ภาคที่ 4 ตอนที่ 116 นี่เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและง่ายดาย

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ฉู่จิ่วหลิงชื่อนี้ ทั้งสองคนในห้องไม่ใช่ไม่คุ้น

 

 

นางคือฉู่จิ่วหลิง?

 

 

แต่ฉู่จิ่วหลิงเป็นคนที่ตายไปแล้ว

 

 

ท่ามกลางค่ำคืนที่ผู้คนเงียบสงบนี่ คนเป็นคนหนึ่งอยู่ดีๆ บอกว่าตนเป็นคนที่ตายไปแล้ว

 

 

สีหน้าของจูจั้นซีดขาว เสวี่ยเอ๋อร์ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวา

 

 

ในห้องเงียบกริบไปหมด

 

 

นางไม่ได้เอ่ยเช่นนี้เป็นครั้งแรก

 

 

จูจั้นคิด นอกจากนี้ก่อนหน้านี้เนิ่นนานนัก เขาก็เคยบีบคอนางเช่นนี้

 

 

เพราะอยู่ในอำเภอที่แปลกถิ่นไม่เคยไปมาก่อน คนที่เผชิญหน้าคือเด็กสาวแปลกหน้าที่บังเอิญพบพานและจะไม่พบกันอีกแต่อยู่ดีๆ กลับเรียกชื่อของเขาออกมา

 

 

‘เจ้าเป็นใคร?’ เขาถามนาง

 

 

ทำไมรู้จักเขาได้?

 

 

เวลานั้นเด็กสาวคนนี้ลมหายใจไม่สะดุด ดวงตาไม่กระพริบสักนิดแจ้งภูมิหลังออกมา

 

 

ภูมิหลังไม่มีช่องว่างให้จี้ แต่คำพูดของนางไม่มีความจริงสักนิด

 

 

เวลาผ่านไปสองปี ในที่สุดนางก็ตอบคำถามของเขาแล้ว

 

 

นางคือฉู่จิ่วหลิง

 

 

เจ้าคือฉู่จิ่วหลิง?

 

 

เจ้าจะเป็นฉู่จิ่วหลิงได้อย่างไร?

 

 

จูจั้นมองสตรีตรงหน้า สตรีตรงหน้าก็มองเขาเช่นกัน

 

 

ในดวงตาของนางมีหมอกปกคลุมอบอวล คล้ายลึกลับแต่ก็คล้ายกระจ่างใส

 

 

‘หลิงจิ่ว?’

 

 

‘เจ้าทำไมชื่อว่าหลิงจิ่ว?’

 

 

ที่แท้ที่ตั้งคำถามก็เพราะนางก็ชื่อหลิงจิ่วหรือ?

 

 

‘บิดาของท่านร่างกายแข็งแรงดีกระมัง? อาการไอตอนหน้าหนาวหายดีแล้วหรือไม่?’

 

 

เพราะนางรู้จักบิดา ดังนั้นถึงเอ่ยถามถึงโรคลับที่คนนอกล้วนไม่รู้เหล่านี้ออกมา

 

 

ดังนั้นไหวอ๋องประชวร นางถึงดิ้นรนสุดชีวิตจะไปรักษา

 

 

ดังนั้นลู่อวิ๋นฉีจึงตามตื๊อนาง เพราะมีเพียงนางถึงเหมือนฉู่จิ่วหลิงยิ่งกว่า

 

 

ดังนั้นนางจึงยืนมองอยู่นอกกำแพงจวนเฉิงกั๋วกง เพราะนางเคยมาที่นี่

 

 

ดังนั้นนางจึงช่วยมารดาของเขา

 

 

ดังนั้นนางจึงปกบ้านป้องเมือง เพรานั่นคือแผ่นดินของบิดานาง

 

 

ดังนั้นนางจึงเสี่ยงอันตรายวิ่งเข้าไปดินแดนของชาวจินช่วยบิดากลับมา

 

 

ดังนั้นตอนเขาเอ่ยว่าเกี่ยวอันใดกับนาง นางจึงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพูดออกมาประโยคหนึ่ง

 

 

‘ข้าคือองค์หญิงจิ่วหลิง’

 

 

ความคุ้นเคยประหลาดนั้น ความสนิทสนมไม่สงสัยไม่ระแวงประหลาดนั่น ความช่วยเหลือประหลาดนั่น

 

 

ที่แท้…

 

 

ร่างกายจูจั้นสั่นเทา รู้สึกเพียงหายใจไม่ทัน เขาพลันปล่อยนางออก ถอยหลังตึงตึง แววตาเต็มไปด้วยความหวาดผวาไม่อยากเชื่อ

 

 

ไม่ เป็นไปไม่ได้ นี่เป็นไปได้อย่างไร?

