ภาคที่ 4 ตอนที่ 117 เหมือนจริง เหมือนลวง เหมือนห้วงฝัน

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ราตรีมืดมิด ในเรือนอันห่างไกลแสงโคมสว่างไสวแต่ไม่มีคนเท่าไรรับใช้ แล้วยังมีผู้คุ้มกันที่ซ่อนเร้นอยู่ล้อมตัดขาดที่แห่งนี้ไว้

 

 

ในห้องคุณหนูจวินนั่งลงแล้ว จูจั้นยังยืนอยู่ เสวี่ยเอ๋อร์ที่สั่นเทาคุกเข่าอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้น

 

 

“ท่าน ท่านคือองค์หญิงจิ่วหลิงจริงๆ หรือเจ้าคะ?” นางเอ่ยถามเสียงสั่น

 

 

คุณหนูจวินมองนางแล้วยิ้มให้

 

 

“ตอนนั้นไม้เขี่ยไฟในโรงชา ข้าเอาไปเอง” นางเอ่ย “ทำให้พวกเจ้าถูกแม่นมโจวดุด่า ขอโทษจริงๆ”

 

 

เรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในโรงชานี่ คนในวังองค์รัชทายาทไม่มีสักกี่คนที่รู้ นอกเสียจากคนในเหตุการณ์

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์ยกมือเช็ดน้ำตา

 

 

นางไม่รู้ว่าควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ แต่เอ่ยเรียกชื่อนาง พูดเรื่องปิงเอ๋อร์ขึ้นมา แล้วพูดชื่อเจี่ยงเยี่ยนเป่าออกมา ตอนนี้นางไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรอย่างสิ้นเชิง

 

 

“องค์หญิง ท่านซุกซนเกินไปแล้ว” นางเอ่ย พูดจบก็ฟุบกับพื้นร้องไห้โฮ พลางโขกศีรษะซ้ำๆ “เป็นบ่าวทำร้ายท่าน เป็นบ่าวทำร้ายท่าน บ่าวไม่ควรบอกปิงเอ๋อร์ บ่าวไม่ควรปากมากบอกปิงเอ๋อร์ ไม่เช่นนั้นท่านก็ยังมีชีวิตอยู่สบายดี”

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว

 

 

“ตอนนี้ข้าก็มีชีวิตอยู่สบายดีนะ” นางเอ่ย “นอกจากนี้มีชีวิตอยู่ดีกว่าเดิมด้วย”

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์เพียงร้องห่มร้องไห้

 

 

“ท่านยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกระมัง” คุณหนูจวินมองไปหาจูจั้น “ตอนนั้นที่ข้าออกจากวังไปสวดภาวนาให้พระบิดาท่านรู้สินะ?”

 

 

จูจั้นขานรับ หันหน้าไปด้านหนึ่งต่อ

 

 

“ได้ยินมา” เขาเอ่ยเสียงงึมงำ

 

 

“ที่จริงข้าไม่ได้ไปสวดภาวนาอยู่ที่วัดราชวงศ์หรอก” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้าติดตามหมอเทวดาจางไปเรียนวิชาแพทย์ คนที่สอนท่านเล่นหมากคนนั้นที่ท่านพบในจวน เขาไม่ใช่ผู้ติดตามของหมอเทวดาจาง เขาก็คือหมอเทวดาจาง”

 

 

จูจั้นร้องอ้อทีหนึ่ง มองนางทีหนึ่ง

 

 

“ที่แท้เป็นเช่นนี้” เขาเอ่ย

 

 

อาการเสียกริยาตอนเกมหมากถูกทำลายตอนนั้นรวมถึงที่พบเขาที่หรู่นานล้วนเข้าใจได้แล้ว

 

 

คุณหนูจวินเล่าเรื่องตอนตนเองร่ำเรียนวิชาแพทย์สั้นๆ รอบหนึ่ง

 

 

