ตอนที่ 655 ประชุมราชกิจยามเช้าพร้อมกัน / ตอนที่ 656 เข้าวังหลวง

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 655 ประชุมราชกิจยามเช้าพร้อมกัน

 

 

นางชัดเจนว่าในเวลานี้เป็นเวลาที่นางกำลังสะดุดตาผู้คน พ่อลูกทั้งสองกอดกันไปเป็นกลุ่มก้อน เกรงว่าจะได้รับผลกระทบที่ไม่ดีนัก ดังนั้นจึงให้ซูไท่ไปก่อน ไม่จำเป็นต้องสนใจนาง

 

 

ซูไท่ก็รู้สึกว่าสิ่งที่นางพูดมีเหตุผลจึงไม่ได้โต้แย้งอะไร ดังนั้นขณะที่นางยืนรออยู่ที่ด้านประตู มีเพียงรถม้าคันหนึ่งเท่านั้นที่ยัง…

 

 

“ซูหลี!” ทันทีที่เฉิงเค่อเห็นซูหลี ใบหน้าก็เต็มไปด้วยเกลียดชัง เขาถึงขั้นอยากกระโจนเข้าไปกัดซูหลีสักสองสามทีเพื่อคลายความแค้นที่มีอยู่ในใจ

 

 

น่าเสียดายที่ในเวลานี้เขาถูกมัดอย่างแน่นหนา ส่วนเดียวที่สามารถขยับได้ก็คือเท้าของเขา เชือกที่มัดเขาไว้อยู่นั้น ปลายเชือกด้านหนึ่งนั้นถูกชุยตานจับไว้แน่น แม้เขาอยากจะขยับก็ขยับไม่ได้

 

 

ทั้งร่างถูกคนมัดไว้คล้ายกับวัวหรือแกะที่กำลังรอถูกเฉือดมิปาน

 

 

ซูหลีเดินออกมาเมื่อเห็นท่าทางของเขาแล้ว พลันรู้สึกเบิกบานในทันที

 

 

“อ้าว คุณชายเฉิง อรุณสวัสดิ์!”

 

 

“บังอาจทำกับข้าเช่นนี้ ซูหลี เจ้าไม่ต้องการชีวิตแล้วใช่หรือไม่” ขณะที่เฉิงเค่อเอ่ย ดวงตาของเขามีประกายความหวาดผวาพาดผ่าน

 

 

เขาเพิ่งจะตื่นขึ้นได้ไม่นาน เป็นเพราะมีคนกระชากเขาให้ตื่นขึ้น ส่วนคนที่กระชากเขาให้ตื่นขึ้นไม่ใช่คนอื่น นั่นก็คือชุยตานซึ่งเป็นเด็กรับใช้ข้างกายซูหลี

 

 

ชุยตานกระชากเขาจนตื่น ทว่ากลับไม่พูดอะไรออกมาสักประโยค ชุยตานเพียงให้เขากลืนยาเม็ดหนึ่งลงไป หลังจากนั้นมัดร่างของเขาและนำมาทางนี้

 

 

ซูหลีเห็นดังนั้นจึงเลิกคิ้วเล็กน้อย นางมองเขาด้วยรอยยิ้มที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “คนที่ไม่ต้องการชีวิต คงจะเป็นเจ้ากระมัง”

 

 

นางพูดจบก็ไม่รอให้เฉิงเค่อตอบรับ นางเข้าไปภายในรถม้าทันที

 

 

“ไปเถอะ การว่าราชกิจยามเช้าจะสายแล้ว” ซูหลีออกคำสั่งด้วยเสียงเยียบเย็น

 

 

“ขอรับ” ชุยตานได้ยินดังนั้นจึงไม่รอให้เฉิงเค่อมีท่าทีตอบสนอง ชุยตานลากเฉิงเค่อขึ้นบนรถม้า แน่นอนไม่ว่าไม่ได้ให้เขาเข้าไปอยู่ด้านใน แต่กลับให้เขาอยู่กับชุยตานด้านนอก เป็นคนขับรถม้าให้กับซูหลี

 

 

“ซูหลี เจ้าคนชั่ว เจ้ากล้า…” เฉิงเค่อพูดพึมพำด่าซูหลีอยู่ตลอด บัดนี้เขาไม่หลงเหลือมาดอะไรเลยแม้แต่น้อย หาได้เหมือนสี่อัจฉริยะของสำนักฉยงสือไม่ แต่กลับเหมือนกันอันธพาลในเมืองนี้ก็มิปาน!

