ตอนที่ 227 ทานของว่าง 

 

 

 

 

 

อาภรณ์ที่ทั้งโดดเด่นและทันสมัยไม่เคยมีใครเคยพบเห็นมาก่อนเช่นนี้ ทำให้ดวงตาของเหล่าบรรดาชายหนุ่มล้วนเปล่งประกาย ทว่าเหล่าสตรีกลับกำหมัดด้วยความริษยา ที่กลับไม่สามารถทำตัวให้โดดเด่นสวยงามได้เท่าอวี้อาเหรา ในใจคิดว่าไหนเลยจะมีผู้ที่สวมเสื้อผ้าได้งดงามเท่านี้ ไม่ใช่สิ ควรจะต้องกล่าวว่าเมื่อชุดนี้สวมใส่ลงบนร่างของนางแล้วก็กลับดูดีขึ้นมาก ไม่เช่นนั้นหากเป็นคนทั่วไปสวมใส่แล้ว ก็ไม่มีทางดูมีความมั่นใจและสง่างามได้เพียงนั้นแน่ 

 

 

อวี้อาเหราเดินเข้าไปด้านในด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะหยุดฝีเท้าลงที่ข้างกระถางดอกโบตั๋นสีขาวเหล่านั้น สายตามองไปยังท้องฟ้า ยามนี้เวลาก็ใกล้เที่ยงวันเข้าไปแล้ว นางก็หิวเสียจนท้องร้องออกมา แล้วเหตุใดยามนี้ไม่เห็นแม้แต่เงาของฝ่าบาทกันนะ 

 

 

เจาเอ๋อร์เห็นใบหน้าของนางไม่ค่อยยินดีเท่าไรนัก จึงถามขึ้นว่า “คุณหนู เช่นนั้นพวกเราก็เข้างานกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ ทานขนมที่บ่าวเตรียมมาให้จากในห้องเสวยเมื่อครู่สักหน่อย หากเอาแต่รอฝ่าบาทอยู่เช่นนีก็ไม่รู้ว่าจะเสด็จมาเมื่อใด วันนี้ท่านยังไม่ได้ทานอะไรเลยนะเจ้าคะ” 

 

 

“อืม” อวี้อาเหราพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะหันไปเห็นว่าเริ่นฮูหยินกำลังพูดคุยอยู่กับบรรดาฮูหยินเหล่านั้น เช่นนั้นแล้วนางจึงไม่เข้าไปรบกวน เดินตามเจาเอ๋อร์เข้าไปนั่งลงบนที่นั่งของตนเอง ที่กลับกลายเป็นที่นั่งด้านหน้าสุด ส่วนด้านขวามือนั้นเป็นตำแหน่งของหลิงอ๋อง ด้านซ้ายไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ด้านบนนั้นกลับไม่มีชื่อใครกำกับไว้ 

 

 

“นี่คือที่นั่งของใครหรือ” นางเอ่ยถามนิ่งๆ 

 

 

“บ่าวก็ไม่แน่ใจเจ้าค่ะ ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่เจ้าหน้าที่พิธีการกำหนด ในเมื่อได้นั่งข้างจวนหลิงอ๋องของพวกเราเช่นนี้ สถานะก็คงไม่ต่ำต้อยเป็นแน่” เจาเอ๋อร์เอ่ยตอบ 

 

 

“อืม รีบนำของว่างมาให้ข้าทานเถิด” อวี้อาเหราสั่งพลางนั่งลง ก่อนจะเหลือบมองไปรอบๆ คนจำนวนไม่น้อยต่างเข้ามาในงานกันแล้ว ทว่าคนทั้งหมดล้วนมองมาที่นางด้วยความประหลาดใจ จนนางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกรำคาญใจ ยามที่กำลังทานอาหารไม่ว่าใครต่างก็ไม่ชอบให้ผู้ใดมองทั้งนั้น เช่นนั้นคิ้วของนางยิ่งขมวดเข้าหากันเรื่อย “จริงสิ ข้าก็ไม่เห็นอนุรองและอวี้จื่อเยียนเลย เสด็จพ่อให้ข้าดูแลพวกนาง เมื่อถึงเวลานั้นหากพวกนางหายไปคงไม่ดีแน่ ประเดี๋ยวก็ออกไปสั่งให้เหล่าองครักษ์ช่วยกันตามหาหน่อยเถิด” 