“ดังนั้นโรคของพระบิดาข้ารักษาหายแล้ว เขาไม่มีทางตายเพราะป่วย คนที่รู้เรื่องนี้มีเพียงปิงเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์” นางเล่าพลางมองเสวี่ยเอ๋อร์ที่ยังคงฟุบร้องไห้อยู่กับพื้น “หลังจากนั้นข้าก็พบปิงเอ๋อร์ในวัง”

 

 

พูดถึงตรงนี้นางก็ยิ้ม

 

 

“เรื่องราวภายหลังพวกท่านคงรู้หมดแล้ว ข้าตายเพราะป่วย ปิงเอ๋อร์ก็ตายเพราะป่วยด้วย ล้วนตายกันหมดแล้ว”

 

 

เสียงร้องไห้ของเสวี่ยเอ๋อร์ยิ่งดัง ในที่สุดก็คุกเข่าเดินเข้ามาจับชายกระโปรงคุณหนูจวินโขกศีรษะซ้ำๆ

 

 

“องค์หญิง องค์หญิงล้วนเป็นความผิดของพวกบ่าว” นางร้องไห้เอ่ย

 

 

คุณหนูจวินลูบศีรษะปลอบนาง

 

 

“พวกเราล้วนไม่ผิด คนที่ผิดไม่ใช่พวกเรา” นางเอ่ย “ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

“ถ้าอย่างนั้นท่านทำไม ทำไมกลายเป็นแล้ว?”

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์ถูกปลอบอยู่ครู่หนึ่งก็เสียงสั่นเอ่ยถาม เงยหน้ามองสตรีตรงหน้า

 

 

สตรีแปลกหน้าคนนี้

 

 

“ข้าก็ไม่รู้” คุณหนูจวินตอบ มองตนเองทีหนึ่งด้วย “ข้าคิดว่าตนเองตายแล้ว ตื่นขึ้นมาก็กลายเป็นจวินเจินเจิน นี่คือสวรรค์มีตา ต้องการคืนความยุติธรรมให้ข้า”

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์โชกศีรษะซ้ำๆ

 

 

“เพคะ เพคะ องค์หญิง” นางร่ำไห้เอ่ยอีกครั้ง “องค์หญิง ข้ายินดีไปเป็นพยาน ข้าจะเป็นพยาน”

 

 

“อย่าโง่ ตอนนี้เป็นพยานอะไร” จูจั้นเอ่ยเสียงงึมงำ

 

 

คุณหนูจวินก็ยิ้มด้วย

 

 

“เจ้าเป็นพยานได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้” นางเอ่ย “”เจ้ารออย่างปลอดภัยเถอะ”

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์โขกศีรษะซ้ำๆ ขานตอบ

 

 

ในห้องเงียบงันครู่หนึ่ง

 

 

คุณหนูจวินมองจูจั้น จูจั้นกำลังลอบมองนาง สายตาสบกันก็รีบเลื่อนหลบ

 

 

ทำเขาตกใจแล้วสินะ?

 

 

คุณหนูจวินยิ้ม

 

 

“ยังมีสิ่งใดอยากถาม ท่านถามข้าได้” นางเอ่ยแล้วคิดอะไรขึ้นได้อีก “น้าเซียวกับกองทหารชิงซาน ท่านน่าจะเดาได้แล้ว พวกเขาเป็นครอบครัวของอาจารย์ข้าหรือก็คือหมอเทวดาจาง”

 

 

จูจั้นขานอืม สายตาเสไปเรื่อย

 

 

“พูดถึงอาจารย์ข้า มีเรื่องราวมากกว่าอีก” คุณหนูจวินเอ่ย จะเอ่ยปากแล้วก็หยุดอีก “แต่เรื่องเหล่านี้ยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับท่านแล้ว ไม่พูดถึงแล้วกัน”

 

 

จูจั้นขานอืมอีกครั้ง

 

 