 

 

“ชุยตาน นำยาใบ้มาด้วยหรือไม่” ซูหลีที่อยู่ด้านในรถม้าทนฟังเขาบ่นพร่ำอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน

 

 

ชุยตานที่กำลังกวดม้าอยู่นั้นเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ จึงอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่ง ซูหลีไม่ได้มอบยาใบ้อะไรเขาไว้ เพียงแต่มอบยาเม็ดที่ทำให้คนไร้เรี่ยวแรงไว้ให้เท่านั้น และสั่งให้เขานำยาเม็ดนี้ยัดเข้าปากเฉิงเค่อเสีย

 

 

ทว่าในเมื่อซูหลีถามเช่นนี้ขึ้น ชุยตานจึงตอบตามน้ำว่า “นำมาขอรับ”

 

 

เฉิงเค่อที่ได้ยินคำพูดของนายบ่าวทั้งสองคนคุยกัน สีหน้าจึงเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เขาอดกลั้นความโกรธและเอ่ยอย่างโมโหว่า “ซูหลี เจ้าต้องการกระทำสิ่งใด”

 

 

“ไม่มีอะไร เพียงแต่รู้สึกว่าเสียงดังรบกวนเกินไปแล้ว หากคุณชายเฉิงยังกล้าเอ่ยอะไรออกมา หลังจากนี้ก็ไม่ต้องพูดแล้ว ฟังแล้วช่างน่ารำคาญเสียจริง” น้ำเสียงเกียจคร้านของซูหลีดังมาจากด้านหลัง

 

 

เฉิงเค่อได้ยินแล้วสีหน้าพลันย่ำแย่จนถึงที่สุด ทว่ากลับไม่กล้าเอ่ยคำพูดประชดประชันซูหลีอีก เพียงครู่หนึ่งก็เงียบลงทันที

 

 

ซูหลีที่อยู่ภายในรถม้าไม่ได้ยินของเขาพูดอะไรออกมา นางพลันหัวเราะเยาะออกมา

 

 

เฉิงเค่อผู้นี้ยังคิดว่าตนเองเป็นวีรบุรุษผู้หนึ่งอยู่อีกหรือ เขากระทำเรื่องดีอะไรกันถึงได้กล้าแสดงท่าทางเช่นนี้และเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา

 

 

ซูหลีส่งเสียงแสดงความไม่พอใจออกมา แล้วไม่สนใจเขาอีก หลับตาลงอย่างเกียจคร้านและพักผ่อนไปครู่หนึ่ง

 

 

อีกสักครู่ยังมีเรื่องสนุกสนานให้รับชมอีก นางจักต้องเตรียมกำลังวังชาให้ดี นี่ถึงจะสามารถสอนบทเรียนดีๆ ให้กับเฉิงเค่อ

 

 

ซูหลีนั้นไม่ใช่คนดีอะไรนัก ทว่าเมื่อพบเดนมนุษย์อย่างเฉิงเค่อ นางกลับรู้สึกสะอิดสะเอียนเป็นอย่างมาก

 

 

พอดีเลย บัญชีความแค้นครั้งเก่ากับครั้งใหม่จะชำระแค้นกันในครานี้!

 

 

“หยุด!”

 

 

“นายน้อยถึงแล้วขอรับ”

 

 

 

 

ตอนที่ 656 เข้าวังหลวง

 

 

ซูหลีที่อยู่ในรถม้าปรือตาของตนขึ้นมา นางส่งเสียงขานรับแล้วเดินลงมาทางรถม้า

 

 

เฉิงเค่อถูกชุยตานดึงให้ลุกขึ้นทางด้านหนึ่ง

 

 

เมื่อมองไปยังวังหลวงที่โอ่อ่าหรูหรา ในที่สุดสีหน้าของเฉิงเค่อก็เปลี่ยนไป

 

 

“ซูหลี เจ้าพาข้ามาที่นี่คิดจะกระทำสิ่งใด” ในเวลานี้เขาไม่ใส่ใจคำขู่ที่ซูหลีกล่าวก่อนหน้านี้ทั้งนั้น เขารู้สึกกระสับกระส่ายในใจ จึงเอ่ยประโยคนี้ออกมา

 

 

ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงกวาดตามองเขาปราดหนึ่ง ทว่านางกลับไม่คิดจะตอบเขา

 

 

ชุยตานเห็นซูหลีมองมา จึงส่งเชือกในมือให้ซูหลีอย่างนอบน้อม

 

 

“รออยู่ตรงนี้แล้วกัน” ซูหลีกระซิบสั่งชุยตานด้วยเสียงแผ่วเบา ชุยตานได้ยินดังนั้นจึงขานรับ จากนั้นออกไปพร้อมกับรถม้า

 

 

“ซูหลี เจ้า…” เฉิงเค่อยังต้องการพูดอะไรบางอย่าง ทว่าซูหลีกลับไม่ให้โอกาสเขา นางเพียงดึงเชือกและจูงเขาไปด้วย มิผิดนางจูงเฉิงเค่อไปคล้ายกับจูงวัวก็มิปาน จากนั้นจึงเดินเข้าไปในวังหลวง

 

 

วังหลวงไม่ใช่สถานที่ที่ทุกคนจะเข้าไปได้ ทหารที่เฝ้ายามมองซูหลีที่สวมชุดขุนนางขั้นหนึ่งระดับล่าง จึงไม่กล้าก้าวก่ายอะไรมาก เพียงแต่คนที่นางลากมาด้วยนั้น…

 

 

