ตอนที่ 657 ลงโทษตามกฎหมาย / ตอนที่ 658 พยานอยู่ที่ใดกัน

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 657 ลงโทษตามกฎหมาย

 

 

ซูหลีออกมาจากจวนค่อนข้างช้า อีกทั้งยังเสียเวลาเล็กน้อย ดังนั้นจึงมาถึงสายไปบ้าง

 

 

บัดนี้ขุนนางทุกคนมาถึงแล้ว ฮ่องเต้ทรงประทับบนเก้าอี้มังกรบนพระที่นั่ง หากนางเข้าไปในเวลานี้ เกรงว่าจะกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน!

 

 

ทว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ซูหลีกลับยังไม่ตื่นตระหนกและรีบร้อน ถึงขั้นริมฝีปากยังมีรอยยิ้มประดับอยู่ นางก้าวเท้าเดินเข้าไปภายในตำหนักอวิ๋นเซียว พร้อมทั้งลากเฉิงเค่อเข้าไปด้วย

 

 

ในตำหนักหวงเผยซานกำลังกลั้นหายใจและเตรียมจะเอ่ยคำว่า ‘ทรงว่าราชกิจ’ คิดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันเอ่ยอะไร ซูหลีก็เดินเยื้องย่างเข้ามาจากด้านนอก ทำให้เขาไม่สามารถปล่อยลมที่กลั้นไว้ออกมา เขาแทบจะหายใจไม่ออก

 

 

“นี่…”

 

 

“นี่เกิดอะไรขึ้นกัน”

 

 

“ไม่แน่ใจ”

 

 

“นั่นไม่ใช่ซูหลีหรือ”

 

 

“คนที่ถูกมัดมาผู้นั้นเป็นใครเป็นกัน”

 

 

“คนผู้นั้นดูคุ้นตานัก ดูเหมือนจะเป็นบุตรของใต้เท้าเฉิง เฉิงเหว่ย ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่!”

 

 

 

 

ทันทีซูหลียืนสะเปะสะปะอยู่ในตำหนัก ก็ทำให้ทั้งตำหนักอวิ๋นเซียวเริ่มร้อนระอุขึ้นมาทันใด

 

 

เหล่าขุนนางที่รับชมอยู่ด้านข้างต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ เพียงชั่วพริบตาเดียวทุกตำแหน่งก็มีเสียงเอะอะดังขึ้นดังมาก

 

 

ท่าทางของนางและความวุ่นวายที่นางก่อขึ้นนี้ ไม่เคยทำให้ซูหลีมีสีหน้าเปลี่ยนไป ในทางกลับกันรอยยิ้มบนใบหน้าของนางกลับลึกซึ้งมากกว่าเดิม นางเดินเข้ามายืนตรงกลางแล้วปล่อยมือออก จากนั้นคุกเข่าลงและเอ่ยว่า

 

 

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!”

 

 

เมื่อนางคำนับและทำความเคารพเช่นนี้ เฉิงเค่อที่อยู่ด้านข้างตะลึงค้าง หลังจากผงะไปครู่หนึ่ง เขาก็รีบคุกเข่าตามซูหลี

 

 

เฉิงเค่อเพียงรู้สึกตื่นตระหนก จึงไม่สังเกตเห็นว่าแถวขุนนางฝ่ายบู๊ที่อยู่ด้านข้างนั้น มีคนหนึ่งที่กำลังจ้องเขาด้วยความเคร่งขรึม สายตาของขุนนางผู้นั้นราวกับจะหั่นเฉิงเค่อเป็นชิ้นๆ ก็มิปาน!