 

 

‘เจ้าแปลกยิ่งนัก สิ่งที่เจ้าปฏิบัติกับข้า กับครอบครัวของพวกเรา ล้วนแปลกยิ่งนัก’

 

 

‘ใช่แล้ว ข้าปฏิบัติกับครอบครัวของพวกท่านต่างออกไป’

 

 

‘เหตุผล’

 

 

สตรีตรงหน้าคิดนิดหนึ่งแล้วส่ายศีรษะ

 

 

‘ข้าพูดไม่ได้’ นางเอ่ย

 

 

พูดไม่ได้ ที่แท้หมายถึงบอกไปก็ไม่มีใครเชื่อหรือ? เรื่องนี้คงไม่มีใครเชื่อจริงๆ บ้าบอเกินไปแล้ว นี่เป็นไปได้อย่างไร?

 

 

จูจั้นหอบหายใจเฮือกใหญ่หลายหน มองคุณหนูจวิน

 

 

คุณหนูจวินยืนมั่นคง ยื่นมือจัดเสื้อผ้าที่ถูกขย้ำยุ่งเหยิง ความนุ่มนวลนิ่งสงบท่ามกลางราตรีนี่ทำให้คนใจผวาเนื้อตัวสั่น

 

 

“เสวี่ยเอ๋อร์” นางมองไปทางบ่าวหญิงที่ตัวสั่นเทาปิดปากอยู่ด้านข้าง “เรื่องที่ปิงเอ๋อร์บอกข้าเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์ร้องตกใจสั้นๆ ทีหนึ่ง คนก็ยืนหยัดไม่อยู่อีกต่อไปทรุดนั่งลงกับพื้น

 

 

คุณหนูจวินเดินไปหานางช้าๆ เสวี่ยเอ๋อร์คิดจะหลบไปข้างหลังแต่กลับไร้เรี่ยวแรง มองสตรีคนนี้ยืนยิ่งอยู่ตรงหน้า

 

 

“เจี่ยงเยี่ยนเป่า ยังไม่ตายจริงหรือไม่?” นางเอ่ยถาม

 

 

เจี่ยงเยี่ยนเป่า

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์คล้ายมองเห็นบุรุษคนนั้น เขาเกร็งทั้งยังหวาดผวายืนอยู่ในห้อง ผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าคือองค์รัชทายาทผู้อยู่เหนือคนนับหมื่นอยู่ใต้คนผู้เดียว

 

 

‘เจ้าชื่อว่าอะไร?’ องค์รัชทายาทเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน

 

 

‘ข้าชื่อเจี่ยงเยี่ยนเป่าพ่ะย่ะค่ะ’ เขาตอบเสียงสั่นอย่างขลาดกลัว

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์ส่งเสียงร้องไห้ทีหนึ่งก็ค้อมร่างโขกศีรษะ

 

 

“องค์หญิง…องค์หญิง…” นางเพียงร่ำไห้เรียก คนทั้งร่างพูดไม่ออก

 

 

“อย่าเพิ่งเรียก…” เสียงของจูจั้นดังขึ้น

 

 

คุณหนูจวินมองไปหาเขา

 

 

เห็นนางมองมา จูจั้นก็ถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว สีหน้าระแวง ความระแวงเช่นนี้ไม่ใช่สนุกสนานเกินจริงเช่นนั้น

 

 

“เจ้า เจ้าพิสูจน์อย่างไร” เขาเอ่ยเสียงเข้ม

 

 

คุณหนูจวินยิ้มส่ายศีรษะ

 

 

“ข้าไม่มีหนทางพิสูจน์” นางเอ่ย “”จูจั้น ข้ากับท่านไม่คุ้นเคยกัน”

 

 

แล้วนางก็มองเสวี่ยเอ๋อร์นิดหนึ่ง

 

 

