ตอนที่ 375 โปรดยั้งกระบี่ไว้ไมตรี
“คุณชายหลินได้โปรดยั้งกระบี่ไว้ไมตรี”
เสียงตะโกนดังขึ้นโดยไม่คาดคิด
มุมปากของหลินเป่ยเฉินกระตุกเป็นรอยยิ้มเหยียดหยาม กระบี่ที่กำลังจะจ้วงแทงออกไปหยุดชะงักกลางอากาศ
เขาค่อยๆ หมุนตัวกลับมามองหาคนร้องตะโกน
และเด็กหนุ่มก็ได้พบว่าเจ้าของเสียงตะโกนนั้นเป็นชายหนุ่มชุดขาวแต่งกายภูมิฐาน มีเจ้าหน้าที่มือปราบติดตามรอบกายหลายสิบคน
“คุณชายหลินได้โปรดยั้งกระบี่ไว้ไมตรี” ชายหนุ่มชุดขาวส่งเสียงตะโกนออกมาอีกครั้ง
เขามีอายุประมาณ 20 ปี ร่างผอม ไหล่กว้าง ใบหน้าหล่อเหลา ดูเป็นคนดี เวลาพูดจาใบหน้าประดับรอยยิ้มเสมอ ให้ความรู้สึกของการไม่มีพิษมีภัยต่อใครทั้งสิ้น
ชายหนุ่มชุดขาวหอบหายใจเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวต่อ “ขออภัยที่ข้ามาสาย หวังว่าคุณชายหลินคงไม่ถือสา แต่ท่านจะล่วงเกินคุณชายและคุณหนูคู่นี้ไม่ได้จริงๆ ทั้งสองท่านมีนามว่าคุณชายหานเฉิงและคุณหนูไท้เสว่เหมย เพื่อเห็นแก่หน้าข้า หวังว่าคุณชายหลินคงจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปนะขอรับ…”
“เจ้าเป็นใคร?”
หลินเป่ยเฉินถามเสียงแข็งกระด้าง
“ข้าพเจ้ามีนามว่าฉุยหมิงโหลว” ชายหนุ่มชุดขาวประสานมือยิ้มแย้ม “คุณชายหลินอาจไม่รู้จักข้า แต่ท่านต้องรู้จักบิดาของข้าแน่ เขามีนามว่าฉุยเฮาเฟิงขอรับ”
ฉุยเฮาเฟิง?
นั่นมันชื่อของเจ้าเมืองคนใหม่ไม่ใช่หรือ?
บรรดาผู้คนที่มุงดูอยู่โดยรอบพร้อมใจกันส่งเสียงอุทานด้วยความตกตะลึง
นี่คือบุตรชายของท่านเจ้าเมืองคนใหม่
ดูเป็นคนดีใช้ได้ทีเดียวนี่นา
“เจ้าอยากให้ข้าไว้ชีวิตพวกมันหรือ?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วมองหน้าฉุยหมิงโหลวและถามย้ำทีละคำ “เมื่อสักครู่ตอนที่พวกมันคิดสังหารข้า คุณชายฉุยไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ทำไมไม่ออกมาห้ามปรามเช่นนี้บ้าง?”
“คุณชายหลินได้โปรดให้อภัยด้วย ข้าต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขกเหรื่อมากมาย จึงไม่ทราบว่าเกิดเรื่องราวขึ้นแล้ว แต่เมื่อได้รับทราบข่าว ข้าก็รีบมาที่นี่ทันที โชคดีที่มาได้ทันเวลา ก่อนที่คุณชายหลินจะก่อความผิดพลาดครั้งใหญ่…”
ฉุยหมิงโหลวรีบอธิบายด้วยสีหน้าขออภัย จากนั้นจึงกล่าวต่อไปว่า “คุณชายหลินได้โปรดเห็นแก่หน้าข้า ไว้ชีวิตพวกเขาสองคนนี้ด้วยเถิด”
“ฝีมือการแสดงของเจ้าใช้ได้เหมือนกันนี่”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะเย้ยหยันและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แต่เจ้าใหญ่โตมาจากไหน มีค่าคู่ควรให้ข้าไว้หน้าเจ้าด้วยหรือ?”