 

 

“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์พยักหน้าลงในทันใด ก่อนจะเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “แต่คุณหนูเจ้าคะ เหตุใดวันนี้ท่านจึงไม่พาชิงอวิ๋นมาด้วยล่ะเจ้าคะ” 

 

 

“ข้าพาเจ้ามาคนเดียวก็พอแล้ว อีกทั้งข้างกายยังมีพวกต้าเว่ยคอยคุ้มกันอยู่ ส่วนชิงอวิ๋นนั้นแน่นอนว่ามีเรื่องอื่นให้ทำอยู่แล้ว” อวี้อาเหราตอบด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน ก้มหน้าลงทานของว่างในมือคำแล้วคำเล่า อาหารในวังหลวงนั้นช่างแตกต่างกันจริงๆ แม้เพียงของว่างชิ้นเล็กๆ ก็ยังทำออกมาได้งดงามและอร่อยมาก เพียงไม่นานก็ทานจนหมดไม่เหลือ 

 

 

หลังจากที่เจาเอ๋อร์กลับมาแล้ว เมื่อเห็นว่านางทานเช่นนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “คุณหนูดูคุณหนูในจวนอื่นสิเจ้าคะ มีใครทานอาหารเหมือนท่านบ้าง พวกนางล้วนนั่งรออย่างสุภาพเรียบร้อย แม้ว่าจะหิวก็ไม่กล้าทานอะไร แต่คุณหนูกลับ…” 

 

 

“นั่นเป็นเพราะว่าแม้พวกนางจะตายแต่ก็ไม่ยอมเสียหน้า แต่ข้านั้น…ยอมเสียหน้า แต่ก็ไม่ยอมปล่อยให้ท้องหิวเด็ดขาด” มือของอวี้อาเหรายังไม่หยุด ยังคงหยิบของว่างเข้าปากต่อไป ทำให้ยามที่พูดจาติดๆ ขัดๆ ฟังไม่รู้เรื่องอยู่บ้าง 

 

 

เจาเอ๋อร์รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง ไม่กล่าวอะไรกับนางอีก เพราะไม่อยากให้ของที่อยู่ในปากของนางหกหล่น แล้วคุณหนูจวนอื่นเห็นเข้าจะหัวเราะเยาะเอาได้ 

 

 

แม้ว่าอวี้อาเหราจะทานอย่างรวดเร็ว แต่ว่าก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไรนัก 

 

 

จนกระทั่งหลังจากที่นางทานไปสักพัก นางถึงค่อยๆ รามือลง ในปากนั้นก็ยังบ่นพึมพำไม่หยุด “อร่อยก็อร่อยอยู่หรอก แต่ว่าเจาเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงเอามาเพียงเท่านี้เล่า” 

 

 

นางนั้นเป็นคนถ้าไม่มีเนื้อก็จะไม่ทาน หากเอาแต่ทางของว่างหรือขนมก็จะรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง ผลปรากฏว่ายามนี้นางทานของหวานไปมากเพราะว่าหิวจัด จนทำให้นางรู้สึกหวานเลี่ยนเป็นอย่างมาก 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 228 ใจลอย 

 

 

 

 

 

“ตอนแรกบ่าวก็คิดจะนำของอย่างอื่นมาด้วยเจ้าค่ะ แต่เกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นมองไม่ดี จริงๆ แล้วในห้องครัวยังมีไก่ย่างอยู่ แต่โชคดีที่บ่าวไม่ได้เอามา มิเช่นนั้นหากให้ใครเห็นว่าคุณหนูใช้มือถือไก่ย่างทานคงจะโดนเอาไปพูดลับหลังแน่ๆ เจ้าค่ะ” 