 

 

“ลุกขึ้น” ฉินเย่หานหรี่ตาเล็กน้อยแล้วกวาดตามองที่ซูหลี จากนั้นจึงเอ่ยด้วยใบหน้านิ่งเฉย

 

 

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงลุกขึ้นยืน ทว่าเมื่อนางลุกขึ้นแล้ว เฉิงเค่อผู้นั้นกลับไม่กล้าลุกขึ้นยืน

 

 

ในเวลานี้เฉิงเค่อนั้นหลงเหลือความกล้าเหมือนกับตอนที่ก่นด่าซูหลีก่อนหน้านี้เสียที่ไหน ร่างทั้งร่างของเขาสั่นสะท้าน ใบหน้าซีดขาวจนถึงขีดสุด เขาครุ่นคิดอยู่ในใจว่าตนควรจะทำอย่างไรดี

 

 

อีกทั้งบิดาของเขา เฉิงเหว่ยยังอยู่ด้านข้างพอดี เมื่อเขาชำเลืองเห็นบุตรที่มิได้กลับบ้านมาหนึ่งราตรี แต่กลับถูกมัดไว้อย่างแน่นหนาและปรากฏตัวที่ตำหนักแห่งนี้ด้วยท่าทางประหนึ่งสุนัขจนตรอก สีหน้าของเฉิงเหว่ยก็เปลี่ยนไปในทันที

 

 

ขณะที่ต้องการจะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา ทว่ากลับเห็นซูหลีกวาดตามองเขาด้วยใบหน้าที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเสียก่อน เมื่อเฉิงเหว่ยถูกนางมองเช่นนี้ หัวใจก็รู้สึกตึงเครียดเกร็งไปหมด ร่างกายก็เปลี่ยนเป็นไม่สงบนิ่งนัก

 

 

“ใต้เท้าซู บนท้องพระโรงจักต้องรู้จักเจียมตัวและสำรวม นี่เจ้ากำลังกระทำสิ่งใดกัน” บิดาของเซี่ยอวี่เสียน ซึ่งถือเป็นอาจารย์ของซูหลีในอดีต บัณฑิตเซี่ย เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้จึงเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็นอย่างอดไม่ได้

 

 

ซูหลีปรายตามองบัณฑิตเซี่ยผู้นั้นปราดหนึ่ง จากนั้นจึงหันศีรษะเผชิญหน้ากับฉินเย่หานที่อยู่บนพระที่นั่ง แล้วเอ่ยเสียงดังว่า

 

 

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ทันทีที่พูดจบ ทั่วทุกสารทิศก็ตกอยู่ในความเงียบงัน

 

 

ซูหลีเป็นคนที่ไม่รู้จักสำรวม การที่นางลากคนที่มัดไว้หยุดอยู่หน้าพระพักตร์ฮ่องเต้เช่นนี้ นี่ถือว่าเป็นครั้งแรก มีหลายคนที่รู้สึกว่าซูหลีใจกล้าบ้าบิ่น และมีคนบางส่วนพอจะมองออกว่ามีเงื่อนงำ พวกเขารอฟังคำพูดต่อไปของซูหลี

 

 

“พูดมา!” ฉินเย่หานกวาดตามองนางปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็น

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีขานรับ จากนั้นหมุนกายมองที่เฉิงเค่อด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แผ่นหลังเฉิงเค่อมีเหงื่อเย็นผุดเต็มไปหมด เมื่อถูกนางมองเช่นนี้ยิ่งรู้สึกอกสั่นขวัญหาย

 

 

“กระหม่อมต้องการฟ้องร้องเฉิงเค่อ บุตรของใต้เท้าเฉิง เฉิงเหว่ย ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ ปล้นสวาทสตรี กระทำเรื่องที่ไร้คุณธรรม การกระทำเช่นนี้ช่างโหดเ**้ยม ใต้เท้าเฉิงนั้นเป็นถึงผู้บัญชาการของศาลต้าหลี่ บุตรชายแม้รู้กฎหมาย ทว่ากลับยังกระทำผิด ช่างน่ารังเกียจโดยแท้ ฮ่องเต้โปรดทรงตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ โปรดทรงนำคนชั่วที่โหดเ**้ยมเช่นนี้ลงโทษตามกฎหมายด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 658 พยานอยู่ที่ใดกัน

