็หมุนตัวเดินออกจากห้องครัวไป ไป๋จิ่งเห็นท่าทางนิ่งๆ ของมั่วไป๋ ทั้งที่สีหน้าท่าทางเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่ไป๋จิ่งยังคงรู้สึกได้ ว่าดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยมีความสุข 

 

 

           ไป๋จิ่งถอนหายใจ หยิบขนมปังมาทำแซนด์วิช พร้อมทอดไข่ดาว อุ่นนมเสร็จถึงได้ตะโกนเรียกมั่วไป๋ “มากินข้าวเถอะ” 

 

 

           มั่วไป๋เดินออกมาจากห้องนอน ยังคงอยู่ในชุดนอนเดิม คอเสื้อแหวกกว้าง เผยให้เห็นผิวกายขาวผ่อง 

 

 

           โดยเฉพาะตอนที่เขานั่งลง เสื้อไหล่ตกพอดี เผยให้เห็นไหล่นวลเนียน บวกกับท่าทางกรีดกรายเฉพาะตัวของเขา ไป๋จิ่งเห็นแบบนี้ก็แทบจะอยากโผตัวเข้าใส่แล้วจับกดสักที 

 

 

           ‘แน่นอน นี่เป็นแค่ความคิด ไม่กล้าลงมือทำจริงๆ หรอก’ 

 

 

           ไป๋จิ่งวางจานลงต่อหน้ามั่วไป๋ แล้วเอ่ยอย่างยิ้มๆ “มาลองชิมดู ผมไม่ได้ทำอาหารนานมากแล้ว ไม่รู้ว่าฝีมือทำอาหารจะคืนครูหรือเปล่า” 

 

 

           มั่วไป๋มองดูจานตรงหน้า อารมณ์ซับซ้อนอยู่ในที เขาเผยอปากขึ้นเอ่ยอย่างเผลอตัว “คิดไม่ถึงว่านายจะทำกับข้าวเป็นด้วย ดูไม่ค่อยเหมือนเลย” 

 

 

           “เมื่อก่อนตอนที่ไปเรียนเมืองนอก รู้สึกว่าอาหารฟาสต์ฟูดที่นั่นไม่ค่อยอร่อย กินยากเกินไป ก็เลยฝึกทำกินเอง” 

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขาตัดแบ่งแซนด์วิช จนเอาเข้าปากไป ก็อดจะจ้องมองอีกฝ่านไม่ได้ “เป็นยังไงบ้าง อร่อยไหม” 

 

 

           มั่วไป๋เคี้ยวแซนด์วิชอยู่ ก็พยักหน้ารับ “อร่อย” 

 

 

           ได้ยินคำพูดของมั่วไป๋ ไป๋จิ่งอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ ยังดีที่ไม่ได้เสียหน้าต่อหน้ามั่วไป๋ 

 

 

           หลังจากกินเสร็จเรียบร้อย เดิมทีไป๋จิ่งอยากนัดมั่วไป๋ออกไปข้างนอกด้วยกัน แต่มั่วไป๋บอกว่ามีธุระต้องจัดการนิดหน่อย ให้ไป๋จิ่งกลับไปก่อน 

 

 

           ถึงอย่างไรเพิ่งจะเริ่มจีบกัน ถ้ารุกอีกฝ่ายชัดเจนมากเกินไปก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้ไป๋จิ่งจึงทำได้เพียงกลับไปเสียโดยดี 

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งออกไป มั่วไป๋ก็กลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า บริษัทที่ช่วยเรื่องวาดภาพเมื่อก่อนตอนที่อยู่อเมริกา รู้ว่าเขากลับประเทศมาแล้ว จึงให้เขาเข้าไปหาสักหน่อย เพื่อพูดคุยเรื่องการทำงานร่วมกัน 

 

 

           เดิมทีมั่วไป๋ไม่คิดจะรับปาก แต่ตอนนี้มาคิดดู รู้สึกว่าจะรับปากไปก็ไม่ดีข้อเสียอะไร ถึงแม้ว่าหลายปีมานี้เขาจะไม่ได้ขาดเงินใช้จริงๆ แต่จะมาหมกตัวอยู่แต่ที่บ้านอย่างเดียว ไม่ทำอะไรสักอย่างก็ไม่ได้ 

 

 

           อีกอย่างเขาจำเป็นต้องใช้เรื่องอื่นมาเบี่ยงเบนความรู้สึกของเขา 

 

 

           ถ้าไม่อย่างนั้น เวลาได้ใกล้ชิดไป่จิ๋ง อารมณ์พังๆ ของเขาจะปรากฏออกมาได้ง่ายๆ 

 

 

           …… 

 

 

           กลับไปนอนต่ออีกรอบ ก็หลับไปถึงบ่ายสองโมงครึ่ง ซือเหยี่ยนไปบริษัทก่อนหน้านั้นแล้ว เมื่อคิดว่าเจียงมู่เฉินยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืนก็ไม่ได้เรียก แค่จูบเขาแล้วก็ออกไป 

 

 

           เจียงมู่เฉินลงมาชั้นล่าง คุณแม่เจียงอาบแสงแดดอยู่ในสวนดอกไม้ เจียงมู่เฉินเห็นห้องรับแขกไม่มีใครสักคน จึงเปลี่ยนทางไปมุ่งตรงไปยังสวนดอกไม้ พอเห็นคุณแม่เจียงนอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้พับ ก็เดินเข้าไปหา 

 

 

           “แม่ครับ แม่มาทำอะไรอยู่ที่นี่ อาบแดดเหรอครับ” เจียงมู่เฉินทิ้งตัวลงเอนกายไปกับเก้าอี้พับที่อยู่ข้างๆ หรี่ตาลงเล็กน้อย สบายจริงๆ สบายจนอย่าบอกใคร 

 

 

           คุณแม่เจียงมองเขาแวบหนึ่ง “เป็นยังไงบ้าง หลับสบายดีไหม” 

 

 

           “ค่อยยังชั่วครับ เพียงแต่ว่าทำไมวันนี้แม่ไม่เรียกผมกินข้าวเลยล่ะ” ปกติถึงตอนเที่ยงต้องเรียกเขากินข้าวแล้ว 

 

 

           คุณแม่เจียงหรี่ตาลงเล็กน้อย “เป็นเพราะเสี่ยวเหยี่ยนเด็กคนนั้นเอาใจใส่ลูก บอกแม่ว่าเมื่อคืนลูกนอนไม่หลับ เพิ่งจะได้นอนตอนเช้า ให้แม่อย่าไปเรียกปลุกลูก ให้ลูกนอนพักต่อสักหน่อยดีกว่า”   

 

 

        

 

 

ตอนที่ 183 ตัดสินใจแล้วว่าจะสู้ตายให้ถึงที่สุด 

 

 

           พอคิดถึงตรงนี้ คุณแม่เจียงก็ถอนหายใจเล็กน้อย “ลูกว่าไหม ถ้าเสี่ยวเหยี่ยนเป็นผู้หญิง คงจะดีมากทีเดียว แบบนี้ลูกแต่งเขาเข้าบ้านเราเป็นลูกสะใภ้แม่ได้ หน้าตาดี ยังกตัญญูมีความสามารถ เปิดไฟก็หาแบบนี้ไม่เจอนะลูก” 

 

 

           เจียงมู่เฉินพูดทำนองล้อเล่น “อะไรกัน นี่แม่หมายความว่าเป็นผู้ชายก็ไม่ได้แล้วเหรอครับ” 

 

 

           คุณแม่เจียงถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “เป็นผู้ชายจะได้ยังไงกัน แม่ยังหวังให้ลูกรีบแต่งงาน มีหลานให้แม่อุ้มสักที” 

 

 

           “อยากได้หลานขนาดนี้เชียวเหรอแม่” 

 

 

           “แม่เฝ้าคอยมาหลายปีแล้ว แต่ลูกล่ะ เมื่อไหร่จะให้แม่กลับมาสักที” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูสีหน้าท่าทางแบบนั้นของแม่เขาแล้ว ก็ถอนหายใจอยู่ในใจอย่างจนใจ เห็นแม่เขามีทีท่าแบบนี้ คงไม่ต่างกับพ่อแม่ของซือเหยี่ยนเท่าไหร่ ดูท่าว่าจะเสียใจแล้ว  

 

 

           คุณแม่เจียงพูดถึงเรื่องนี้ จู่ๆ ก็นึกอยากจะคว้าตัวเจียงมู่เฉินมาพูดอะไรด้วยต่อ เจียงมู่เฉินเห็นเข้าก็รีบเอ่ยตัดบททันที “แม่ครับ มีอะไรกินไหม ผมหิวจะตายอยู่แล้ว” 

 

 

           พอคุณแม่เจียงได้ยินว่าลูกชายสุดที่รักบอกว่าหิวแล้ว ก็รีบลุกขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น “ลูกรอก่อนนะ แม่จะไปอุ่นอาหารให้” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองตามแผ่นหลังของคุณแม่เจียงที่ห่างไกลออกไป เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย ต่อให้ยึดเมืองยากแค่ไหนก็ต้องยึดให้ได้ อย่างมากก็แค่กลายเป็นต้องรบในสงครามที่ยืดเยื้อเท่านั้นเอง 

 

 

           ถึงอย่างไรเขาก็พร้อมจะรออย่างอดทน ใครใช้ให้เขาไปชอบซือเหยี่ยนเจ้าคนระยำหน้าไม่อายนั่นเข้าให้ล่ะ 

 

 

           อีกอย่างคุณชายเจียงอย่างเขาเคยจะกลัวเมื่อไหร่กัน ต่อให้ยากแค่ไหนก็ต้องเดินไปข้างหน้า เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะเดินผ่านไปไม่ได้ 

 

 

           ความมั่นใจในตัวเองข้อนี้ เขายังมีอยู่พอตัว 

 

 

           เจียงมู่เฉินพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม หยิบมือถือออกมาส่งข้อความหาซือเหยี่ยน เขาพิมพ์ลงไปอย่างเน้นหนักและตั้งใจ ก่อนจะทำใจใหญ่ส่งออกไป 

 

 

           [ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะสู้ตายให้ถึงที่สุด ถ้านายหนีไปกลางคัน ทิ้งฉันไว้กลางทาง ฉันรับรองว่าจะฆ่านายทิ้งซะ!] 

 

 

           ซือเหยี่ยนที่กำลังประชุมงานอยู่ในห้องประชุม อ่านข้อความของเจียงมู่เฉินแล้ว ก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เขาพิมพ์ตอบกลับไป  

 

 

[ได้ ผมจะยืนหยัดไม่ถอยทัพแน่นอน] 

 

 

           เจียงมู่เฉินอ่านข้อความที่ซือเหยี่ยนส่งกลับมา ก็พยักหน้ารับอย่างพอใจ 

 

 

           มาขึ้นเรือบาปลำนี้ของคุณชายแล้ว ไม่มีทางจะลงจากเรือลำนี้ไปได้ ถึงอย่างไรเขาก็มีเวลาพอที่จะผูกมัดซือเหยี่ยนให้อยู่บนเรือลำนี้กับเขาตลอดชีวิต 

 

 

           ถึงเวลานั้นต่อให้มีแฟนเก่าผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นมาแย่งชิง เขาก็ไม่มีทางจะยอมให้ง่ายๆ 

 

 

           ‘แฟนเก่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็เป็นได้แค่เส้นขนเท่านั้นแหละ เขาเจียงมู่เฉินก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน โอเคไหม’ 

 

 

           ‘ไม่ถอย ยังไงก็ไม่ถอยให้หรอก’ 

 

 

           …… 

 

 

           กินข้าวเสร็จ เจียงมู่เฉินถือโอกาสตอนที่ฟ้ายังไม่ค่ำลงมากนัก ตัดสินใจไปดูซังจิ่ง ถึงอย่างไรคราวก่อนเขาก็ช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้ ตามหลักมนุษยธรรมแล้ว ก็ต้องไปเยี่ยมเยือนบ้าง 

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินขับรถออกมาแล้ว ถึงได้รู้ว่าตัวเองไม่รู้ว่าซังจิ่งพักอยู่ที่ไหน เขาหยิบมือถือขึ้นมา กดโทรหาซังจิ่ง เตรียมจะถามเอาที่อยู่กับเขา 

 

 

           “นายอยู่ที่ไหน ฉันจะไปหานายตอนนี้” 

 

 

           ซังจิ่งได้ยิน ก็รีบเอ่ย “ตอนนี้ผมทำธุระอยู่ข้างนอก ไม่งั้นคุณมาหาผม แล้วคืนนี้กินข้าวด้วยกัน?” 

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดไปคิดมาก็ได้อยู่ ไปร้านอาหารก็ดีกว่าไปบ้านเขา เมื่อคิดถึงว่าตัวเองไปอยู่กันสองต่อสองกับเขาในบ้านเขา หัวเจียงมู่เฉินชักจะเริ่มชาๆ 

 

 

           คิดได้แบบนี้ เขาตกลงทันที “ส่งที่อยู่มาให้ฉัน ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” 

 

 

           ไป๋จิ่งรีบส่งที่อยู่ให้เขา เจียงมู่เฉินขับรถมุ่งตรงไปยังสถานที่ที่ซังจิ่งปักหมุดไว้ เมื่อเขาไปถึงซังจิ่งกำลังถูกสัมภาษณ์อยู่ในห้องประชุมชั้นสอง 

 

 

           เจียงมู่เฉินยืนอยู่หน้าประตูมองดูแวบหนึ่ง แล้วหมุนตัวไปอยู่ด้านข้าง สถานการณ์ตอนนี้เขาไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยจะดีกว่า 

 

 

           ไม่อย่างนั้นถึงเวลาก็ไม่รู้แล้วว่าบนหน้าหนังสือพิมพ์จะเขียนอย่างไรบ้าง 

 

 

           เจียงมู่เฉินอยู่ชั้นสามสั่งกาแฟมาแก้วหนึ่ง รอซังจิ่งไปด้วย ชมวิวไปด้วย จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าถานโจวมีร้านอาหารลอยฟ้าชื่อดังอยู่ร้านหนึ่ง เหมือนว่าจะอยู่แถวๆ นี้ด้วย 

 

 

           ถ้าได้มากับซือเหยี่ยนก็คงจะไม่เลวทีเดียว ถึงพวกเขาสองคนจะไม่ได้เน้นหนักเรื่องความโรแมนติกอะไร แต่ว่าบางทีเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีไม่เบา 

 

 

           มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นขึ้นมากะทันหัน เจียงมู่เฉินหยิบขึ้นมาดู ก็เห็นเป็นสายของซือเหยี่ยนโทรเข้ามา 

 

 

           เขากดรับสาย “มีอะไร” 

 

 

           เสียงทุ้มต่ำจากปลายสายของซือเหยี่ยนเอ่ยขึ้น “ขอโทษด้วย คืนนี้ผมมีธุระ กลับไปกับคุณไม่ได้แล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “ธุระอะไร” 

 

 

           “ขอโทษด้วย ตอนนี้ไม่สะดวกพูด เดี๋ยวกลับไป ผมจะบอกอีกทีนะ” 

 

 

           พูดจบซือเหยี่ยนก็วางสายไป เจียงมู่เฉินมองดูมือถือแล้วก็อดจะเลิกคิ้วไม่ได้ ธุระอะไรต้องมาทำตอนกลางคืน ยังไม่สะดวกจะบอกเขาอีก