 

 

“เอาเถิด” อวี้อาเหราจึงจำต้องปล่อยวางความคิดเมื่อครู่ไป 

 

 

ยามที่นางกำลังเคาะฝ่ามือลงบนโต๊ะอย่างใจลอยอยู่นั้น ด้านนอกก็มีหญิงสาวในอาภรณ์สีเหลืองไข่ไก่เดินเข้ามานางหนึ่ง อวี้อาเหราเบิกดวงตากว้างจ้องมองไปอย่างพิจารณา ก่อนจะนิ่งงันไป “นั่นก็คือเริ่นหว่านเอ๋อร์มิใช่หรือ” 

 

 

เมื่อจาเอ๋อร์มองตามสายตาของนางไป ก็พยักหน้าลงน้อยๆ “เป็นคุณหนูหว่านเอ๋อร์จริงๆ เจ้าค่ะ” 

 

 

“พี่เหรา” เริ่นหว่านเอ๋อร์เองก็มองเห็นนางแล้วเช่นกัน จึงเดินผ่านฝูงชนเข้ามาหา 

 

 

“เมื่อครู่นี้ข้าพบกับฮูหยินบ้านรองของเจ้าด้วย” อวี้อาเหราตอบ 

 

 

“ท่านพบอาสะใภ้ของข้าแล้วหรือเจ้าคะ” เริ่นหว่านเอ๋อร์นิ่งอึ้งไปสักพัก 

 

 

“อืม นางคงกำลังพูดคุยอยู่ด้านนอก หากเจ้าอยากพบนางก็ไปเถิด” 

 

 

“ข้าไม่ไปดีกว่าเจ้าค่ะ” เริ่นหว่านเอ๋อร์แค่นจมูก “อาสะใภ้ชอบบงการให้ข้าทำนั่นทำนี่ หากนางพบข้าเข้าคงต้องด่าว่าสั่งสอนข้าเป็นครึ่งค่อนวันแน่ ข้าก็ฟังจนหูชาหมดแล้ว” 

 

 

นางกล่าววาจาด้วยสีหน้าท่าทางที่พยายามผ่อนคลาย ทว่าใบหน้ากลับไม่ค่อยยิ้มแย้มแม้แต่น้อย  คิดๆ ดูแล้วนางอาจจะยังคงเจ็บปวดเรื่องฟู่เส่าชิงอยู่กระมัง 

 

 

อวี้อาเหรามองนางอย่างพิจารณา อดไม่ได้ที่จะถามนางว่าขึ้นว่า “ตอนนี้เจ้ากับองค์ชายเป่ยเจียง…” 

 

 

“พี่เหรา ท่านอย่าได้พูดถึงคนผู้นั้นเลยเจ้าค่ะ ยามนี้เมื่อข้านึกถึงคำพูดที่เขาพูดกับข้าเมื่อวานแล้ว…” เริ่นหว่านเอ๋อร์พูดไปๆ น้ำเสียงของนางก็เริ่มที่จะแผ่วเบาลง ปลายหางตาราวกับมีหยาดน้ำเอ่อคลอ 

 

 

อวี้อาเหราเห็นดังนั้นก็รีบปิดปากลงไม่กล่าววาจา “ก็ได้ ข้าไม่พูดก็ได้ เจ้าก็อย่าร้องไห้อีกเลยนะ หากฝ่าบาดทอดพระเนตรเห็นเข้าก็คงไม่ดีนัก” 

 

 

“อืมๆ ขอบคุณพี่เหราเจ้าค่ะ” เช่นนี้แล้วเริ่นหว่านเอ๋อร์ก็พยายามที่จะฝืนยิ้มออกมา  

 

 