เดิมทีทหารที่เฝ้ายามอยากจะขัดขวางซูหลีเอาไว้ ทว่าคนที่อยู่ด้านข้างพูดเตือนสติเขาประโยคหนึ่ง จากนั้นจึงเห็นเข็มขัดหยกขาวบนเอวซูหลี

 

 

เป็นเข็มขัดหยกขาวที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้ ทั้งเมืองมีเพียงแค่จี้เหิงหรานกับซูหลีเท่านั้นที่มี ของสิ่งนี้แสดงถึงความโปรดปรานของฮ่องเต้

 

 

ในชั่วขณะนี้ ทหารผู้นั้นไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก เขามองซูหลีที่กำลังดึงจูงเฉิงเค่อที่ถูกมัดอย่างแน่นหนาเข้าไปในวัง ดูแล้วคล้ายกับจูงสัตว์เลี้ยงก็มิปาน

 

 

“ซูหลี ซูหลี!” ตลอดทางที่เข้าวัง สีหน้าของเฉิงเค่อก็เปลี่ยนไปในที่สุด ทว่าไม่ใช่ความโกรธแต่กลับเป็นความตื่นตระหนก

 

 

เดิมเขาคิดว่าทหารที่เฝ้าประตูคงจะไม่ปล่อยพวกเขาเข้ามา คิดไม่ถึงว่าคนเหล่านั้นจะทำเหมือนแกล้งไม่เห็นพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น

 

 

เขาเห็นซูหลีที่สวมชุดขุนนาง อีกทั้งในเวลานี้ยังปรากฏตัวที่วังหลวง เขาก็ทราบโดยปริยายว่าซูหลีกำลังไปว่าราชกิจยามเช้า ทว่าไยถึงพาเขาไปว่าราชกิจยามเช้าด้วยเล่า

 

 

“หุบปาก!” เฉิงเค่อต้องการจะถามอะไรบางอย่าง คิดไม่ถึงว่าซูหลีจะหันศีรษะกลับมาและมองเขาด้วยสายตาเยียบเย็น แววตานั้นดูนิ่งเฉย เฉิงเค่อดูแล้วในใจกลับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นหลายส่วน

 

 

“คุณชายเฉิง ที่นี่เป็นวังหลวง ใครที่เข้ามาร้องแรกแหกกระเชอเช่นนี้ เจ้ามีศีรษะกี่หัวให้ตัดทิ้งกัน อีกทั้งวันนี้ทำไมข้าถึงนำเจ้ามาที่นี่ เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ” ซูหลีมองเฉิงเค่อด้วยสายตาเยียบเย็น หลังจากเอ่ยคำพูดไม่กี่ประโยคนี้ออกมาก็หมุนกายเดินจากไป

 

 

ทันทีที่นางเดินไป เฉิงเค่อก็จำเป็นต้องเดินตามนาง

 

 

สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นย่ำแย่จนถึงขีดสุด แน่นอนว่าเฉิงเค่อก็เข้าใจว่าซูหลีหมายความว่าอย่างไร

 

 

เขาเองก็ใจฝ่อ เมื่อวานนี้เขาไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไรไปแล้วถึงกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ หากลู่เหมียนเหมียนผู้นั้นเป็นชาวบ้านทั่วไปก็คงไม่เป็นอะไร ทว่านางเป็นถึงบุตรีของแม่ทัพลู่ ในครอบครัวของแม่ทัพลู่มีบุตรชายอยู่จำนวนไม่น้อย ทว่ามีบุตรีเพียงคนเดียวเท่านั้น

 

 

ยามปกติ แม้รู้ว่าลู่เหมียนเหมียนจะมีชื่อเสียงไม่ดีนัก ทว่าผู้ที่คุ้นเคยกับสกุลลู่จะทราบอย่างแจ่มแจ้งว่าแม่ทัพลู่นั้นรักและทะนุถนอมลู่เหมียนเหมียนเป็นอย่างมาก

 

 

นี่…

 

 

เฉิงเค่อคิดเช่นนี้ กวาดมองซูหลีด้วยความเคียดแค้น หากไม่ใช่เพราะซูหลีผู้นี้เข้ามาวุ่นวาย เมื่อวานนี้ลู่เหมียนเหมียนยังไม่ได้ถูกเขาทำอะไร ไยถึงถูกลากมาที่หน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้เช่นนี้!

 

 

อีกทั้งยังลากเขาเข้าไปในวังหลวงคล้ายกับสัตว์เลี้ยงในช่วงว่าราชกิจยามเช้าเช่นนี้

 

 

เฉิงเค่อแทบจะเข้าไปขย้ำซูหลีให้ตาย!

 

 

ทว่าบัดนี้ร่างกายเขาไม่มีเรี่ยวแรง แม้แต่จะดิ้นรนก็ยังดิ้นรนไม่ไหว นับประสาอะไรกับกระทำอย่างอื่น เขาทำได้เพียงปล่อยให้ซูหลีลากเขาเดินเข้าไปหน้าประตูตำหนักอวิ๋นเซียว

 

 

บัดนี้ราชกิจยามเช้าได้เริ่มขึ้นแล้ว