บทที่ 419 ของมือสอง เฟิ่งชิงเฉินถูกดูหมิ่น

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 419 ของมือสอง เฟิ่งชิงเฉินถูกดูหมิ่น
เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิ่งชิงเฉิน ดวงตาของทงจือและทงเหยาก็มีน้ำตาคลอ ช่างประเสริฐเหลือเกิน ในที่สุดคุณหนูของพวกนางก็กลับมามีท่าทางของคุณหนูคนเดิมแล้ว

ในฐานะสาวใช้ หน้าที่นั้นไม่เพียงแต่ดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของเจ้านายเท่านั้น แต่ยังต้องช่วยเหลือเจ้านายในเรื่องการไปติดต่อพันธ์กับคนภายนอกอีก

แท้จริงแล้วเฟิ่งชิงเฉินมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำในทุกๆ วัน แต่นางกลับขี้เกียจมากและไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ เว้นแต่เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรก็ให้เป็นหน้าที่ทงจือและทงเหยาจัดการ

ทงจือและทงเหยาเห็นว่าในเช้าวันนี้เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้ามองดูท้องฟ้าอยู่เงียบๆ จึงกลัวว่านางจะกลับไปเป็นเหมือนเก่า พวกนางจึงรีบพูดเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินต้องทำในวันนี้ทันที

แน่นอนว่าพวกงานเลี้ยงน้ำชา งานชุมนุมกวีและงานชมดอกไม้นั้น สาวใช้ทั้งสองได้ตัดทิ้งออกไปแล้ว พวกนางรู้ดีว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงที่น่าเบื่อเช่นนี้จึงเลือกเฉพาะงานที่สำคัญมาบอกเท่านั้น “ฮูหยินน้อยแห่งจวนหย่งชางป๋อ ได้เชิญคุณหนูไปงานเลี้ยงน้ำชาเจ้าค่ะ”

“จวนหย่งชางป๋อ? ข้ารู้จักฮูหยินน้อยของพวกเขาด้วยหรือ?” ในเมืองหลวงมีหลายคนที่รู้จักนาง แต่นางกลับรู้จักผู้คนน้อยยิ่ง คุณหนูที่โด่งดังเช่นนางมีไม่มากนัก แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดีนัก คนทั่วไปย่อมไม่ต้องการเช่นนี้

“ฮูหยินน้อยแห่งหย่งชางป๋อก็คือคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเวินเจ้าค่ะ” ทงจือเตือนอย่างนอบน้อม

“ข้ารู้แล้ว ข้าจะไป” คุณหนูเวินผู้นี้เป็นผู้ป่วยที่จิ้นหยางโหวฮูหยินแนะนำมา นางแต่งงานมาหลายปีแล้วแต่ยังไม่มีมีบุตร แต่ปรากฏว่าตัวนางปกติดี เฟิ่งชิงเฉินแนะนำว่าให้สามีของนางมาตรวจด้วย ดูแล้วอีกฝ่ายคงตอบรับแล้ว

“ฮูหยินของท่านผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิต ส่งเทียบเชิญมาอกว่าอีกสามวันนางจะมาเยี่ยมที่จวนเจ้าค่ะ” มุมปากของทงจือกระตุก นางไม่ต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินเข้าไปพัวพันกับคนขององครักษ์เสื้อโลหิต เพราะจะเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก

น่าเสียดายที่เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ยินเสียงในใจของทงจือ เฟิ่งชิงเฉินมีความประทับใจที่ดีต่อลู่ฮูหยิน “เดี๋ยวไปนัดแนะเวลาที่ชัดเจนกับลู่ฮูหยินอีกที”

“เจ้าค่ะ” ในฐานะสาวใช้ที่ดี แม้ว่าจะไม่พอใจแต่ก็ต้องทำตามสิ่งที่เจ้านายของตนต้องการ

“ฮูหยินของหนิงกั๋วกงส่งตำราเพลงฉินมาให้และบอกว่าให้คุณหนูใช้ฆ่าเวลาเจ้าค่ะ” ปากของทงจือกระตุกอีกครั้ง คุณหนูของนางเล่นฉินไม่เป็นแม้แต่น้อย เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะต้องทำให้อีกฝ่ายต้องเสียน้ำใจแล้ว