อวี้อาเหราเข้าใจเป็นอย่างดี แม้นเมื่อวานฟู่เส่าชิงจะปฏิบัติต่อนางเช่นนั้น แต่ในเวลาสั้นๆ เริ่นหว่านเอ๋อร์ก็ไม่มีทางที่จะปล่อยวางลงได้ แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว เพราะหลังจากนี้นางจะได้ไม่ต้องจมอยู่ในวังวนเช่นนี้อีก เมื่อถึงตอนนี้แม้จะเสียใจแต่ก็คงจะสายเกินไปแล้ว 

 

 

ไม่ว่าฟู่เส่าชิงจะมีเจตนาอะไรกันแน่ที่จงใจกล่าววาจาทำร้ายจิตใจผู้อื่นเช่นนี้ แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว 

 

 

ในสมองของนางย้อนนึกไปถึงเรื่องเมื่อวานที่นางเตะฟู่เส่าชิงไปอย่างแรงด้วยอารมณ์โกรธ ในยามนี้ที่นางพอจะสงบอารมณ์ลงได้แล้ว ก็หลีกเลี่ยงที่จะไม่รู้สึกผิดไม่ได้ บางครั้งอารมณ์ของนางก็หุนหันพลันแล่นจนเกินไป จนอดไม่ได้ที่จะทำกิริยาเช่นนั้นออกไป  

 

 

ถูกแล้วที่เจาเอ๋อร์จะกล่าวเช่นนั้น นางนั้นไม่ว่าอะไรก็ดีไปเสียหมด ยกเว้นเรื่องอารมณ์ที่ดูจะแย่อยู่บ้าง 

 

 

ทว่าอย่างไรเสียก็ไม่ใครที่จะสมบูรณ์ไม่มีข้อด่างพร้อยอยู่เลย แน่นอนว่าก็ต้องมีข้อบกพร่องกันบ้างทั้งนั้น 

 

 

“พี่เหรา ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ เหตุใดถึงใจลอยเช่นนี้?” เริ่นหว่านเอ๋อร์ยกมือขึ้นโบกตรงหน้านางสองสามครั้ง เรียกอยู่นานก็ยังไม่เห็นอวี้อาเหราได้สติกลับมา เช่นนั้นจึงทำได้แต่เพียงมองไปทางเจาเอ๋อร์ “นางเป็นอะไรไปกัน” 

 

 

“แค่กๆ ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ บางครั้งคุณหนูก็มักจะเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์กระแอมไปออกมาด้วยความจนใจ ทันใดนั้นก็ลอบหัวเราะเล็กน้อย “ทุกครั้งที่คุณหนูใจลอยนั้น ไม่พ้นต้องคิดถึงแต่เซิ่นซื่อจื่อเป็นแน่เจ้าค่ะ” 

 

 

“เซิ่นซื่อจื่อ?” เริ่นหว่านเอ๋อร์ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ “พี่เหรากับเซิ่นซื่อจื่อเกี่ยวข้องกันอย่างไรหรือ” 

 

 

“เจ้าเด็กนี่ เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้นะ” หลังจากที่อวี้อาเหราได้สติขึ้นมา ก็ได้ยินบทสนทนาของพวกนางเข้ามาในหู ทันใดนั้นก็เคาะหัวเจาเอ๋อร์ด้วยอารมณ์ไม่ดีนัก แล้วแค่นเสียงออกมาอย่างไม่พอใจว่า “หากเจ้ายังกล้าสอนอะไรไม่ดีให้หว่านเอ๋อร์อีก ระวังท่านพ่อของนางจะคิดบัญชีเจ้า” 

 

 

“โอ๊ย บ่าวไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ…” เจาเอ๋อร์หดคอ ก่อนจะพึมพำออกมาเสียงเบา “แต่ว่าบ่าวก็ไม่ได้พูดอะไรผิดนี่เจ้าคะ” 

 

 

“เจ้า…” อวี้อาเหราหมดคำที่จะว่ากล่าวในทันที