ฉุยหมิงโหลวชะงักกึก ตอนแรกคิดว่าตนเองหูฝาด ก่อนพูดว่า “คุณชายหลินล้อเล่นแล้ว…”
“เจ้าเป็นใคร? ทำไมข้าต้องไปล้อเล่นกับเจ้า?” หลินเป่ยเฉินกวาดตามองเจ้าหน้าที่มือปราบทุกคนที่อยู่ข้างกายชายหนุ่มชุดขาว แล้วเขาก็ส่งเสียงคำรามว่า
“เจ้าพาเจ้าหน้าที่มือปราบกลุ่มนี้มาถึงที่นี่ก่อนหน้านี้นานแล้ว ซ้ำยังเห็นหานเฉิงทำร้ายชาวเมืองอย่างอุกอาจ แต่เจ้ากลับหลบซ่อนตัวเฝ้าดูด้วยความสนุกสนาน คิดไม่ถึงว่านอกจากไม่ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ เจ้ากลับเสนอหน้าออกมาช่วยชีวิตวายร้ายทั้งสองตัวคู่นี้ด้วย แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรเห็นแก่หน้าเจ้าหรือไม่?”
ฉุยหมิงโหลวไม่รู้จะตอบรับอย่างไรดีอีกแล้ว
ก็ไหนว่าหลินเป่ยเฉินเป็นพวกสมองไม่ปกติไงเล่า?
“ต่อให้คุณชายหลินไม่เห็นแก่หน้าข้า ก็คงต้องเห็นแก่หน้าบิดาของข้าบ้างกระมัง” ฉุยหมิงโหลวสีหน้าแปรเปลี่ยนไปแล้ว เขาพยายามกัดฟันข่มความเดือดดาล “คุณชายหานและคุณหนูไท้ เป็นแขกที่บิดาของข้าเชิญมาเองขอรับ”
“แขกอย่างนั้นหรือ”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เจ้ารู้ตัวว่าสู้ข้าไม่ได้ ก็เลยเอาชื่อบิดามาแอบอ้าง สมควรแล้วที่ข้าจะไม่เห็นแก่หน้าเจ้าตั้งแต่แรก ข้าขอบอกให้รู้ไว้ว่าไม่มีใครจะมาสั่งข้าได้ทั้งนั้น เพราะข้าจะทำตามสิ่งที่หัวใจของตนเองเรียกร้องเสมอ…”
เด็กหนุ่มหันหน้าไปหาหานเฉิง แล้วพูดว่า “เจ้าจัดการสังหารคุณหนูแซ่ไท้คนนั้นซะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
ขาดคำ หานเฉิงที่ร่างกายหยุดชะงักก็สามารถกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง
เขาหันไปมองหน้าไท้เสว่เหมย
หญิงสาวมีแววตาตื่นกลัวขึ้นมาทันที
หานเฉิงพลันส่งเสียงกู่ร้องและตวัดกระบี่พุ่งเข้ามาโจมตีใส่หลินเป่ยเฉิน
“เจ้าคิดผิดแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยกกระบี่จันทราพิฆาตในมือขึ้นปัดป้องกันการจู่โจมของฝ่ายตรงข้ามให้ล่าถอยกลับไปโดยไม่เหนื่อยแรงแม้แต่น้อย
จากนั้น เขาหันไปมองหน้าไท้เสว่เหมย พูดว่า “เจ้าจัดการฆ่าหานเฉิงซะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
ไท้เสว่เหมยก็สามารถกลับมาขยับเขยื้อนร่างกายได้แล้วเช่นกัน
นางมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง เมื่อมั่นใจแล้วว่าเด็กหนุ่มไม่ได้ล้อเล่น ไท้เสว่เหมยก็ตัดสินใจเด็ดขาด นำกระบี่ในมือทิ่มแทงไปยังหัวใจของหานเฉิง
สีหน้าของชายหนุ่มบอกว่าเขาไม่อยากเชื่อ
“เฮ้อ นอกจากโง่เขลาแล้ว ยังเลวทรามอำมหิตถึงขนาดนี้เชียวหรือ”
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ
ทำไมยอดคนผีมือสูงส่งอย่างหานเฉิงต้องหลงรักนางมารร้ายเช่นนี้ด้วยนะ?