ทงจือและทงเหยายังไม่รู้เรื่องการประลองระหว่างเฟิ่งชิงเฉินและซูหว่าน

“จวนหนิงกั๋วกงช่างใส่ใจนัก บันทึกเอาไว้ เมื่อลูกชายสองคนของหนิงกั๋วกงอายุครบร้อยวันก็ช่วยเตรียมของขวัญให้นางแทนข้าด้วย”

ในแคว้นตงหลิง พิธีสรงสาม วันครบรอบหนึ่งเดือนและวันครบรอบหนึ่งร้อยวันจะจัดอย่างใหญ่โต สำหรับเด็กน้อยทั้งสองที่นางช่วยทำคลอดมากับมือ เฟิ่งชิงเฉินเต็มไปด้วยความคาดหวัง วันพิธีสรงสามและวันครบรอบหนึ่งเดือนนั้นนางพลาดไปแล้ว วันครบรอบหนึ่งร้อยวันนางจะต้องเข้าร่วมอย่างแน่นอน หนิงกั๋วกงฮูหยินและท่านชายได้เชิญนางครั้งแล้วครั้งเล่า

“เจ้าค่ะ”

ทงจือและทงเหยายังคงรายงานต่อไปและจากนั้นก็เป็นเหล่าคนที่มอบของขวัญมา ของขวัญที่พวกเขามอบให้นั้นก็ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับการประลองกับซูหว่าน

“องค์รัชทายาททรงส่งต้นฉบับของนักอักษรศิลป์มือเอกมาให้คุณหนูเจ้าค่ะ” ต้นฉบับของนักอักษรศิลป์มือเอกนั้นประเมินค่าไม่ได้ ในตงหลิงก็มีเพียงสามฉบับเท่านั้น สองฉบับอยู่ในวังและอีกหนึ่งฉบับอยู่ในพระหัตถ์ขององค์ชายรัชทายาท

“ส่ง… รับมันไว้เถอะ” เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าของขวัญจากองค์รัชทายาทนั้นคงไม่อาจส่งคืนได้

ใบหน้าของทงจือไม่แสดงอารมณ์ เพียงแค่ตวัดพู่กันจดบันทึกไว้ ในใจของนางนั้น ไม่ว่าของขวัญใดเฟิ่งชิงเฉินก็ล้วนรับได้

สำหรับเรื่องเล็กน้อยที่เหลือ เฟิ่งชิงเฉินขัดจังหวะอย่างไร้ความอดทนหลังจากฟังไปสองประโยคและปล่อยให้ทงจือทงเหยาจัดการเอาเอง

ทงจือและทงเหยาปิดปากลงอย่างเงียบเชียบ พวกนางประเมินคุณหนูสูงไปจริงๆ คุณหนูยังคงไม่อดทนกับสิ่งเหล่านี้ สาวใช้ทั้งสองจึงถอยกลับไปอย่างเงียบๆ

ในยามสาย เฟิ่งชิงเฉินอยู่ในห้องหนังสือและเทชุดเครื่องมือแพทย์ออกมาเพื่อเตรียมผ่าตัดในอีกสองวันข้างหน้า ส่วนเรื่องการประลองกับซูหว่านน่ะหรือ? ช่างเถอะ นางใส่ใจไปก็ไร้ประโยชน์

ในตอนบ่าย เฟิ่งชิงเฉินไปที่จวนหย่งชางป๋อตามกำหนด บางทีอาจเป็นเพราะว่าพวกเขาเคยติดต่อกับเฟิ่งชิงเฉินมาก่อน คุณหนูแห่งตระกูลเวินจึงไม่อ้อมค้อม เมื่อนางดื่มชาไปถ้วยหนึ่งและพูดคุยพอเป็นพิธีอีกเล็กน้อยก็เชิญสามีของนางมา

สามีของคุณหนูใหญ่ตระกูลเวินคือคุณชายรองที่เกิดจากฮูหยินเอกแห่งจวนหย่งชางป๋อ เขาไม่มีสิทธิสืบทอดบรรดาศักดิ์ แต่เพราะเขาเกิดจากภรรยาเอก เขาจึงมีสิทธิ์ในส่วนแบ่งทรัพย์สินของตระกูลมากหน่อย