คุณหนูจวินเห็นจูจั้นยังไม่กลับมากระฉับกระเฉงพูดมากเหมือนวันวานอีกก็ยิ้ม

 

 

“หากท่านไม่มีปัญหาอื่นก็ไปพักผ่อนก่อนเถอะ” นางเอ่ยขึ้น

 

 

จูจั้นขานอืมตอบ หมุนตัวปุบก็จากไป

 

 

เด็ดขาดฉับไวเช่นนี้ คุณหนูจวินตอบสนองไม่ทันอยู่บ้าง นางมองเสวี่ยเอ๋อร์ที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น

 

 

“เสวี่ยเอ๋อร์เจ้าก็ไปเถอะ เหมือนก่อนหน้านี้ ควรทำอะไรก็ทำอย่างนั้น ทำเหมือนเรื่องวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้น” นางเอ่ยบอก

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์ใจกล้าเงยศีรษะมองนาง

 

 

“ข้ารู้ว่าเรื่องที่ข้าพูดคืนนี้ประหลาดเกินไปแล้ว” คุณหนูจวินมองนาง “แต่ข้าเชื่อว่าเสวี่ยเอ๋อร์ทำเหมือนเดิมได้ ปิงเอ๋อร์ตายแล้ว พวกเราล้วนไม่อาจตาย พวกเราล้วนต้องมีชีวิตอยู่ให้ดี”

 

 

เสวี่ยเอ๋อร์ออกแรงพยักหน้า แววตาที่เดิมทีหวาดหวั่นค่อยๆ แน่วแน่

 

 

คนล้วนจากไปแล้ว ในห้องเหลือเพียงคุณหนูจวินคนเดียว นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับ เนิ่นนานถึงพรูลมหายใจยาว ยกมือดับโคมในห้อง

 

 

ราตรีมืดมิด โคมไฟมืดหม่น

 

 

มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ผู้คุ้มกันลาดตระเวนตอนกลางคืนมองไปอย่าระแวงทันที ยังไม่ทันเห็นชัดก็ได้ยินเสียงร้องเจ็ดปวดทีหนึ่งดังขึ้น

 

 

จูจั้นสูดลมเย็นดังซี๊ดซ๊าด ยื่นมือกุมหน้าผาก รู้สึกเพียงเวียนหัวตาลายงอตัวอย่างห้ามไม่ได้

 

 

“ท่านชาย? ท่านไม่เป็นไรนะขอรับ?” ผู้คุ้มกันทั้งหลายล้อมเข้ามาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย

 

 

ทำไมอยู่ดีๆ ชนต้นไม้เข้าเล่า?

 

 

ท่านชายดื่มจนเมาหรือ?

 

 

ต่อให้ดื่มจนเมา ท่านชายก็ไม่ใช่คนประเภทนั้นที่มองทางไม่ชัดชนต้นไม้นะ

 

 

จูจั้นก้มศีรษะโบกมือ

 

 

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ข้ากำลังหาของ” เขาเอ่ยเสียงงึมงำ “พวกเจ้าไปเถอะๆ”

 

 

ที่แท้กำลังหาของรึ?

 

 

บรรดาผู้คุ้มกันยกโคมส่องใต้ต้นไม้ ที่นี่มีของอะไรหรือ?

 

 

แต่จูจั้นไม่เป็นฝ่ายพูด พวกเขาย่อมไม่มีทางเป็นฝ่ายถามเช่นกัน

 

 

“ท่านชาย ต้องการโคมไหมขอรับ?” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งเอ่ยถาม

 

 

จูจั้นโบกมือ

 

 

“ไม่ต้องๆ” เขาเอ่ยตอบ ยังคงก้มตัวคล้ายกำลังหาอะไรอยู่ “พวกเจ้าไปเถอะ”

 

 

พวกผู้คุ้มกันไม่ลังเลอีกต่อไป คำนับแล้วเดินจากไป

 

 

จนกระทั่งคนเหล่านี้เดินจากไป จูจั้นถึงยกตัวขึ้นมา ยื่นมือกุมหน้าผากอีกครั้ง แตะตรงแผลที่ชนก็ร้องซี้ดอีกสองที

 

 

ไม่รู้ควรพูดอะไร เขาด่าคำหยาบประโยคหนึ่ง ยืนอยู่ที่เดิมตะลึงเล็กน้อย

 

 

นี่มันที่ไหนกัน?