“เสวี่ยเอ๋อร์กับข้าก็ไม่คุ้ยเค้ยกัน ปกติข้าไม่อยู่ที่บ้าน”

 

 

นางเงยหน้าติดจะเศร้าสร้อยอยู่บ้าง

 

 

“พวกท่านไม่รู้จักข้า เรื่องของข้าพูดไปพวกท่านก็ไม่รู้ นอกจากนี้ข้าก็ไม่รู้จักท่าน ไม่คุ้ยเคยกับพวกท่านเช่นกัน เรื่องของพวกท่าน ข้าก็เล่าไม่ได้”

 

 

ในห้องเงียบไปครู่หนึ่งอีกหน

 

 

“ดังนั้นที่เจ้าไปศาลเทพเจ้ากวนอูคราวนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ?” จูจั้นเอ่ยถาม

 

 

คุณหนูจวินรู้ว่าเขาพูดถึงครั้งไหน

 

 

“ท่านก็ไม่ใช่?” นางเอ่ยถาม

 

 

แววตาของจูจั้นหม่นแสงไม่พูดจา

 

 

“ท่านรู้ได้อย่างไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถามต่อ “ปิงเอ๋อร์บอกว่าไม่เคยบอกผู้อื่นหรือหลังข้าตายปิงเอ๋อร์ถูกพบ?”

 

 

จูจั้นมองนางทีหนึ่งแล้วหลบสายตาออก

 

 

“ปิงเอ๋อร์ที่เจ้าพูดถึงคือนางกำนัลที่ป่วยเป็นโรคร้ายตายไปคนนั้นสินะ” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินขมวดคิ้ว

 

 

“เจ้าไม่ต้องขมวดคิ้ว” จูจั้นพูด มองนางทีหนึ่งแล้วหลบสายตาออกอีกครั้ง “นางอาจถูกพบ แต่คนที่พบไม่มากแน่นอน อย่างมากก็แค่ลู่อวิ๋นฉีกับฝ่าบาทที่รู้”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเสวี่ยเอ๋อร์…” คุณหนูจวินขมวดคิ้วเอ่ยถาม

 

 

“เสวี่ยเอ๋อร์ข้าไม่ค่อยรู้ชัด” จูจั้นเอ่ยต่อพลางมองนางกำนัลที่ตัวสั่นเทาคุกเข่าอยู่บนพื้น “ลู่อวิ๋นฉีต้องรู้แน่นอน เพราะศาลเทพเจ้ากวนอูด้านนั้นมีคนขององครักษ์เสื้อแพรจับตาอยู่ตลอด แต่เมื่อข้าพาคนมา ฮ่องเต้เหมือนไม่ทรงทราบอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้ค้นหาคนขนานใหญ่ มีเพียงไม่กี่คนขององครักษ์เสื้อแพรที่ค้นหาอย่างลับๆ”

 

 

เช่นนี้หรือ แปลกอยู่บ้าง

 

 

คุณหนูจวินเงียบงันไม่พูด

 

 

“เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้พูดสิ่งใดทั้งสิ้น” จูจั้นเอยต่อ “เรื่องที่เจ้าพูดเมื่อครู่ ข้าไม่รู้”

 

 

หา? เขาไม่รู้? คุณหนูจวินมองไปหาเขา ถ้าเช่นนั้นทำไมเขาสนใจเสวี่ยเอ๋อร์?

 

 

จูจั้นไม่มองนาง

 

 

“ก็แค่เดา” เขาเอ่ย

 

 

เดา? นี่ยังเดาได้อีก? คุณหนูจวินยิ่งไม่เข้าใจแล้ว

 

 

“เจ้าอยู่ดีๆ ตายไป ข้าย่อมรู้สึกว่ามีปัญหาแน่นอน” จูจั้นหันหน้าหนี มองกำแพงแล้วเอ่ยเล่า “หลังจากนั้นก็เห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ สืบไปสืบมา ก็สืบพบว่ามีนางกำนัลคนหนึ่งตาย จึงสืบว่าภูมิหลังของนางเป็นอย่างไร สืบมาถึงเดิมทีนางเคยรับใช้เบื้องพระพักตร์อดีตองค์รัชทายาท สืบไปอีกก็สืบพบว่าพี่สาวของนางอาศัยอยู่ที่ศาลเทพเจ้ากวนอู หลังจากนั้นก็พบว่าคนขององครักษ์เสื้อแพรจับตานางอยู่ องครักษ์เสื้อแพรคนเหล่านี้ไม่มีผลประโยชน์ไม่ตื่นเช้า ในเมื่อจับตาอยู่ต้องมีปัญหาแน่นอน ไม่ว่ามันเป็นปัญหาอันใด ข้าย่อมเอาคนมาไว้ในมือก่อนค่อยว่ากัน”