คุณชายรองท่าทางดูเป็นผู้เป็นคน เขาถือพัดในมือและดูเป็นคนมีความรู้ความสามารถ แต่ดวงตาของเขากลับไม่จริงจังเลย มันดูเหลาะแหละ มีถุงใต้ตาชัดเจน เห็นได้ชัดว่าถูกตามใจเสียจนเสียคน เฟิ่งชิงเฉินแสดงออกว่านางไม่ชอบคนผู้นี้ แต่หมอไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกผู้ป่วย

นอกจากนี้เหล่าคุณชายในตระกูลขุนนางในนครหลวงก็เป็นเช่นนี้ ยศถาบรรดาศักดิ์เป็นกรรมพันธุ์ พวกเขาเกิดมาพร้อมกับความมั่งคั่ง เมื่ออายุถึงเกณฑ์ อะไรก็ไม่ต้องทำก็สามารถรับตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสูงได้เลย

แม้ว่าตระกูลขุนนางเหล่านี้เรียนรู้จากตระกูลขุนนางด้วยกัน อบรมสั่งสอนบุตรชายในตระกูลอย่างดี แต่คุณชายส่วนใหญ่ก็มักจะไม่เอาดีและมักจะชอบเรียนรู้เรื่องไม่ดี พวกเขาล้วนเป็นคุณชายเสเพล นอกเหนือไปจากการกินดื่มเที่ยวเล่นแล้วก็ยังกลั่นแกล้งบุรุษข่มเหงสตรี อย่าว่าแต่หวังจิ่นหลิงแลย พวกเขาเทียบกับปลายเส้นผมของเซี่ยซานหรือหวังชีไม่ได้ด้วยซ้ำ

ยามที่คุณชายรองเพิ่งเข้ามา เขายังแสร้งทำเป็นเคร่งขรึม แต่เมื่อเฟิ่งชิงเฉินจับชีพจร ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนไป

ดวงตาหื่นกามจับจ้องไปที่ร่างกายของเฟิ่งชิงเฉินโดยไม่ยอมละสายตาและกวาดตามองนางึ้นลงจนทั่ว ในที่สุดก็หยุดลงตรงหน้าอกของเฟิ่งชิงเฉินและกระพริบตาให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นครั้งคราว

หน็อยแน่… พวกหัวงู!

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่แพทย์หญิงจะถูกคนไข้ลวนลาม แต่ก่อนนางก็เคยเจอ ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะต้องอดทน แต่ก็มีบางครั้งที่ทนไม่ได้อย่างเช่นในตอนนี้…

อย่าว่าแต่ตอนนี้นางอารมณ์ไม่ดีนัก แม้ว่านางจะอารมณ์ดี แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่มองนางอย่างไร้มารยาทก็ทำให้อารมณ์เสียได้เช่นกัน

บังอาจคิดลวนลามนาง คิดว่านางอ่อนแอจึงจะมารังแกกันง่ายๆ งั้นหรือ

คุณชายรองจวนหย่งชางป๋อนั้น “โง่เขลา” นางไม่จำเป็นต้องเกรงใจ เฟิ่งชิงเฉินถอนมือออกและทำหน้าเย็นชาราวกับจะไม่ยอมให้เข้าใจ นางลุกขึ้นและพูดอย่างเย็นชาว่า “ฮูหยินน้อย ร่างกายของท่านแข็งแรงสมบูรณ์ดี ท่านสามารถให้กำเนิดบุตรได้ แต่ปัญหาคือสามีของท่านที่มีอาการป่วยซ่อนเร้นจึงไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ ”

การบอกว่าชายคนหนึ่งมีโรคซ่อนเร้นก็เหมือนการบอกว่าชายผู้นั้นใช้ไม่ได้ คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าคุณหนูแห่งตระกูลเวินจะไม่พอใจ แต่เมื่อคิดว่าสามีของนางทำผิดก่อน ต่อให้ไม่พอใจแค่ไหนนางก็ต้องเก็บไว้ นางฝืนยิ้มออกมา แต่เมื่อนางกำลังจะพูด สามีของนางกลับชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า

“แม่นางเฟิ่ง เจ้าตรวจผิดพลาดหรือป่าว? ข้าจะมีโรคซ่อนเร้นได้อย่างไร ข้าเก่งเรื่องการอย่างว่ายิ่งนัก น้องชายของข้าทั้งใหญ่และยาว ทำให้ผู้หญิงเหล่านั้นสำเร็จความใคร่อยู่เสมอ พวกนางล้วนแต่ร้องครวญครางอยู่ภายใต้ร่างของข้าอ้อนวอนขอให้ข้าทำอีก คืนเดียวข้าทำกับหญิงหลายคนก็ไม่มีปัญหา หากแม่นางเฟิ่งไม่เชื่อก็ลองถามภรรยาข้าดูก็ได้ว่าน้องชายของข้าร้ายกาจเพียงใด”

น้ำเสียงของเขาไม่สุภาพและหยาบคาย คำพูดของเขาก็หยาบคาย แม้แต่คุณหนูตระกูลเวินก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป แม้คำพูดเช่นนี้พูดออกมาในหอคณิกาก็นับว่าหยาบคายและไร้ยางอายมากแล้ว เมื่อยามนี้พูดต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉินก็เป็นการหยามเกียรติอีกฝ่ายโดยเจตนา

“งั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินแค่นเสียงอย่างเย็นชา แววตาอันตรายปรากฏขึ้นในดวงตานาง หญิงงามหายคนในคืนเดียว? เดี๋ยวมันจะกลายเป็นเพียงอดีตเท่านั้น ข้าจะทำให้น้องชายของท่านเน่าเปื่อยไปทีละน้อย

ไม่ใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินโหดเหี้ยม อย่าว่าแต่ยุคโบราณเลย แม้แต่ในยุคปัจจุบัน การพูดแบบนี้กับผู้หญิงก็เป็นการหยามเกียรติอย่างยิ่งและสามารถฟ้องอีกฝ่ายข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ

ไม่ต้องพูดถึงในสมัยโบราณ ผู้หญิงที่ได้ยินคำเหล่านี้คงต้องเอาหัวกระแทกกับกำแพงด้วยความอับอาย

“ถ้าแม่นางเฟิ่งไม่เชื่อ จะลอง…” ก่อนที่คุณชายรองจะพูดจบ เขาก็ถูกภรรยาขัดจังหวะ

“แม่นางเฟิ่ง ข้าขอโทษ สามีของข้าพูดไม่คิด ข้าจะให้เขามาขอโทษเจ้าในวันหลัง” ใบหน้าของคุณหนูใหญ่ตระกูลเวินเป็นสีเขียวสลับขาว แม้นางจะยังคงรักษาท่าทางสง่างามและใจกว้าง แต่เฟิ่งชิงเฉินก็เห็นความอับอายและลำบากใจในดวงตาของนาง

คิดแล้วก็ใช่ คุณหนูแห่งตระกูลดัง กลับได้แต่งงานกับผู้ชายที่ไม่มีศีลธรรม ไม่ว่าผู้หญิงคนใดก็คงต้องอดทนอดกลั้นยิ่ง

สตรีจะทำให้สตรีด้วยกันลำบากไปทำไม เฟิ่งชิงเฉินไม่มีเจตนาจะทำให้คุณหนูเวินต้องลำบากใจ “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ชิงเฉินขอลา”

แม้แต่คำว่าฮูหยินน้อยนางก็ไม่เรียกแล้ว นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงว่านางโกรธ แน่นอนว่านี่เป็นการบอกคุณหนูตระกูลเวินด้วยว่านางรู้ว่าคนที่ทำให้นางโกรธคือจวนหย่งชางป๋อซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับตระกูลเวินเลย

“แม่นาง…” คุณชายรองจากจวนหย่งชางป๋อพบว่าเขาถูกเมินเฉยก็บันดาลโทสะออกมาทันที ไฉนเลยจะรู้ว่าเพียงแค่เขาอ้าปาก คุณหนูใหญ่ตระกูลเวินก็ขวางหน้าเขาไว้ทันที “แม่นางเฟิ่ง เชิญ”

เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เกรงใจอีก นางหันหลังเดินจากไป เมื่อนางกำลังก้าวออกจากประตู นางก็ได้ยินเสียงตบดังขึ้นข้างหลังนางและเสียงโต๊ะเก้าอี้ล้ม

“นังบ้า กล้าดียังไงมาห้ามข้า เจ้าเบื่อชีวิตแล้วหรือ มีลูกไม่ได้เพราะเจ้าไร้ความสามารถ แถมยังบังอาจเรียกให้ข้าออกมาทำให้ข้าอับอาย ตระกูลเวิน ตระกูลเวินสูงส่งนักหรือ แม้แต่ตระกูลเวินก็ต้องขายลูกสาว…”

ยามที่เฟิ่งชิงเฉินหันกลับไป นางก็เห็นว่าคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเวินถูกทุบตีจนล้มลงกับพื้น คุณชายรองแห่งหย่งชางป๋อคิดว่ายังไม่พอจึงเตะซ้ำอีกครั้ง

ความรุนแรงภายในครอบครัว! เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปแทรกแซง นางเพียงเดินออกไป

ตระกูลของชนชั้นสูงอย่างตระกูลหวัง ตระกูลเซี่ยนั้นทรงพลัง และก็มีอย่างตระกูลเวินที่ภายนอกดูดี แต่จริงๆ แล้วภายในกลับฟอนเฟะ แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับนาง

“เฟิ่งชิงเฉิน นางแตะต้องตัวข้าแล้วก็ยังทำเป็นสาวบริสุทธิ์ บางทีนางอาจเต็มไปด้วยราคะและตัณหา ก็แค่สตรีนางหนึ่งเอไม่ใช่หรือ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน นางถูกเสด็จอาเก้าและคุณชายใหญ่ย่ำยีเสียจนไม่เหลืออะไรแล้ว ยังจะทำเป็นวางท่าบริสุทธิ์ต่อหน้าข้าอีก เดิมข้าคิดว่าจะสามารถแบ่งปันผู้หญิงกับคุณชายใหญ่และเสด็จอาเก้าได้ กลายเป็นว่าเจอแค่แป๊บเดียวก็ช่างโชคร้ายจริงๆ”

เฟิ่งชิงเฉินซึ่งกำลังจะก้าวออกจากจวนก็ชะงักชั่วคราวและหันกลับมาเหลือบมองเขาอย่างเย็นชาก่อนจะจากไป

บุตรที่ไม่ได้รับการสั่งสอนนั้นเป็นความผิดของบิดามารดา จวนหย่งชางป๋อแย่แล้ว ส่วนคุณชายรองน่ะหรือ?

เฟิ่งชิงเฉินหันกลับมา ดวงตาฉายแววดุดัน

ในโลกนี้มีคนจำพวกหนึ่งที่เรียกว่านักโทษเผด็จการ คนเหล่านี้ติดคุกมาหลายสิบปีแล้ว พวกเขาล้วนโหดร้าย สิ่งที่พวกเขาชอบทำมากที่สุดก็คือการรังแกที่ผู้อ่อนแอกว่า

แม้พวกเขาจะชอบสตรี แต่ในเรือนจำจะไม่ได้เจอผู้หญิงเลย หากจะระบายปัญหาด้านนั้นก็ได้แต่เพียงหาผู้ชาย

เฟิ่งชิงเฉินคิดว่าคุณชายรองแห่งจวรหย่งชางป๋อผู้นี้น่าจะชอบสถานที่เช่นนั้นมาก…

ส่วนทำอย่างไรจึงจะทำได้นั้น เฟิ่งชิงเฉินไม่กังวล เพียงแค่นางเล่าเรื่องในวันนี้เพียงเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นเสด็จอาเก้าหรือตระกูลหวังก็ล้วนไม่มีทางปล่อยคุณชายรองแห่งจวนหย่งชางป๋อไปแน่…

ผู้ที่ล่วงเกินหมอจนทำให้ต้องถูกพิพากษาจำคุกทั้งจวนนั้น จวนหย่งชางป๋อไม่ใช่จวนแรกและคงจะไม่ใช่จวนสุดท้าย แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับเชื่อว่าจุดจบของพวกเขาต้องเลวร้ายที่สุดเป็นแน่…