 

 

เขาขมวดคิ้วพึมพำ

 

 

ขายหน้าจริงๆ ทำไมอยู่ดีๆ ก็งงงันงกๆ เงิ่นๆ ?

 

 

ความเจ็บแปลบบนหน้าผากทำให้เขาค่อยๆ ตื่นได้สติ คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เขาก็อดไม่ได้ออกแรงสูดหายใจพรูลมหายใจ

 

 

ฉู่ จิ่ว หลิง

 

 

นางคือ ฉู่จิ่วหลิง

 

 

พึ่บพั่บ จูจั้นตกใจตัวสั่น เสียงร้องประหลาดดังขึ้นทีหนึ่ง นกป่าตัวหนึ่งโฉบผ่านเหนือศีรษะไป

 

 

“มารดามัน” จูจั้นด่าทีหนึ่งอีกครั้ง เช็ดเหงื่อที่ผุดออกมาบนปลายจมูก

 

 

เขารู้สึกว่าตนเองควรคิดอะไรบ้างแต่ก็ไม่รู้ควรคิดอะไร ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่นิ่งอึ้ง ราตรีท่วมทับร่างของเขาไว้

 

 

นกร้องเหนือศีรษะดังเจี้ยวจ้าวลอยมา กิ่งไม้สั่นไหวน้ำค้างหยดร่วงบนใบหน้าของจูจั้น เขาตื่นได้สติ ในสายตาแสงอรุณขมุกขมัว ฟ้าสว่างแล้ว

 

 

ถึงกับนั่งหลับอยู่ที่นี่

 

 

ยังคิดว่าทั้งคืนคงหลับไม่ลงแล้ว กลับหลับลึกจนกระทั่งฝันก็ไม่ฝันสักอย่าง

 

 

จูจั้นส่ายศีรษะ คิดถึงเรื่องเมื่อคืนวาน เรื่องนั้นคงไม่ใช่แค่ฝันไปหรอกกระมัง?

 

 

จะฝันบ้าบอเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า?

 

 

เขานั่งนิ่งอึ้งครู่หนึ่งถึงลุกขึ้นขยับ ได้ยินเสียงดังอยู่ที่ลานฝึกไกลๆ บิดายังคงฝึกยุทธ์เป็นปรกติ

 

 

จูจั้นเพิ่มความเร็วฝีเท้า เพิ่งเดินมาถึงลานฝึกก็เห็นคนสองคนกำลังยิงธนูอยู่

 

 

คนหนึ่งคือเฉิงกั๋วกงผู้เป็นบิดา ส่วนอีกคนหนึ่งคือฟางเฉิงอวี่

 

 

“ท่านชายมาแล้ว” เสียงสตรีดังขึ้น

 

 

จูจั้นหันหน้ามองไปถึงมองเห็นคุณหนูจวินเดินมาด้วย สายตาสบกันนางก็ยิ้มเล็กน้อย

 

 

ทำอย่างไร? ทำอย่างไร?

 

 

จูจั้นในสมองสับสนก็หมุนตัวหันหน้าหนี

 

 

“ท่านชายเป็นอะไรไปแล้ว?” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะ

 

 

“อาจจะหิวกระมัง” นางเอ่ยขึ้น มองไปทางเฉิงกั๋วกงแล้วเบี่ยงประเด็น “ท่านกั๋วกง วิชาธนูของเฉิงอวี่ใช้ได้ไหมเจ้าคะ?”

 

 

……………………