หลินเป่ยเฉินตวัดกระบี่ในมือ
ก่อนที่กระบี่ของไท้เสว่เหมยจะทันถึงตัวหานเฉิง กระบี่จันทราพิฆาตก็พาดเข้ากับลำคอขาวผ่องของนางแล้ว
“เจ้า…”
ไท้เสว่เหมยหยุดชะงัก ดวงตาเบิกโต นางหันกลับมาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความเหลือเชื่อ ส่งเสียงผ่านลำคอออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “เจ้า… ไม่รักษาสัจจะ… ไหนว่าจะไว้ชีวิตข้า…”
“สัจจะหมายถึงอะไร?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอเล็กน้อย “ด้วยฐานะคนโฉดอันดับหนึ่งประจำเมือง ข้าไม่เคยรักษาสัจจะกับผู้ใดอยู่แล้ว”
ฟู่!
แล้วศีรษะของไท้เสว่เหมยก็ขาดกระเด็นหลุดออกจากบ่า ดวงตาของนางยังคงเบิกโพลงตอนที่เสียชีวิต
“ท่าน… ท่านถึงกับฆ่าไท้เสว่เหมยแล้วจริงๆ ท่านรู้หรือไม่ว่านางเป็นใคร…” ฉุยหมิงโหลวเบิกตาโตด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด
เขาไม่คิดว่าหลินเป่ยเฉินจะกล้าฆ่าผู้คนกลางถนนกลางวันแสกๆ
หลินเป่ยเฉินไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดทั้งนั้นจริงๆ
วูบ!
แล้วคมกระบี่ในมือหลินเป่ยเฉินก็แทงทะลุขั้วหัวใจของไท้เสว่เหมย
ตัดศีรษะ แล้วคว้านหัวใจ
นี่คือสิ่งที่หลินเป่ยเฉินทำเสมอมา
ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนหรือเมื่อไหร่ หากเขาได้สังหารผู้คน มันก็เป็นสิ่งที่หลินเป่ยเฉินไม่มีทางลืมเลือนเด็ดขาด
“ข้าขอให้คำแนะนำกับเจ้า เกิดมาชาติหน้า อย่าได้ทำตัวเป็นสุนัขรับใช้สตรีอีก”
พูดจบ กระบี่จันทราพิฆาตในมือหลินเป่ยเฉินก็ตัดศีรษะและทะลวงหัวใจหานเฉิงเป็นรายต่อมา
หานเฉิงล้มลงตายด้วยสีหน้าพิศวงงงงวย
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าเลือดเย็นเป็นอย่างยิ่ง
เขาไม่เคยทำผู้ใดก่อน นอกจากจะเป็นฝ่ายถูกหาเรื่องก่อนเท่านั้น
ถ้ามีคนอยากฆ่าเขา เขาก็จะฆ่าคนผู้นั้น
ในเมื่อเจ้าอยากฆ่าข้า ข้าก็ต้องฆ่าเจ้า
นี่คือความยุติธรรมที่สุดแล้ว
ว่าแต่ว่า ชายหญิงปริศนาคู่นี้ใครเป็นคนส่งมาหาเขากันนะ?
เอ่อ…
เมื่อสักครู่ก็ลืมถามไปสนิทเลย
หลินเป่ยเฉินเพิ่งนึกได้ว่าตนเองควรถามให้รู้คำตอบก่อน แล้วค่อยฆ่าฝ่ายตรงข้ามทีหลัง
เด็กหนุ่มสอดกระบี่คืนฝักด้วยความเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง