ตอนที่ 180 จะกลายเป็นผู้หญิงแล้ว / ตอนที่ 181 เป็นฝ่ายมาถึงที่

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 180 จะกลายเป็นผู้หญิงแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ตั้งแต่นิ่งอึ้งไปจนตื่นตระหนก แล้วมาหวาดกลัว ไม่พูดไม่จาสักคำอยู่อย่างนี้

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทีตอบสนองเขาแบบนี้ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยปกติเท่าไหร่

 

 

           เขาคำนวณได้ปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ของเจียงมู่เฉินได้อย่างแม่นยำ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกหวาดกลัวได้ เขาอดจะกุมมือเจียงมู่เฉินไว้แน่นๆ ไม่ได้

 

 

           “เฉินเฉิน คุณเป็นไรไป”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนอย่างไปต่อไม่เป็น “จบกันๆ ฉันจะกลายเป็นผู้หญิงแล้ว”

 

 

           เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นเต็มหัวซือเหยี่ยน

 

 

           พวกเขารู้จักกันมาตั้งนาน จะไม่รู้โครงสร้างร่างกายเจียงมู่เฉินได้อย่างไร ตั้งแต่หัวจรดเท้า จากข้างในมาข้างนอก เขาคือผู้ชายตัวจริง

 

 

           ถ้าเจียงมู่เฉินกลายเป็นผู้หญิงจริงๆ เกรงว่าโลกจะถล่ม เป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น

 

 

           “จริงๆ ฉันกลายเป็นผู้หญิงไปแล้วใช่ไหม” เจียงมู่เฉินตกใจจนจะฉี่ราดจริงๆ แล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนยื่นมือไปลูบสักหน่อย “ไม่นะ ก็ยังอยู่ไม่ใช่เหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินหน้าชา ปัดมือซุกซนของเขาทิ้ง “นายมันน่าไม่อาย เอามือไปวางตรงไหนกัน”

 

 

           ซือเหยี่ยนทำไขสือ “คุณบอกว่าคุณกลายเป็นผู้หญิงแล้วไม่ใช่เหรอ ผมก็เลยลองลูบดูว่ายังอยู่ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกขัดใจ โกรธจนไม่โต้แย้งเขาแล้ว

 

 

           “ฉันหมายถึงใจ หัวใจ นายเข้าใจไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนส่ายหัวอย่างจริงจัง “บอกตามตรง ยังไม่ค่อยเข้าใจจริงๆ”

 

 

           “ไสหัวไปซะ ไม่อยากจะคุยกับนายแล้ว” เจียงมู่เฉินยกเท้าถีบเข้าให้ทีหนึ่ง นอนห่อตัวซุกตัวในผ้าห่มหดหู่ใจ

 

 

           ซือเหยี่ยนงงค้าง มองดูเจียงมู่เฉินที่ห่อพันตัวเองราวกับรังไหม แล้วยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้เท่าไหร่ เรื่องมันดำเนินมาไม่ค่อยจะถูกทิศถูกทางหรือเปล่า

 

 

           ตามแผนที่เขาวางไว้ ตอนนี้ควรจะได้ฉลองบทรักกันอย่างมีความสุขแล้วไม่ใช่เหรอ

 

 

           ‘ทำไมเจียงมู่เฉินถึงได้ห่อตัวเองใต้ผ้าห่ม แล้วนอนไปเลย’

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มลงมองน้องชายตัวเอง แล้วมองเจียงมู่เฉิน…ไปต่อไม่ค่อยถูก…

 

 

           “คือว่า เฉินเฉิน…ไม่ออกกำลังกายก่อนนอนสักหน่อยเหรอ” ซือเหยี่ยนตัดสินใจสู้เพื่อน้องชายตัวเองสักหน่อย

 

 

           เจียงมู่เฉินผู้ม้วนตัวใต้ผ้าห่ม ด่ายกใหญ่ “ออกกำลังกายกับน้องสาวนายสิ จะนอน!”

 

 

           ซือเหยี่ยนผู้โดนตวาดใส่ ถอนหายใจอย่างเงียบๆ

 

 

           ดีที่เขาไม่มีน้องสาว ไม่อย่างนั้นน้องสาวต้องมาเอาชีวิตเขาแน่

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่คิดจะโปรดปรานเขาแล้ว ทำได้เพียงน้อยใจกันสองคนพี่น้อง ซือเหยี่ยนนอนหงายลงบนเตียง พูดคุยเรื่องความรู้สึกกับน้องชายของตัวเองแบบเงียบๆ ให้เขาไม่ดื้อ สงบลงแล้วนอนหลับแต่โดยดี

 

 

           ซือเหยี่ยนรู้สึกว่า…เป็นตัวเขานี่ยากลำบากเอาเรื่องจริงๆ

 

 

           ……

 

 

           รุ่งสางวันต่อมา ซือเหยี่ยนโดนเจียงมู่เฉินใช้เท้าถีบปลุก ซือเหยี่ยนสับสนงุนงงมองเจียงมู่เฉินที่นั่งอยู่บนเตียงข้างๆ ไม่ค่อยจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

 

 

           เขากะพริบตาปริบๆ “นี่……เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองเขาอย่างเอาจริงเอาจัง “ฉันจะบอกนายไว้ ต่อให้ฉันกลายเป็นผู้หญิง นายก็เลิกกับฉันไม่ได้”

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ เขาดูไม่ออกจริงๆ ว่าเจียงมู่เฉินเป็นผู้หญิงตรงไหน แต่สายตาด้านข้างนี้ก็เอาแต่ถลึงตาใส่เขา ซือเหยี่ยนทำได้เพียงพยักหน้า “ได้ ไม่เลิก”

 

 

           เจียงมู่เฉินถึงได้พอใจแล้วเอนกายนอนลงไป “โอเค นอนกันเถอะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนจ้องมองเขา “เฉินเฉิน คงไม่ใช่ว่าไม่ได้นอนทั้งคืนหรอกใช่ไหม” เขาเห็นแววตาเจียงมู่เฉินใสวาว ไม่เหมือนคนที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมาสักนิด

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “ใช่สิ ฉันคิดเรื่องของฉันอยู่”

 

 

           เขาคิดมาทั้งคืน ต่อให้ความคิดตัวเองกลายเป็นผู้หญิงในจุดนี้ เขาก็ยอมรับแล้ว ถึงอย่างไรซือเหยี่ยนก็อย่าคิดจะหนีรอดจากอุ้งมือเขา

 

 

           ‘ในเมื่อขึ้นเตียงของเขาเจียงมู่เฉินแล้ว คิดจะลงไปอีก ไม่มีทาง!’

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ “คุณคิดเรื่องนี้มาทั้งคืนเลยเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้าจริงจัง “ก็ใช่น่ะสิ”

 

 

           ซือเหยี่ยนแทบจะคุกเข่าให้แล้วจริงๆ เพราะเรื่องนี้ถึงได้คิดทั้งคืน สู้มาออกกำลังกายกับเขาสักหน่อยยังจะดีกว่า

 

 

           ‘เลิกเหรอ’

 

 

           ‘ชาตินี้ตีให้ตายก็ไม่มีทางเลิกเด็ดขาด’

 

 

           “เฉินเฉิน ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ไม่อย่างนั้น…” ซือเหยี่ยนเอ่ยเสนออย่างจริงจัง

 

 

           เจียงมู่เฉินเอาหมอนตบหน้าเขา “ไม่มีไม่อย่างนั้น นอน!”

 

 

           เปลวไฟดวงน้อยๆ ที่ซือเหยี่ยนหวังไว้ถูกดับมอดอย่างไร้เยื่อใย เขาถอนหายใจอย่างจนใจ กลับไปนอนตะแคงยื่นมือไปโอบกอดเจียงมู่เฉินเอาไว้

 

 

           ‘กินไม่ได้ แล้วยังจะกอดสักหน่อยไม่ได้เหรอ’

 

 

           ความต้องการของซือเหยี่ยนคงไม่ได้รับการเติมเต็มแล้วจริงๆ

 

 

 

 

ตอนที่ 181 เป็นฝ่ายมาถึงที่

 

 

           เช้าวันต่อมา มือถือที่มั่วไป๋วางลงข้างเตียงร้องไม่หยุด อึกทึกจนเขานอนหลับดีๆ ไม่ได้ มั่วไป๋ขมวดคิ้ว เอามือออกจากใต้ผ้าห่มควานหาอยู่ด้านข้างอย่างทุลักทุเล

 

 

           กว่าคว้าเอามือถือมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ เขาไม่ดูสักนิด กดรับสายทันที จิตใต้สำนึกของมั่วไป๋บอกเขาว่าคนที่โทรมาหาเขาเช้าขนาดนี้ก็มีเพียงเจียงมู่เฉินคนเดียว

 

 

           “ฮัลโหล โทรหาฉันมีอะไรอีก เมื่อคืนยังง้อกันไม่ได้เหรอ” มั่วไป๋ย่นคิ้ว เอ่ยถาม

 

 

           “ผมเอง ไป๋จิ่ง”

 

 

           ได้ยินเสียงดังมาจากปลายสาย มั่วไป๋ชะงักงันสักพักหนึ่ง เขาลืมตาดูเวลาในมือถือ เพิ่งจะเก้าโมง ทำไมเช้าขนาดนี้ไป๋จิ่งถึงโทรหาเขาได้

 

 

           ‘เป็นบ้าหรือไง เจ้าคนนี้’

 

 

           “มีอะไรเหรอ” น้ำเสียงมั่วไป๋ดีขึ้นมานิดหนึ่ง

 

 

           “ผมมาคืนรถให้คุณ”

 

 

           “อ้อ งั้นนายก็จอดไว้ตรงนั้น แล้วไปเลยก็ได้” มั่วไป๋พูดไปส่งๆ

 

 

           เส้นเลือดบนหน้าผากไป๋จิ่งกระตุกแล้วกระตุกอีก เมื่อคืนเขาตื่นเต้นจนนอนหลับไม่สนิททั้งคืน กว่าจะหอบร่างตัวเองให้มาลุกเวลาเจ็ดโมงเช้าได้ กว่าจะลงจากเตียงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหล่อๆ ไหนจะยังพรมน้ำหอมอีกไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทั้งหมดก็เพื่ออยากให้มั่วไป๋มีภาพจำที่ดีเกี่ยวกับเขา

 

 

           ‘สุดท้ายเขายังไม่ทันได้เจอมั่วไป๋ ก็จะให้เขากลับไปแล้วเหรอ’

 

 

           ‘ที่ตื่นเต้นมาก็เสียเปล่าเลยใช่ไหม’

 

 

           ไป๋จิ่งกลอกตาไปมา “ผมอยากกินข้าวเช้าด้วยกันกับคุณ”

 

 

           มั่วไป๋เงียบไม่พูดจาครู่หนึ่ง ทันทีหลังจากนั้นคิดไม่ถึงว่าจะเอ่ยตอบรับไป “อ่อ งั้นนายขึ้นมาแล้วกัน ฉันยังไม่ลุกจากเตียง”

 

 

           ไป๋จิ่งตาลุกวาว นึกไม่ถึงว่าจะให้เขาขึ้นไป เดิมทีเขาแค่คิดจะชวนมั่วไป๋ลงมากินข้าวเช้าด้วยกัน ไม่คิดเลยว่าจะให้เขาขึ้นไปบ้านด้วย การพัฒนาความสัมพันธ์คืบหน้าอย่างราบรื่นเกินไปนิดหน่อยมั้ง

 

 

            หัวใจไป๋จิ่งอดจะเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาไม่ได้ มั่วไป๋ที่เพิ่งตื่นนอน……คิดแล้วก็เร้าใจไม่เบา

 

 

           เดินทางมาตามเลขห้องที่มั่วไป๋บอก จนขึ้นลิฟต์ขึ้นไป มายืนอยู่หน้าประตูห้องของมั่วไป๋ ไป๋จิ่งสูดหายใจลึกๆ เช็คดูการแต่งตัวของตัวเอง คิดว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ถึงได้เคาะประตู

 

 

           เขาเคาะเสร็จรออีกไม่กี่นาที ประตูก็ถูกเปิดออก

 

 

           มั่วไป๋ใส่เสื้อทีเชิ้ตตัวโคร่งๆ สบายๆ ท่าทางเพิ่งตื่นนอนมา

 

 

           “ฉันไปล้างหน้าแปรงฟัน นายนั่งรอสักพักก่อนแล้วกัน” มั่วไป๋เอามือกุมผมที่ยุ่งเล็กน้อย แล้วหมุนตัวเดินเข้าไปห้องน้ำที่อยู่ข้างๆ

 

 

           ที่นี่ไม่ถือว่าใหญ่เกินไป แบ่งเป็นสองห้องอยู่อาศัยใหญ่ๆ เป็นสัดส่วน เขาอยู่คนเดียวก็ไม่ได้มีสิ่งของอะไรมากมาย ดูค่อนข้างว่างโล่งทีเดียว

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่ในห้องรับแขก เห็นมั่วไป๋ยืนแปรงฟันอยู่ในห้องน้ำได้พอดี ภายใต้เสื้อผ้าที่หลวมโคร่งยิ่งดูบอบบาง

 

 

           ไม่รู้ทำไมเพียงชั่วครู่เดียวนั้น หัวใจของไป๋จิ่งถูกจับกุมเอาไว้แน่น ราวกับใจจะลอยไป คิดถึงอะไรสักอย่าง

 

 

           เขาหมุนตัวเดินเข้าห้องครัว ในห้องครัวดูสะอาดเรียบร้อยราวกับไม่มีคนเคยใช้มาก่อน

 

 

           “มั่วไป๋ ผมใช้ห้องครัวของคุณได้ไหม”

 

 

           มั่วไป๋ที่กำลังแปรงฟันอยู่ชะงักไป เอาแปรงสีฟันลง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ในตู้เย็นไม่มีอะไรสักอย่างนะ”

 

 

           ไป๋จิ่งเดินไปด้านหลัง เปิดตู้เย็นออกมาดู ถึงพบว่าข้างในไม่มีอะไรสักอย่าง มีเพียงแค่ขวดเบียร์และน้ำแร่อยู่ไม่กี่ขวด ว่างเปล่าราวกับไม่มีใครอยู่ข้างใน

 

 

           “ผมจะลงไปสักหน่อย คุณรอผมอยู่นี่แป๊บนึงนะ”

 

 

           เขาหมุนตัวเดินออกประตูไป ตอนที่มาถึงเห็นแถวทางเข้ามีตลาดใหญ่พอดี ห้องของมั่วไป๋ว่างเปล่า ไม่เหมือนกับที่ที่ มีคนอยู่อาศัย ไม่ใช่แค่ตู้เย็น แม้แต่ในทั้งคอนโดมิเนียมนี้สังเกตไม่เห็นหรือได้กลิ่นคนทำอาหารเลยสักนิด

 

 

           ไป๋จิ่งใช้เวลาประมาณหนึ่ง ซื้อของมาเต็มสองถุง กลับมาถึงที่คอนโดมิเนียมอีกครั้ง ไป๋จิ่งเคาะประตูเรียก

 

 

           หลังจากมั่วไป๋เปิดประตูให้ มองถุงที่อยู่ในมือของไป๋จิ่ง แล้วเลิกคิ้ว “อะไรกัน”

 

 

           “ทำข้าวเช้าไง เห็นตู้เย็นของคุณไม่มีอะไรสักอย่าง เลยถือโอกาสซื้อมาด้วยนิดหน่อย” ไป๋จิ่งหิ้วของเข้ามาในห้อง คุ้นเคยราวกับเป็นบ้านของตัวเองไม่มีผิด

 

 

           เขาเอาของไปวางบนเคาน์เตอร์ในห้องครัว ค่อยๆ แบ่งของใส่ในตู้เย็นเป็นสัดส่วน

 

 

           ขณะที่ไป๋จิ่งกำลังจัดการของพวกนี้อยู่ มั่วไป๋ก็ยืนอยู่ข้างๆ ด้วย สีหน้าสงบนิ่งดูไม่ออกถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับจดจ่อมาที่ไป๋จิ่งตลอดเวลา บางครั้งความรู้สึกซับซ้อนก็ฉายขึ้นมาในแววตา