 

 

ทั้งท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงฮือฮา

 

 

ทุกคนมองไปที่เฉิงเค่ออย่างไม่น่าเชื่อสายตา เชิงเค่อนั้นยังถือว่าเป็นคนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงคนหนึ่งในเมืองหลวง

 

 

แม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงเท่ากับจี้ฉินและเซี่ยอวี่เสียน เขาก็ถือเป็นคุณชายที่สง่างามมีชื่อเสียงคนหนึ่งในเมืองหลวง โดยเฉพาะเขาขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำของสี่อัจฉริยะของสำนักฉยงสือ ในใจของหลายคนล้วนคิดว่าต้องเป็นบุคคลที่มีคุณธรรมสูงส่ง ไยถึงสามารถกระทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้

 

 

“นี่ เป็นไปได้อย่างไรกัน”

 

 

“สกุลเฉิงเป็นสกุลที่มีคุณธรรมในเมืองหลวง ไยเฉิงเค่อถึงได้กล้ากระทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้กัน”

 

 

“คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกระมัง…”

 

 

เพียงชั่วพริบตาเดียวทั้งท้องพระโรงก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ทว่าคนส่วนมากดูแล้วยังมีความไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี

 

 

“ใต้เท้าซู!” และในเวลานี้เองมีคนผู้หนึ่งยืนขึ้น

 

 

ซูหลีกวาดตามองคนนั้น ใบหน้าของคนผู้นี้เป็นคนที่นางไม่คุ้นเคย

 

 

“ก่อนหน้านี้เคยได้ยินมาว่าใต้เท้าซูกับคุณชายเฉิงมีความขัดแย้งกันอยู่ วันนี้ใต้เท้าซูกลับกระทำเช่นนี้ออกมา หรือต้องการอาศัยเรื่องส่วนตัวมาแก้แค้น จึงอยากใช้วิธีเช่นนี้แก้แค้นคุณชายเฉิงกระมัง” ซูหลีไม่รู้จักว่าคนผู้นี้เป็นใครก็ช่างเถอะ แต่ทันทีที่เขาเปิดปากพูด ซูหลีก็รู้ทันคนผู้นี้พุ่งเป้าไปที่เฉิงเค่อ

 

 

นางไม่รู้จัก ทว่าคนรอบข้างนั้นรู้จักดี คนผู้นี้เป็นขุนนางในศาลต้าหลี่คนหนึ่ง เขานับว่าเป็นคนใต้อาณัติของเฉิงเหว่ย หากเขาออกตัวช่วยเฉิงเค่อก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่แล้ว

 

 

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเฉิงเค่อ เฉิงเหว่ยจึงไม่สามารถออกมาโต้แย้งใดๆ ด้วยประการต่างๆ การให้คนใต้อาณัติเอ่ยปากถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

 

 

“อีกประการหนึ่ง ทุกคนล้วนทราบด้านดีว่าคุณชายเฉิงนั้นเป็นสุภาพบุรุษ อีกทั้งชื่อเสียงทุกด้านของคุณชายในเมืองหลวงยังดีกว่าใต้เท้าซูอยู่มากโข จู่ๆ ใต้เท้าซูนำโทษอันใหญ่หลวงเช่นนี้มากล่าวหาผู้อื่น เลื่อนลอยไม่มีหลักฐาน ใครเขาจะเชื่อเจ้ากัน?”

 

 

อย่าพูดเลยว่า ฝีปากของเหล่าขุนนางเหล่านี้ช่างลื่นไหลโดยแท้ คำพูดแค่คำสองคำก็สามารถดึงเรื่องนี้มาไว้บนศีรษะนางแล้ว หากซูหลีไม่มีหลักฐานละก็ เกรงว่าวันนี้เฉิงเค่อคงจะไม่ได้รับโทษอะไร อีกทั้งยังทำให้นางถูกหางเลขและเสียหน้าที่เข้าไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย

 

 

ขุนนางในท้องพระโรงนั้นช่างจัดการได้ยากกว่าคนภายนอกอยู่มาก

 

 

ซูหลีเห็นภาพเหล่านี้ในสายตา สีหน้าของนางกลับไม่ร้อนรน ในทางกลับกัน นางก้มศีรษะกวาดตามองไปที่เฉิงเค่อปราดหนึ่ง

 

 

หลังจากเห็นคนผู้นั้นลุกขึ้นมา สีหน้าของเฉิงเค่อก็ดูดีขึ้นมาไม่น้อย ทว่า…

 

 

เฉิงเค่อกวาดสายตามองไปทางหนึ่งอย่างอดไม่ได้ เขายังกลัววว่าซูหลีจะมีหลักฐานอะไรขึ้นมาจริงๆ เรื่องนี้หากเล็ดลอดออกไปแม้แต่นิดเดียวคง เป็นเรื่องไม่น่าฟังนัก คนสกุลลู่คงจะไม่โง่เขลาขนาดนั้น หากชื่อเสียงของลู่เหมียนเหมียนต้องเสียหาย พวกเขาก็ต้องให้เฉิงเค่อได้รับโทษเช่นกันกระมัง?

 

 

“ทูลฝ่าบาท บนท้องพระโรงไม่ควรให้อภัยคนที่เหิมเกริมเช่นนี้ แม้จะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต ซูหลีก็ไม่สมควรมัดคนและนำเข้ามาสถานที่นี้และในเวลานี้ กระหม่อมคิดว่าไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ก็ควรเห็นเรื่องการบริหารบ้านเมืองเป็นเรื่องสำคัญพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ยังมีพวกที่พูดไกล่เกลี่ยออกมาลุกขึ้นยืนไม่พูดว่าใครผิดใครถูก เพียงแต่เอ่ยว่าไม่เหมาะสมที่จะพูดเรื่องนี้ในท้องพระโรงซึ่งประชุมราชกิจยามเช้า

 

 

ซูหลีเห็นอย่างชัดแจ้ง ใบหน้าของซูหลีมีรอยยิ้มเย็นชาอย่างอดไม่ได้ นางพลันแหงนศีรษะขึ้นมองไปที่ฉินเย่หานที่นั่งอยู่เบื้องบนโดยตรง แล้วเอ่ยเสียงสูงว่า

 

 

“ฝ่าบาท ในเมื่อกระหม่อมกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมา ไม่มีทางที่จะไม่เตรียมการล่วงหน้าอะไรทั้งสิ้น เรื่องทั้งหมดที่คุณชายเฉิงกระทำ แม้จะไม่มีหลักฐานอะไร ทว่ามีพยานบุคคล!”

 

 

เมื่อคำพูดนี้เอ่ยจบ ทั้งท้องพระโรงก็ตกอยู่ในความเงียบงัน

 

 

เมื่อเฉิงเค่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ ใบหน้าก็ซีดขาวทันที หรือซูหลีและคนสกุลลู่จะบ้าไปแล้ว

 

 

“พยานอยู่ที่ใดกัน ใต้เท้าซูหากท่านหาสตรีมาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วพูดว่าถูกคุณชายเฉิงล่วงเกิน พวกเราก็ต้องเชื่อท่านด้วยหรือ” ผู้ที่ลุกขึ้นมาพยายามทำให้เฉิงเค่อหลุดพ้นจากความผิดผู้นั้น เอ่ยคำพูดประโยคนี้เสริมขึ้นเพื่อจะได้ ให้คนอื่นเห็นตาม

 

 

ที่จริงแล้วคำพูดนี้ถือว่ามีการใช้เล่ห์เหลี่ยมช่วยพลิกแพลง อีกทั้งยังเป็นคำพูดที่ค่อนข้างน่ารังเกียจ