 

 

เขาพูดถึงตรงนี้ก็มองนางกำนัลที่ตัวสั่นคุกเข่าอยู่บนพื้นอีกหน

 

 

“ข้าถามนางว่าเกิดอะไรขึ้น นางบอกว่านางไม่รู้ ไม่รู้กระทั่งมีคนจับตานาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจึงไม่ได้ถามต่อ”

 

 

“ก็เป็นเช่นนี้”

 

 

ฟังแล้วเรียบง่ายยิ่ง ก็เป็นเช่นนี้

 

 

แต่ลงมือทำขึ้นมา…

 

 

คุณหนูจวินมองเขา

 

 

องค์หญิงผู้ตกต่ำคนหนึ่งตายไปแล้วก็แค่ตายไปแล้ว คิดไม่ถึงยังมีคนสนใจ นอกจากนี้ยังสืบค้นสาเหตุการตายของนาง

 

 

สาเหตุการตายของนาง ฮ่องเต้ย่อมพยายามปิดบังสุดกำลัง คิดสืบเส้นสนกลในออกมา แล้วจากเส้นสนกลในนี้หานางกำนัลที่ไม่สะดุดตาสักนิดแต่สำคัญอย่างที่สุดคนหนึ่งพบ ไหนเลยจะเรียบง่ายเช่นนี้อย่างที่พูด

 

 

เขาระหกระเหินมาพันลี้จากแดนเหนือ ที่แท้ไม่ใช่เพียงเพื่อมอบดอกไม้ดอกหนึ่งหน้าสุสานของนาง

 

 

“ท่านทำไมถึงต้องการทำสิ่งเหล่านี้?” นางเอ่ยถาม

 

 

“ก็ไม่มีอะไรนี่” จูจั้นเอ่ยติดอ่างอยู่บ้าง ไม่มองนางเลยสักหน คล้ายหวาดกลัวสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้ว่าเป็นผีหรือเป็นคนผู้นี้ “บิดาของข้าเล่าว่า อาจเป็นการตายที่มีเรื่องผิดปกติ พอดีข้าเข้าเมืองหลวงจึงสืบสักหน่อย เป็นเรื่องที่สบโอกาสไหม”

 

 

เรื่องที่สบโอกาสหรือ? สบโอกาสครั้งนี้ สิ่งที่โผล่ออกมากลับเป็นอันตรายที่ยึดทรัพย์ทำลายตระกูลได้

 

 

คุณหนูจวินถอนหายใจแผ่วเบาทีหนึ่ง

 

 

“ขอบคุณท่านกับเฉิงกั๋วกง” นางเอ่ยขึ้นมา “พวกท่านดีกับพวกเรายิ่ง คิดถึงพวกเรายิ่ง ขอบคุณ”

 

 

“ขอบคุณอะไร ไม่ใช่ช่วยเหลือกันรึ” จูจั้นหันหน้าหนีเอ่ยเสียงหงุดหงิด “เจ้าก็ช่วยพ่อข้ามากปานนั้นเหมือนกันไม่ใช่รึ”

 

 

ในห้องเงียบงันครู่หนึ่ง

 

 

คุณหนูจวินฉับพลันคิดถึงปัญหาข้อหนึ่งขึ้นได้

 

 

“ถ้าเช่นนั้นพูดเช่นนี้ ท่านเชื่อคำพูดของข้าแล้วหรือ?” นางเอ่ยถาม “ท่านเชื่อว่าข้าคือฉู่จิ่วหลิงแล้วหรือ?”

 

 

จูจั้นยังคงมองไปด้านข้าง

 

 

“นอกจากเชื่อแล้วก็เหมือนไม่มีหนทางอื่นอธิบายเรื่องนี้แล้ว” เขาตอบ

 

 

………………………